จากนั้นหลิวเต้าเซียงก็รายงานตัวเลข ลำพังแค่ไก่ก็ใช้ข้าวโพดไปเก้าหมื่นชั่ง ซึ่งยังไม่นับรวมรำข้าวกับข้าวร่วน
ภายนอกบ้านนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงหวีดของลมหนาว ส่วนภายในบ้านนั้นอบอุ่น มีเพียงเสียงดีดลูกคิดดังต่อกแต่ก และมีเสียงหัวเราะใสกังวานอันไพเราะปนมาด้วย
“โอ้โฮ ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าไก่จะกินจุถึงเพียงนี้?” หลิวซานกุ้ยมองลูกคิดด้วยความตื่นตะลึง นี่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา
เฉินซื่อเห็นท่าทีประหลาดใจนั้นและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ว่ากันว่าข้าวสารแลกไก่ นี่คือคำโบราณ ไม่มีการค้าใดที่ได้เงินมาโดยง่ายหรอก”
จากนั้นก็มีเสียงสูดลมหายใจเข้า ถูกต้อง ลำพังต้นทุนของไก่ก็หมดไปเจ็ดร้อยตำลึง แล้วยังไม่นับค่าพันธุ์ลูกไก่
หลิวซานกุ้ยยิ้ม “โชคดีที่พันธุ์ลูกไก่นั้นต้นทุนน้อย ทว่าพอบวกกัน ลำพังการขายไก่ หลังจากหักลบต้นทุนไปก็เหลือเพียงไม่กี่ตำลึง หากรู้เช่นนี้ก็คงไม่ให้เงินเศษแปดตำลึงกว่ากับเกาจิ่วไป มิน่าเ้านั่นถึงยิ้มมีเลศนัยเชียวในตอนนั้น”
หลิวเต้าเซียงหัวเราะ เดิมทีในใจนางก็คิดอยู่แล้วว่าการเพาะเลี้ยงไม่ได้มีกำไรมากมาย ดีที่นางมีนิ้วมือทอง ไม่ต้องห่วงเื่โรคระบาดของไก่หรือสัตว์ปีกต่างๆ
สำหรับคนอื่น การเลี้ยงไก่และสุกรเป็ธุรกิจที่มีความเสี่ยง แต่สำหรับนางมันคือโอกาส
เพราะมีห้วงมิติเป็ผู้สนับสนุน นางจึงไม่ต้องกังวลกับการขาดทุนและเน้นกำไรเพียงอย่างเดียว!
เมื่อเห็นทั้งครอบครัวมีสีหน้าเ็ป นางก็อดไม่ได้ที่จะเตือน “ท่านพ่อ ท่านคงลืมรายได้อีกก้อนไป เรายังมีรายได้จากไข่ไก่อีกนี่นา!”
สำหรับเงินของครอบครัวแล้ว นางคิดว่าก็วนเวียนอยู่ในมือของครอบครัว ไม่ได้เข้ากระเป๋าผู้ใด หลิวเต้าเซียงดีใจยิ่งนัก
จางกุ้ยฮัวกล่าวด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม “เงินจากไข่ไก่ต้องมีกำไรนะ มิฉะนั้นคงเหนื่อยยากทั้งปี แต่หากได้กำไรเพียงน้อยนิด คงต้องหางานด้านอื่นทำแทน”
“ต้องได้กำไรอยู่แล้ว เราพึ่งพากำไรจากไข่ไก่ คนที่เลี้ยงไก่จำนวนมากมีน้อย มิฉะนั้นจะมีกำไรมากมายได้อย่างไร”
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าทั้งครอบครัวกำลังรอให้นางพูดออกมา จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ไข่ไก่ขายได้ทั้งหมดสี่ร้อยตำลึงเศษ!”
