รอยยิ้มแห่งความสำเร็จวาบผ่านในดวงตาของจวินอู๋เสีย ทว่าเขากลับหลบเลี่ยงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านอยากแก้แค้นให้สหายเก่าของท่านมิใช่หรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อารมณ์ของเหยียนอู๋อวี้ค่อยๆ สงบลง ทุกวันนี้นางเหมือนนกตื่นธนูจึงมีความประหม่าอยู่บ้าง จวินอู๋เสียยังเป็คนฉลาดมาก นางจึงกังวลว่าจะถูกเขามองออกทะลุปรุโปร่ง ทว่าแม้แต่เหยียนอู๋อวี้เองยังไม่เคยค้นพบว่าตนเองไม่ได้ระแวดระวังจวินอู๋เสียอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ทว่าจวินอู๋เสียก็ยังไม่คิดจะจากไป เขาอาศัยแสงจันทร์พร่ามัวมองใบหน้างดงามเลอโฉมบนเตียง ทว่ากลับมีอีกใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดพลางแย้มยิ้ม “ท่านต้องพกขลุ่ยของข้าติดตัวไว้ ถึงเวลานั้นต้องเป่ามัน เพราะจะเกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของข้า”
เหยียนอู๋อวี้เผลอกำขลุ่ยแน่น ทว่าสีหน้ากลับไม่ผ่อนคลายเหมือนเขา นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านวางใจเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ปล่อยให้ท่านเกิดเื่”
จวินอู๋เสียกล่าวด้วยสีหน้าที่มืดมนเล็กน้อย “เมื่อก่อนก็เคยมีคนพูดกับข้าเช่นนี้ น่าเสียดายที่สุดท้ายคนคนนั้นก็จากไปโดยที่ไม่ได้ทำตามสัญญา หวังว่าท่านจะรักษาคำพูดนี้”
เหยียนอู๋อวี้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่ความคิดพร่าเลือนนางรู้สึกเหมือนเขากำลังพูดกับนางในอดีต ตอนนั้นนางมีนามว่าอวิ๋นอู๋เหยียน
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็หุบยิ้ม อีกทั้งยังไม่สามารถอธิบายความยากลำบากของตนเองให้เขาฟังได้ นางจำต้องพูดว่า “ข้าคิดว่าที่คนคนนั้นจากไปเพราะนางไม่มีทางเลือก คนที่ฝึกวรยุทธ์มักพูดว่าคนในยุทธภพมิอาจทำตามใจตนเอง ความจริงแล้วคนในราชสำนักจะทำตามใจตนเองได้อย่างไร?”
“ผิดสัญญาก็คือผิดสัญญา ความยากลำบากนับหมื่นนับพัน หากในใจรักษาคำมั่นสัญญาไว้จะต้องปรากฏออกมาตามกำหนดแน่นอน” จวินอู๋เสียมองนางอย่างแน่วแน่ “ข้าคิดว่านางน่าจะลืมไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ได้สนใจเลย”
แม้มองไม่เห็นใบหน้าเขา ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับสังเกตเห็นแววตาที่ลุกโชนนั่น นางนึกถึงตนเองในอดีตพลางพูดอย่างทอดถอนใจ “คนคนหนึ่งแบกคำสัญญาไว้มากมาย บางคนหาทางเติมเต็ม ทว่าบางคนไร้กำลังหวนคืน”
“นั่นล้วนเป็เพียงข้ออ้างกระมัง ทำไม่ได้เพราะตอนแรกที่ให้คำมั่นสัญญาในใจก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็จริง” เสียงของจวินอู๋เสียเ็าเล็กน้อย
“ไม่ใช่” เหยียนอู๋อวี้ส่ายศีรษะ เด็กคนนี้น่าจะถูกปีศาจเข้าสิงแล้ว หากไม่แก้ปมในใจเขา ไม่รู้ว่าจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือไม่ หากเกิดหายนะก็จะกู่ไม่กลับตลอดไป นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่รู้ผู้อื่นเป็อย่างไร แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ข้า เมื่อให้สัญญาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำให้สำเร็จและต้องทำให้เป็จริงให้จงได้ ทว่าเื่บนโลกยากจะคาดเดา บางครั้งเมื่อไร้ชีวิตแล้ว ต่อให้จดจำคำสัญญาได้ก็ไร้กำลังฟื้นคืนอยู่ดี”
“หากยังมีชีวิตอยู่เล่า?”
“ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องทำได้แน่นอน” เหยียนอู๋อวี้ตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
จวินอู๋เสียพึงพอใจในคำตอบนี้มาก ความเ็าบนร่างกายหายไป น้ำเสียงผ่อนคลายขึ้น “ข้าคนนี้ก็มิใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ขอเพียงคนคนนั้นจำได้และคิดจะทำตามสัญญา ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็จริงหรือไม่ ข้าจะไม่โทษนาง”
เหยียนอู๋อวี้เผลอตอบรับโดยไม่รู้ตัว “ครั้งนี้ไม่มีทางแน่นอน” นางพูดจบก็รู้ว่าตนเองเหมือนพลั้งปากไปแล้ว นางเห็นสีหน้าจวินอู๋เสียไม่ชัด ทว่ากลับรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดในคำพูดของตนเองเมื่อครู่ นางจึงแอบถอนหายใจโล่งอก
จวินอู๋เสียได้รับคำมั่นสัญญาแล้วจึงไม่ได้พูดให้มากความอีก เขาอาศัยแสงจันทร์จากไปอย่างรวดเร็ว เหยียนอู๋อวี้เดินไปนอกหน้าต่างเห็นแผ่นหลังเขาทันเวลา ร่างของเขากลืนเข้ากับแสงจันทร์จนลับสายตาไป
วิชาตัวเบาของเ้าเด็กคนนี้ใช้ได้จริงๆ
......
เสลี่ยงประทับมุ่งตรงไปข้างหน้าออกจากสวนในวังหลวง องค์หญิงใหญ่ปล่อยม่านลงและไม่ได้มองออกไปด้านนอกอีก
หลังออกจากสวนในวังหลวง ทั่วทุกที่ในตำหนักแห่งนี้ล้วนเป็ผนังสีแดงกระเบื้องสีเขียว ไร้สีสันอื่น นางเห็นของพวกนี้มาสามสิบกว่าปีแล้วั้แ่ประสูติ เสลี่ยงประทับเอียงเล็กน้อยนางก็รู้ว่าเดินทางมาถึงที่ใดแล้วจึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยนิด
ตอนเยาว์วัยหวังว่าตนเองจะโตขึ้นไวๆ จะได้หลุดพ้นจากสถานที่แห่งนี้ออกไปมองโลกภายนอก ตอนนี้เติบใหญ่แล้วกลับหวังว่าจะย้อนเวลากลับไปในอดีตที่เสด็จแม่อยู่ เสด็จพ่ออยู่ และนางเป็องค์หญิงตัวน้อยที่ถูกประคองอยู่ในอุ้งมือ รู้สึกว่าทั้งใต้หล้าเป็ของนาง
ตอนเด็กไม่รู้เลยว่านั่นคือ่เวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของนาง หลังจากผ่านประสบการณ์ทุกข์สุขพบพรากก็ไม่เหลือร่องรอยให้ค้นหาอีกต่อไป
ผ้าม่านสั่นไหว บางครั้งมีแสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา นางยกมือเล็กน้อย ก่อนจะยื่นออกมาจากแขนเสื้อแล้วกางออกให้แสงจันทร์อยู่ในกำมือนาง
องค์หญิงใหญ่รู้สึกว่าตนเองเมานิดหน่อย
หลายปีมานี้นางดื่มเหล้าอย่างมาก นางฝึกดื่มจนคอแข็ง ทว่าคืนนี้ต่างออกไป ไม่รู้ว่าเป็เพราะหนุ่มโฉมงามที่กำลังจะได้รับ หรือเป็เพราะบัลลังก์ที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เสลี่ยงประทับก็ถูกวางลงเบาๆ นางกำนัลด้านนอกทูลอย่างนอบน้อม “องค์หญิง ถึงแล้วเพคะ”
