“ชีวิตของสามีก็ยังให้เ้าได้ ดังนั้น หากเ้าพูดออกไปจริงๆ ละก็นะ อย่างมากคงเป็การยืนยันว่าสามีผู้นี้ของเ้ามองคนไม่ทะลุปรุโปร่ง” จวินเหยียนมองนางยิ้มๆ ขณะที่ความเชื่อใจของเขาที่มีต่อนางโลดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง เขาไม่แม้แต่จะคิดสงสัยอะไรนางเลยสักครั้ง เพราะเขารู้ดีว่านางไม่มีทางขายเขา
ส่วนเื่อื่นๆ ที่ยังไม่ได้บอก ก็เพียงเพราะในตอนนี้นางยังไม่จำเป็ต้องรู้ และเขาก็จะรอจนกว่าจะถึงเวลานั้น เวลาที่นางสมควรได้รู้จริงๆ ซึ่งยามนั้นเขาจะไม่ปิดบังใดๆ ไว้อย่างแน่นอน
“จวินเหยียน ข้า...” ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำของจวินเหยียนอย่างไรดี เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน นางก็ยิ่งเข้าใจบุรุษผู้นี้มากขึ้น ชายผู้นี้เป็คนที่พูดคำไหนคำนั้น
“อาซี ข้ายังคงยึดคำพูดเดิม หากเ้าอยู่ดี เปิ่นหวางจึงจะสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย ทว่า หากวันใดที่เ้ามีความคิดว่าอยากจะจากไป วันนั้นเปิ่นหวางคงได้สิ้นซึ่งความเป็คนเป็แน่” เขามองนาง พึมพำเสียงต่ำ
จวินเหยียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ชั่วชีวิตนี้จะมีวันที่เขากลายเป็คนเช่นนี้ไปได้แค่เพราะสตรีเพียงคนเดียว “ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเ้านี้ เ้าไม่จำเป็ต้องตอบกลับมาหรอก แต่หากมีวันใดที่เ้าตกหลุมรักข้าขึ้นมาจริงๆ ละก็ วันนั้นคงเป็วันที่ข้ามีความสุขมากเป็แน่ หาไม่แล้ว เ้าก็อย่าได้กล่าวโทษว่าข้าโเี้ แล้งน้ำใจ ทั้งยังกักขังเ้าไว้ชั่วชีวิต”
เมื่อได้ยินคำพูดเผด็จการเช่นนี้ อวิ๋นซีก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ก่อนจะยิ้มอย่างปลงๆ “ข้าจะไปดูว่าหวานหว่านอาบน้ำเสร็จหรือยัง ในระหว่างนี้ท่านก็ให้คนไปตักน้ำมาชำระกายก่อนเถอะ วันนี้เราเร่งรีบเดินทางกันแต่เช้า ทุกคนคงเหนื่อยกันมากแล้ว พวกเราก็รีบพักผ่อนกันเถอะ อีกประเดี๋ยวข้าจะไปพาลูกมานอนที่นี่ด้วย” ตอนที่ออกเดินทางมาได้ครึ่งทาง หวานหว่านก็ร้องไห้จะหาแม่นม จากนั้นนางก็ไปนั่งในรถม้าของแม่นมได้ชั่วยามกว่าจนกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยม
ถึงแม้แม่นมจะอายุยังไม่เยอะ ทว่าคนเดินทางมาไกลเพียงนี้ย่อมเหนื่อยเป็ธรรมดา ตัวนางเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน สำหรับค่ำคืนนี้จึงควรจะได้พักผ่อนไวไว อวิ๋นซีไม่ใช่คนที่เกิดและเติบโตมาในยุคโบราณโดยแท้ นางยังมีความทรงจำของชาติภพในยุคปัจจุบันอยู่ และเคยได้รับการศึกษามาจากยุคปัจจุบัน ถึงแม้ตัวนางจะเชิดชูแิที่ว่าทุกคนเท่าเทียมกันจนยากที่จะอยู่ที่นี่ แต่การเห็นอกเห็นใจลูกน้องก็ยังนับว่าเป็เื่ที่นางสามารถทำได้ ประกอบกับตัวนางเองก็อยากจะนอนกับลูกสาวเช่นกัน เนื่องจากผ่านมาแล้วหลายปี นางยังไม่เคยมีโอกาสได้กล่อมเ้าตัวน้อยเข้านอนเลยสักครั้ง ยามนี้จึงอยากจะชดเชยสิ่งที่พลาดไปทั้งหมดนั้น
