ปลายสารทฤดู
ใบไม้ล้วนเปลี่ยนเป็สีเหลือง
หน้าวัดร้างยังมืดทึบอยู่
ต้นไม้ในป่าก็เริ่มเปลี่ยนเป็สีเหลืองแล้วเช่นกัน
ท้องฟ้าสีคราม
เด็กชายร่างอวบอ้วนที่ยังหลับลึกอยู่คือองค์ชายน้อยแห่งแคว้นซี บัณฑิตน้อยเสี่ยวซีที่บัดนี้กำลังถูกขันทีคนสนิทอุ้มออกมาจากวัดที่ยังมีควันโขมงพวยพุ่ง
อาหารการกินของเด็กชายนับว่าดีนัก ทั้งยังได้ลักษณะเด่นมาจากพระบิดา จึงทำให้เขามีร่างอวบอ้วนเช่นนี้ อายุเพียงแปดเก้าปีก็ตัวหนักราวกับหินก้อนใหญ่เสียแล้ว
ขุนนางชราเมื่อวางเด็กชายลงแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในวัดทันที
เขาต้องขนสัมภาระออกมาให้ได้ มิเช่นนั้นการเดินทางครานี้ของพวกเขาคงได้นอนกลางดินกินกลางทรายกันจริงๆ แล้ว
เมื่อวานเป็เขาที่ใจอ่อนเกินไป จึงได้รับปากให้องค์ชายน้อยของตนได้ออกมาััวิถีชีวิตของชาวเจียงหู เดิมทีเขากังวลว่าองค์ชายน้อยของตนที่ไม่เคยออกจากวังอาจถูกหลอกได้ง่าย เช่นนั้นออกมาหาประสบการณ์สักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
ทว่าองค์ชายน้อยช่างใสซื่อเหลือเกิน ไม่ระแวดระวังคนนอกแม้แต่น้อย ยังไม่ทันให้เขาได้เรียนรู้ถึงความโหดร้ายของเมืองเจียงหู ในสมองของเด็กชายก็มีคนให้บูชาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว เอาแต่พร่ำเพ้อว่าตนก็จะเป็วีรบุรุษชุดขาวเช่นกัน
ขันทีชราวิ่งกลับเข้าไปในวัด
เด็กชายร่างขาวอวบอ้วนราวกับหนอนตัวหนึ่ง รอจนร่างอ้วนกระแทกกับพื้นอย่างแรง เขาจึงเพิ่งได้สติว่าเกิดอันใดขึ้น
ดูเหมือนว่าจะมีไฟไหม้
ทว่าต้าป้านกลับวิ่งเข้าไปในวัดแล้ว
เด็กชายพลันตื่นตะลึง หากว่าต้าป้านโดนไฟคลอกจะทำอย่างไรเล่า
“ต้าป้าน!” เด็กชายร้องเรียกต้าป้านของเขาเสียงดัง ทว่าก็จนใจที่การตอบสนองของเขาเชื่องช้าเหลือเกิน
บัดนี้เด็กชายคิดไปต่างๆ นานาอย่างที่ชายชราคนเมื่อคืนเคยเล่าไว้
หากว่าเขาสามารถเป็ได้ดั่งวีรบุรุษชุดขาวที่โฉบไปที่ไหนก็ได้ คงจะสามารถช่วยต้าป้านออกมาได้
หรือจะเป็อย่างที่ชายชรากล่าวไว้ ยามที่วีรบุรุษชุดขาวพบเื่ผิดปกติ เขาก็จะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือทันที
มองควันหนาทึบที่ลอยอยู่ เด็กชายก็ตื่นใ ดวงตาเรียวเล็กพลันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พบเื่จนใจถึงเพียงนี้
บัดนี้เขาเหมือนจะเข้าใจแล้ว เื่ที่ชายชราคนเมื่อคืนเล่าก็เป็แค่เพียงเื่เล่า
ทว่าเด็กชายร่างอ้วนยังไม่ทันได้เสียใจ ตรงหน้าของเขาก็มี…
เป็ดั่งที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้
เด็กชายร่างอ้วนที่ยังซบอยู่กับพื้นพลันอ้าปากค้าง สีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อเื่ตรงหน้า