นางส่งเสียงตอบเบาๆ แล้วเปิดม่านออก จากนั้นก็มีนางกำนัลเข้ามาประคองนางลง นางพิงร่างนางกำนัลเดินเข้าไปด้านใน เมื่อถึงห้องบรรทมนางก็นอนลง ก่อนจะตรัสว่า “ออกไป”
คนที่อยู่ในห้องแยกย้ายหายหมดเกลี้ยงทันที องค์หญิงใหญ่เคาะขอบเตียงเบาๆ “ออกมาเถิด”
เงาร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากความมืด นางหรี่ตามองเขา “เซียวหลางใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ แล้วถึงได้กล้าเคลื่อนไหวในพื้นที่ต้องห้ามเช่นนี้”
เซียวจ่างเฟิงสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย ตอนนี้เขาเดือดดาลมาก ทว่าคนเบื้องหน้าผู้นี้คือองค์หญิงใหญ่ เขามิอาจสบถด่านางเหมือนที่ทำกับภรรยาจึงทำได้เพียงแค่พูดอย่างอดกลั้น “เสวี่ยเอ๋อร์ วันนี้ท่านบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว”
“บุ่มบ่าม?” องค์หญิงใหญ่ปรายตามองเขา “หือ เ้าหมายถึงเื่ที่ให้ไทเฮาคืนอำนาจหรือ?”
นางพูดพลางยิ้มระรื่น “ท่านให้ข้าหยั่งเชิงมิใช่หรือ?”
“ข้าเพียงแค่ให้ท่านหาคนหยั่งเชิง มิใช่ให้ท่านออกหน้าแตกหักกับไทเฮาด้วยตนเอง!” เซียวจ่างเฟิงข่มความโกรธเอาไว้
“อืม แล้วมันต่างกันอย่างไร? ไทเฮาไม่รู้ว่าเป็ข้าหรือ?” องค์หญิงใหญ่ตรัสอย่างไม่ยี่หระ “ไทเฮาไม่ใช่คนโง่ และข้ายังเข้าใจด้วยว่าทั้งซ้ายขวาต้องพูด คนอื่นพูด ยายแก่ปล่อยไป ข้าพูด นางก็แสดงความเห็น ฮ่องเต้พระอนุชาของข้าผู้นั้นยังต้องขอบพระทัยพระเชษฐภคินีอย่างข้า”
“เหลวไหล! หากเป็คนอื่นหยั่งเชิงไทเฮา ตักเตือนไทเฮา นางต้องปรับปรุงแน่นอน เราก็ใช้โอกาสนี้ตีนางตอนรับมือไม่ทัน แต่ตอนนี้ท่านบีบบังคับให้นางออกมา อำนาจปลดง่าย สิทธิ์ในอำนาจเปลี่ยนง่ายอย่างนั้นหรือ! การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ กลับจะทำให้ไทเฮาแว้งกัดท่านอีกด้วย!”
“เซียวไท่เว่ย...…” องค์หญิงใหญ่ชักสีหน้าเ็าและเปลี่ยนชื่อเรียกในพริบตา
เซียวจ่างเฟิงจึงได้สติเช่นเดียวกันและรู้ว่าเมื่อครู่ตนเองหุนหันพลันแล่นเกินไปจนเลยเถิด เขาโค้งคำนับเล็กน้อยทันทีและวางท่าทีอย่างที่ขุนนางพึงมี
นี่ก็เป็เหตุผลที่เขาไม่เคยคิดจะเสกสมรสกับองค์หญิงเลย
ท้ายที่สุดราชบุตรเขยทุกคนก็จะกลายเป็ของส่วนเกิน สูญเสียตัวตน พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองเป็ที่โปรดปรานขององค์หญิง พูดให้ชัดก็เป็ได้แค่บุรุษบำเรอระดับสูงเท่านั้นเอง
เขาไม่ใช่บุรุษบำเรอ เขาก็จะไม่ทำตัวเป็สัตว์ในบ่อ (*คนที่ไม่มีความทะเยอทะยาน) ด้วย!
ปีนั้นเซียวจ่างไห่ยังทำอะไรตนเองไม่ได้ นับประสาอะไรกับสตรีอ่อนแอเพียงแค่คนหนึ่ง!