ในนั้นมีไข่ไก่ที่นางแอบขนออกมาจากในห้วงมิติด้วยไม่น้อย ดังนั้นจึงเพิ่มขึ้นมาหลายสิบตำลึง
หลิวชิวเซียงเอื้อมมือออกมาลูบหน้าอก แล้วเอ่ย “ใหมด ข้านึกว่าเราจะเหนื่อยเปล่ากันทั้งปีเสียอีก ท่านพ่อ ปีนี้เราได้กำไร ต้องขอบคุณน้องรอง หากไม่ได้ความคิดเื่การสะสางหนี้ต้นทุนตอนท้ายปี เกรงว่าครอบครัวเราคงยังต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยาก”
จางกุ้ยฮัวหัวเราะอย่างเริงร่า เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวชิวเซียงก็พยักหน้าอย่างแรง “ลูกสาวเราทั้งฉลาดและเก่งกาจ!”
หลิวซานกุ้ยก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคําพูดของภรรยา ครอบครัวเราต้องยกตำแหน่งดีเด่นให้แก่บุตรสาว
“ท่านพ่อ ยังมีอีก เราคำนวณแค่รายได้ของไก่ ยังเหลือของหมูอีก” หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยให้ท่านแม่หัวเราะดีใจเร็วเกินไป
จึงรีบหาข้ออ้าง ตามคาด ความสนใจของจางกุ้ยฮัวถูกดึงออกไป แล้วเร่งให้หลิวเต้าเซียงกับหลิวซานกุ้ยคำนวณบัญชีออกมา
อืม หลังจากรู้ผลลัพธ์ทั้งหมด นางจึงนอนหลับได้อย่างสบายใจ เมื่อคิดเช่นนี้ก็เริ่มหาวติดๆ กันจนน้ำตาซึม จากนั้นก็มองไปที่บุตรสาวคนรองอย่างไร้เดียงสา
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกมากุมหน้าผากและหมดคำพูด เหตุใดการตั้งครรภ์จึงทำให้คนนิสัยเปลี่ยนไปมากมายเพียงนี้
โชคดีที่หลิวซานกุ้ยไม่เพียงแต่เป็บิดาที่พร้อมด้วยคุณธรรมยี่สิบสี่ประการ แต่ยังเป็สามีที่ดีอีกด้วย
เขาคำนวณด้วยลูกคิด ส่งเสียงดังต่อกแต่กอย่างรวดเร็ว
แต่คำนวณยังไม่เท่าไรสมองก็ตื้ออีกครั้ง “เหตุใดจึงไม่มีกำไร?”
ก่อนหน้านี้หมูถูกขายได้กว่าเจ็ดร้อยยี่สิบเอ็ดตำลึงเศษ แต่พบว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงหมูปีนี้จ่ายไปทั้งหมดเจ็ดร้อยสิบหกตำลึงเศษ
หลิวเต้าเซียงพอเตรียมใจไว้อยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านพ่อ ในเล้าหมูเรายังเหลือหมูอีกตั้งยี่สิบสี่ตัว หากคำนวณเป็เงินจริงๆ ก็ได้เจ็ดสิบกว่าตำลึง นับว่าไม่น้อยแล้ว”
หลิวซานกุ้ยนึกได้ทันที จึงตอบ “แรงงานเราน้อย การเลี้ยงไก่กับหมูนั้นเบากว่าการทำไร่นา”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าแต่ละอย่างมีข้อดีต่างกัน แต่ท้ายที่สุดครอบครัวก็ต้องพึ่งนิ้วมือทองของนาง จึงจะสามารถเลี้ยงสัตว์จำนวนมากได้อย่างราบรื่นปลอดภัย