จากนั้นจึงรีบลุกขึ้น
“ท่านวีรบุรุษ รีบเข้า...รีบไปช่วยต้าป้านด้วย เขายังอยู่ในวัด”
สายตาเป็เลิศของเฉินโย่ว เมื่อมองเข้าไปด้านในก็เห็นว่ากลางควันหนาทึบมีคนกำลังเร่งเก็บของอยู่จริงๆ
แม้ร่างจะดูผอมแห้ง แต่มือเท้ากลับคล่องแคล่วไม่เบา แทบจะพอๆ กับพี่ชายของนางเสียด้วยซ้ำ
ทว่าชายชราดูท่าจะไม่ค่อยรู้เื่การจัดการไฟเท่าใด ดูเหมือนว่าจะสูดควันเข้าไปเฮือกใหญ่ จึงได้ไอไม่หยุดเช่นนั้น
ชายชราเมื่อเก็บของเสร็จแล้วก็รีบออกมาทันที
ขณะที่เดินไปจนเห็นประตูทางออกอยู่รอมร่อ
เสาคานในวัดนี้ที่เดิมทีก็ผุพังอยู่แล้วก็พลันถล่มลงมาบนหลังชายชรา
เฉินโย่วเห็นเช่นนั้นก็รีบตวัดแส้ออกไปเพื่อหยุดยั้งเสาที่กำลังถล่มลงมา
ชายชราเมื่อแบกสัมภาระออกมาจากวัดได้แล้ว จึงเห็นว่าเสาด้านหลังตนยามนี้กำลังถล่มครืนลงมา
ทั้งวัดมีเสียงะเืเลือนลั่นดังขึ้น
เคราะห์ดีที่เขาร่างกายคล่องแคล่ว ถึงอย่างไรเขาก็นับว่าเป็ยอดฝีมือที่หาตัวจับได้ยากยิ่งในวังหลวง
เพียงแต่ยามต้องเก็บสัมภาระก็ยังต้องมาเป็กังวลกับองค์ชายน้อย จึงทำให้เกือบโดนเสาทับตายเสียแล้ว
เห็นได้ชัดว่าต้องมีคนช่วยเขาไว้อย่างแน่นอน
เมื่อขุนนางชราที่สูดหายใจไปก็ไอไปเงยหน้าขึ้นก็เห็นอาชาสีนิลที่บนหลังยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่กำลังเก็บแส้นั่งอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นชายชราก็ผงะไปครู่หนึ่ง
เด็กหนุ่มตรงหน้าช่างรูปงามนัก
ควันโขมงในวัดร้างที่กำลังถล่มลงมา เื่เหล่านี้ช่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนรู้สึกราวกับว่าไม่เกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย
เมื่อครู่นี้คงเป็เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ช่วยเขาไว้
แม้ว่าเขาจะนับว่ายังสามารถเอาชีวิตรอดจากเสาที่ถล่มลงมาได้ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องาเ็อย่างแน่นอน หากว่าเขาาเ็แล้วก็ย่อมไม่อาจดูแลองค์ชายน้อยได้
ดังนั้นเขาจึงได้รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณครั้งนี้นัก
เมื่อเด็กชายเห็นต้าป้านของตนก็รีบพุ่งเข้าไปกอดร่างผอมแห้งไว้ทันที
“ต้าป้าน ท่านไม่เป็อะไรใช่หรือไม่”
ร่างผอมบางถูกเด็กชายกอดรัดเสียจนแทบหายใจไม่ออก ทั้งที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้นับว่าสนิทสนมถึงเพียงนั้น อดไม่ได้ที่จะไอออกมาหลายครั้ง
“แค่กๆ นายน้อยต้องเรียกข้าว่าลุงฉือสิขอรับ”
เด็กชายได้ยินเช่นนั้นก็แลบลิ้นออกมา เพราะเขาลืมเื่นี้อีกแล้ว
ทว่าต่อมาเขาก็รีบพุ่งไปหาเฉินโย่วด้วยความเบิกบานใจ
จากนั้นก็ยื่นมือออกมาหมายจะลูบเ้ามืด
เด็กชายไร้แววความหวาดกลัวว่าจะถูกเ้ามืดกระทืบตาย
ขันทีชราที่ยืนมองอยู่ยังหวาดกลัวเสียจนแทบจะเป็ลม
“ท่านคือวีรบุรุษชุดขาวหรือ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยท่านลุงฉือของข้าไว้”
เฉินโย่วไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายของเด็กหนุ่มตรงหน้า ทั้งยังเห็นว่าเ้ามืดไม่ได้หลบมืออวบอ้วนของเขา ซ้ำยังยืนนิ่งให้เด็กหนุ่มช่วยเกาขาของมันเสียด้วยซ้ำ
นางจึงพลิกกายลงจากหลังม้า
นางนึกฉงนใจนัก ั้แ่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นใครที่กินเยอะจนตัวอวบอ้วนได้ถึงเพียงนี้ แค่มองก็ััได้ว่าเด็กชายตรงหน้าย่อมต้องได้กินแต่อาหารดีๆ
“เ้าไม่ต้องขอบคุณหรอก เ้าช่างน่ามองนัก อีกประเดี๋ยวหากผู้าุโของข้ามาเห็นเ้าแล้วจะต้องชอบเ้ามากแน่ พวกเขามักจะบอกว่าข้าผอมเกินไป บ้านของเ้ามีอันจะกินมากเลยหรือ”
เมื่อเด็กชายได้ยินเด็กหนุ่มชุดขาวชมว่าตนน่ามอง ใบหน้าอวบอ้วนก็พลันฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวเล็กจึงพลอยหยีลงจนแทบจะมองไม่เห็น ท่าทางดูแล้วคงกำลังมีความสุขมากเป็แน่
เมื่อก่อนยามยังอยู่ในวังหลวง ต่อให้เขาเป็องค์ชายก็ยังไม่วายถูกหัวเราะเยาะอยู่เสมอ
ไม่เพียงแต่จะถูกพวกนางกำนัลหัวเราะเยาะเท่านั้น กระทั่งเหล่าขุนนางในราชสำนักตลอดจนลูกหลานของพวกเขาก็เอาแต่หัวเราะเยาะเขา
เขาถูกหัวเราะเยาะจนชินเสียแล้ว จึงไม่ได้ถือสาเื่เหล่านี้นัก
ทว่าจู่ๆ ก็ถูกผู้อื่นชมเช่นนี้ เขากลับรู้สึกเขินอายขึ้นมา
“อาหารบ้านข้าก็ไม่ได้วิเศษอะไร เพียงแต่ข้านั้นเหมือนท่านพ่อของข้ามาก เกิดมาก็อ้วนง่ายเหลือเกินข้าเคยทดลองดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวตั้งสองวัน ทว่าเมื่อย่างเข้าวันที่สามข้าก็ลองชั่งน้ำหนักดู พบว่าข้าไม่เพียงแต่จะไม่ผอมลง แต่ยังอ้วนขึ้นเสียด้วยซ้ำ” เด็กชายกล่าวอย่างจนใจ
“หากข้าดูดีได้เพียงสักครึ่งของท่าน ข้าก็จะผันตัวเป็วีรบุรุษผู้ท่องเที่ยวไปทั้งเจียงหูเช่นกัน” เด็กชายทำทีราวกับว่ารู้จักกับเฉินโย่วมาแสนนาน ร่างอ้วนค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เฉินโย่ว สายตามองเห็นอะไรก็นึกอยากจะลูบไปหมด ทั้งยังรู้สึกอยากจะลองหยิกแขนเฉินโย่วสักครั้งสองครั้ง
แน่นอนว่าเด็กชายย่อมไม่มีทางจะได้หยิกแขนเฉินโย่ว
ด้วยเพราะน้าหลัวได้เอ่ยเตือนนางอย่างเข้มงวดว่าห้ามให้ใครััร่างกายเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะให้นางกลับไปใส่ชุดสตรีทันที ทั้งยังจะขังให้นางอยู่แต่ในรถม้าทุกวัน