จางกุ้ยฮัวหาวและกล่าวว่า “พ่อของลูก เรารีบคืนหนี้ที่ติดค้างหมู่บ้านก่อนเถิด แล้วก็เงินที่จ้างเด็กเ่าั้ช่วยเกี่ยวหญ้าหมูกับจับกุ้งปลา ทั้งหมดประมาณห้าถึงหกตำลึง ค่าตอบแทนของผู้าุโในบ้านก็ควรจ่ายพร้อมกัน ตอนนั้นคุยกันไว้ว่าให้พวกท่านปีละสองตำลึง”
“ถ้าเ้าเหนื่อยก็กลับห้องไปพักก่อนเถิด ข้าขอปรึกษาเื่เลี้ยงไก่กับหมูปีหน้ากับลูกสาวทั้งสองก่อน เ้าเองก็ได้ยินเกาจิ่วบอกว่า หากเลี้ยงเป็ดเพิ่มได้ นั่นคงเป็การดีที่สุด”
จางกุ้ยฮัวไตร่ตรองดู ตนเองรู้รายได้ของปีนี้โดยพอประมาณแล้ว สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ ส่วนเื่ที่จะปรึกษากันต่อนั้น นางยังไม่มีความสนใจเพราะง่วงเหลือเกิน
เฉินซื่อบอกให้หลิวชิวเซียงช่วยพยุงนางไปที่ห้องตะวันตก แล้วเอ่ยเสียงค่อย “ข้าว่าครรภ์ของกุ้ยฮัวนั้นใหญ่กว่าชาวบ้านทั่วไป คงไม่ใช่ลูกแฝดหรอกนะ?”
หลิวซานกุ้ยกล่าวด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ “เอ๋ ท่านหมอไม่ได้บอก แต่พอท่านแม่พูดเช่นนี้ ข้าเองก็เริ่มสงสัย เพียงแต่ท่านหมอบอกว่านางอาจจะคลอดก่อนกำหนด ข้าจึงมัวแต่กังวลเื่นี้”
“ท่านพ่อ หรือไม่ เราก็เชิญท่านหมอมาพักที่บ้านดีหรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าในเมื่อมีเงินในมือแล้ว ก็ควรดูแลคนในครอบครัวให้ดี ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของตนกำลังจะคลอดลูก
หลิวซานกุ้ยคิดว่าข้อเสนอนี้เป็ไปได้ แต่เฉินซื่อคัดค้าน
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เอ็นดูลูกสาว แต่เหตุผลข้อหนึ่งคือ เรายังไม่แน่ใจว่าใช่ครรภ์แฝดหรือไม่ ข้อสองคือกุ้ยฮัวไม่ได้คิดไปในแง่นั้น หากเชิญท่านหมอมาพักที่บ้าน เ้าไม่กลัวแม่เ้าบุกมาถึงบ้านหรือ อีกอย่าง เดิมทีนางก็กินนอนอย่างสบายใจ หากเชิญหมอมา เกรงว่าจะเป็การทำให้ลูกสาวข้าใมากกว่า”
นางกล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ ตอนนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว จะมีหมอท่านใดยอมออกจากบ้านใน่เวลานี้”
คําพูดของเฉินซื่อมีเหตุผล ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ หลิวซานกุ้ยรู้สึกกลัดกลุ้ม
หลิวเต้าเซียงถามว่า “ท่านพ่อ หรือไม่ เราก็บอกกล่าวกับท่านหมอในตำบลไว้ก่อนดีหรือไม่?”