เด็กชายไม่อาจหยิกแขนเฉินโย่วได้ ทว่ากลับจับลูกหมาป่าตัวหนึ่งได้แทน เ้าลูกหมาป่าขนสีขาวราวกับหิมะ บนหัวยังมีขนสีเขียวอยู่กระจุกหนึ่ง เหมือนในตำนานกล่าวไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือวีรบุรุษชุดขาว ลมหายใจของเด็กชายพลันหนักอึ้ง
“ข้าขอกราบท่านเป็อาจารย์ได้หรือไม่” ดวงตาของเด็กชายเล็กเรียวจนแทบจะมองไม่เห็น ทว่าดวงตากลับเปล่งประกายเจิดจ้านัก
หากไม่ใช่ว่ามีขันทีชราคอยยั้งไว้ เด็กชายคงคุกเข่ากราบเฉินโย่วเป็อาจารย์ตามพิธีแล้ว
ชายชราพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
นายน้อยของเขาเป็ถึงองค์ชายแคว้นซี จะมาใครเป็อาจารย์สุ่มสี่สุ่มห้าได้ที่ไหนกัน
ไม่แปลกใจว่าเหตุใดฮองเฮาจึงได้ไหว้วานเขาให้พาองค์ชายออกจากวังมาเข้าเรียน
องค์ชายน้อยเป็เช่นนี้ ต่อไปยามที่ต้องสืบต่อราชบัลลังก์ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนพวกขุนนางที่ได้คืบจะเอาศอกเ่าั้รังแกอีกเพียงใด
เฉินโย่วยังไม่มีแผนการจะรับศิษย์ ทั้งเ้าเด็กอ้วนนี่ยังตีสนิทนางเกินไป
แววตาดูจริงจังนัก เฉินโย่วยังไม่รู้สึกว่าเด็กชายจะมีเจตนาร้าย ทว่านี่เป็ครั้งแรกที่นางได้ัักับเหตุการณ์เช่นนี้ นางรู้สึกว่าเ้าเด็กตรงหน้านี้ยังทึ่มกว่าพี่เสี่ยวอู่ของนางเสียอีก
รอจนขบวนของเฉินโย่วมาถึงแล้วเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ในขบวนก็มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน
ไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็บ่าวชราและนายน้อยของเขานั่นเอง
เฉินโย่วกำลังจะเข้าเมืองหลวง
เด็กชายเพียงแค่ได้ยินเื่นี้ก็รีบปีนขึ้นรถม้า จะเป็จะตายก็ไม่ยอมลงมา
เฉินโย่วและพี่ชายก็เพิ่งจะเคยพบเด็กชายที่หน้าไม่อายถึงเพียงนี้เป็ครั้งแรก
ทั้งเด็กชายยังมีแผนการที่ยังไม่อาจบอกใครกับเฉินโย่ว จึงได้เอาแต่กล่าวหนึ่งคำก็เรียกพี่โย่ว สองคำก็เรียกพี่โย่ว เรียกราวกับว่าสนิทสนมกันมากเหลือเกิน
ั้แ่เกิดมาเฉินโย่วก็เพิ่งจะมีน้องชาย จึงรู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน
เมื่อนางหันไปมองเด็กชาย มืออวบอ้วนก็รีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบขนมออกมาส่งให้นาง
ใบหน้าแสนจะจริงจัง และมือที่อวบอ้วนราวกับรากบัวถือขนมที่ดูท่าจะอร่อยมากอยู่
ดวงตาเรียวเล็ก ใบหน้ากลมราวดวงเดือน ยามเผยอยิ้มดวงตาก็พลอยผลุบหายไป เห็นเพียงแค่ฟันที่เรียงขาว ทำให้คนอื่นๆ เมื่อมองมาก็ร่วมรู้สึกสนุกสนานไปกับเขาด้วย
ขันทีชราที่นั่งอยู่ข้างเหล่าปาที่กำลังบังคับม้าอยู่นั้น เมื่อได้เห็นภาพนี้ใบหน้าก็พลันขรึมลง ในใจก็คิดว่าเส้นทางการเลี้ยงดูองค์ชายให้กลายเป็ฮ่องเต้ช่างยาวไกลนัก…