หลิวซานกุ้ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่อย่างน้อยก็พอมีทางบ้าง ก่อนจะตอบว่า “คงทำได้เพียงเท่านี้ ดีที่ท่านหมอเป็คนรู้จักเก่าแก่”
การที่บรรพบุรุษตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เดิมเป็เวลานานก็มีข้อดี เพราะคนในละแวกนั้นต่างรู้จักกันหมด ขอเพียงเอ่ยปากถามว่าเป็ลูกของบ้านใด รับรองว่าต้องมีคนบอกได้ว่าบ้านนั้นพักอยู่ตรงไหน หลังที่เท่าไร
พวกเขาจึงเห็นพ้องกันเช่นนี้ จากนั้นหลิวซานกุ้ยกับบุตรสาวคนรองก็เริ่มทำบัญชีกันต่อ
ก่อนหน้านี้เป็เพียงการคํานวณว่าครอบครัวมีรายได้เท่าไร
แต่คราวนี้กำลังจะคำนวณว่ามีส่วนที่ต้องไปชำระหนี้เท่าไร
หลิวเต้าเซียงกล่าวขณะที่พลิกสมุดบัญชี “ท่านพ่อ เดี๋ยวข้าจะไปบอกกับเถ้าแก่ร้านวัตถุดิบเ่าั้ว่าให้พวกเขาอิงตามราคานี้ให้ข้า รอปีหน้าก็ขอติดค้างหนี้อีกหนึ่งปี และชำระให้ตอนสิ้นปีเช่นเดิม”
ขณะนี้หลิวซานกุ้ยกำลังคำนวณเงินออกมา “ข้าวโพด ข้าวร่วน รำข้าว ทั้งหมดใช้ไปหนึ่งพันสามร้อยเจ็ดสิบสองตำลึงกับสองเฉียน รับไป ตรงนี้มีตั๋วเงินหนึ่งพันสองร้อยตำลึง หลังจากนี้เ้าค่อยไปเอาจากกล่องไม้อีกสามร้อยเจ็ดสิบสามตำลึง ที่เหลือเป็ค่าแรงของเ้า”
“ท่านพ่อ ท่านคำนวณเป็ตัวเลขถ้วนเถิด อาหารไก่กับหมูคิดรวมกันแล้วใช่หรือไม่?” หลิวเต้าเซียงใ ไก่กับหมูกินจุเกินไปแล้ว นางยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ท่านพ่อ อย่าลืมล่ะ เงินในครอบครัวเราตอนนี้อยู่ในมือข้า อีกเดี๋ยวข้ายังต้องเอาเงินสี่ร้อยกว่าตำลึงให้ท่านอีก แล้วก็ในหนึ่งพันสามร้อยเจ็ดสิบสองตำลึงกับสองเฉียน ข้ายังต้องแบ่งให้ท่านยายที่ผลิตมันเทศกับใบมันเทศในที่ดินแห้งอีกสิบห้าตำลึงด้วย!”
หลิวซานกุ้ยทอดถอนใจ “ท่านยายเ้าคงคิดไม่ถึงว่า นางจะได้มากมายเพียงนี้ มูลไก่กับหมูปีหน้า ยังต้องให้คนลากไปใส่ที่ดินแห้งไม่กี่ไร่ของท่านยายเ้าด้วย”
“ท่านยายต้องมีความสุขมากเป็แน่” หลิวเต้าเซียงยิ้มตาพริ้ม ตามคาด ต้องทำเช่นนี้จึงจะฟอกเงินได้อย่างบริสุทธิ์ หลังจากหักเงินที่ต้องซื้อมันเทศเ่าั้ นางยังมีเงินเข้ากระเป๋าอีกหนึ่งพันสามร้อยสิบเจ็ดตำลึง หัวใจของนางราวกับได้ดื่มน้ำผึ้งหลายชามใหญ่
เมื่อหลิวซานกุ้ยนึกถึงเงินที่ต้องใช้ซื้อพันธุ์ลูกหมู เขาก็ปวดใจ “ดูเหมือนว่าพันธุ์ลูกหมู เราต้องเลี้ยงเองจึงจะดี ลูกหมูสองร้อยกว่าตัวเท่ากับเงินราวเก้าสิบตำลึง”
หลิวเต้าเซียงยิ้ม “โชคดีที่เราเก็บหมูไว้เองยี่สิบตัว เดิมทีนายท่านจิ่วก็้าเพียงแค่สองร้อยตัว คิดไม่ถึงเลย ตอนนี้เป็การดีที่ได้มาหลายเท่า ปีหน้าเราเหนื่อยกันอีกหน่อย ปีต่อไป เราก็เก็บพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไว้เพาะเอง”
หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ เงินในใต้หล้าจะมีให้นางเพียงคนเดียวได้อย่างไร
“ช่างเถิด เกาจิ่วบอกว่าปีหน้ายัง้าไก่หนึ่งหมื่นตัว เราเหลือไก่ไว้เพาะพันธุ์แค่สองร้อยตัว เกรงว่ายังต้องไปซื้อข้างนอกอีก คาดว่าบ้านเราคงเพาะพันธุ์ได้ราวพันกว่าตัว นับไปว่าหนึ่งพันห้าร้อยตัว รวมกับเ้าเก่าของเ้าอีกหกพันตัว ก็ยังเหลืออีกสองถึงสามพันตัว”
หลิวเต้าเซียงเดิมทีอยากเอามาจากที่เหลือในห้วงมิติ แต่ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูบ้านขัดจังหวะในเวลานี้
เป็เสียงเคาะอย่างเป็จังหวะ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ไม่เร็วไป และไม่ช้าไป
หลิวเต้าเซียงได้ยินที่บิดาพูดก็แอบโล่งใจ แล้วรีบเก็บตั๋วเงินเข้าไปในอ้อมอก ซึ่งอันที่จริงก็คือคลังเก็บของห้วงมิติ
จากนั้นก็เก็บสมุดบัญชี ขณะเดียวกันหลิวชิวเซียงก็เดินออกมาจากห้องตะวันตก
“ใครกัน?”
“ยังไม่รู้ ท่านพี่รีบช่วยข้าเก็บลูกคิดกับสมุดบัญชีที่เหลือกลับห้องก่อน”
กิจการภายในครอบครัวไม่ควรให้คนนอกเห็นเข้า
หลิวเต้าเซียงกวักมือเรียกหลิวชิวเซียง ขณะที่หลิวซานกุ้ยยกตะเกียงน้ำมันขึ้น แล้วเอ่ย “ข้าจะส่งพวกเ้าไปห้องปีกตะวันออก แล้วก็ไปเปิดประตู”
หลังจากส่งสองพี่น้องเรียบร้อย หลิวซานกุ้ยก็เดินไปทางประตูลานบ้าน
“มาแล้วๆ ใครกัน?”
“ซานกุ้ย อาเอง!” ข้างนอกมีเสียงของหลี่เจิ้ง
หลิวซานกุ้ยใ ค่ำมืดเพียงนี้ หลี่เจิ้งมาหาเขาในเวลาแบบนี้ เกรงว่าคงมีเื่ด่วน
ขณะที่ตอบรับก็รีบเปิดประตู แล้วเชิญหลี่เจิ้งเข้าไปนั่ง
หลังจากที่นั่งลง สองพี่น้องก็เดินตามหลังเข้ามา ทั้งสองกล่าวทักทายหลี่เจิ้ง ส่วนเฉินซื่อก็นำชาร้อนออกมาจากในครัวและต้อนรับเขา
“ท่านอา ท่านมาจากไหนกัน” หลิวซานกุ้ยเพิ่งสังเกตว่าหลี่เจิ้งดูเหมือนตัวแข็งเพราะความหนาว
หลี่เจิ้งหัวเราะสองครั้ง ก้มศีรษะและไม่พูดอะไรสักคํา เพียงแค่เอื้อมมือออกไปถือถ้วยชาร้อนไว้ในอุ้งมือ
หลิวเต้าเซียงเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเขาคงหนาวมาก นางเลื่อนเตาไฟเข้าไปใกล้เขาอีกนิด จากนั้นก็โยนฟืนเข้าไปสองท่อนใหญ่
หลังจากนั้นไม่นาน ในบ้านก็อุ่นขึ้นมาก
หลี่เจิ้งสูดหายใจเข้าอย่างแรงและดื่มชาร้อนๆ ในอึกเดียว แล้วจึงเอ่ย “นับว่าฟื้นคืนชีพได้เสียที”
-----