“ได้” อย่างไรเสียในยามที่บุตรสาวไม่ได้มานอนกับพวกเขานั้น เขาก็ไม่มีทางได้สมใจปรารถนาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่า หากมีเ้าตัวน้อยมานอนด้วยอีกคน คืนนี้ตนก็อาจไม่ต้องนอนบนพื้นก็เป็ได้
ทุกสิ่งเป็ไปดังที่เขาคาดไว้จริงๆ ตอนที่อวิ๋นซีไปอาบน้ำ หวานหว่านที่เห็นบิดาตนกำลังปูผ้าลงบนพื้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงเล็กเสียงน้อย “เสด็จ...” ขณะที่กำลังคิดจะหลุดปากเรียกเสด็จพ่อ จู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่า แม่นมและมารดาบอกไว้ว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ข้างนอกนี้จักต้องเรียกบิดาว่าท่านพ่อ ด้วยเหตุนี้ นางจึงระงับปากไว้ จากนั้นก็เอ่ยถามใหม่ “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงนำผ้าห่มมาวางลงบนพื้นเช่นนั้น ท่านจะทำอันใดหรือเ้าคะ? ”
อวิ๋นซีออกมาได้ยินถ้อยคำของบุตรสาวพอดี นางหันมองจวินเหยียนทีหนึ่ง ก่อนจะพูดเรียบๆ “คืนนี้นอนบนเตียงเถอะ” อย่างไรเสียมีบุตรสาวอยู่ นางก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล อีกประการ แท้จริงแล้วจวินเหยียนนั้นนับว่าเป็สุภาพบุรุษมากทีเดียว เพียงแต่มีบางครั้งที่เป็บ้าขึ้นมาจึงได้บังคับจูบนาง แต่ก็นั่นแหละ นอกจากเื่นี้แล้ว เขาก็ไม่เคยทำเื่ที่เกินกว่าเหตุไปกว่านี้เลยสักครั้ง
“จริงหรือ? ” เขายิ้มมองอวิ๋นซี ว่าแล้วว่าการมีบุตรสาวอยู่ด้วย ไม่ว่าจะทำอะไร นางย่อมต้องเห็นแก่บุตรสาวมาเป็อันดับหนึ่ง อืม ปล่อยให้เป็เช่นนี้แหละ รอจนนางคุ้นชินกับตนจนกระทั่งมิอาจละจากไปได้ เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็นับว่าคุ้มค่ายิ่งแล้ว
“หากยังจะถามให้มากความ ข้าจะตอบว่า ‘ไม่’ แล้วนะ” นางกล่าวอย่างใส่อารมณ์
ตกกลางคืนหวานหว่านนอนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง นี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสามนอนด้วยกันเช่นนี้ อวิ๋นซีกอดบุตรสาวเข้านอน ส่วนจวินเหยียนนั้นได้นอนมองดูดวงหน้าของสองแม่ลูกที่ทำเอาคนอดโค้งมุมปากยิ้มไม่ได้ มีเื่บางเื่ที่ฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง ทว่าแปดเก้าส่วนในสิบส่วนเขามั่นใจในฐานะที่แท้จริงของอวิ๋นซีแล้ว
“ไม่ว่าแท้จริงแล้วตัวเ้าจะเป็ใคร แต่ชาตินี้ข้าปักใจเพียงเ้า” แม้แต่บุตรสาวที่เลี้ยงดูมาเกือบสามปีโดยมิรู้ในชาติกำเนิด สุดท้ายแล้วจะเจอเข้ากับจุดพลิกผันที่ลดเลี้ยวไปมาเพียงนี้ ทั้งยังลุกลามไปถึงสตรีข้างกายตน สำหรับจวินเหยียนแล้ว เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนต้องเป็ลิขิต์
อันที่จริงในตอนนั้นอวิ๋นซียังไม่ได้หลับ ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ของเขา ใจนางก็ถึงกับสั่นไหว หรือว่าเขาจะสงสัยในตัวตนของนางแล้วจริงๆ ?
เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้า พวกเขาต่างพากันแปลงโฉม ก่อนจะลงมากินอาหารเช้าที่ชั้นหนึ่ง เมื่อกินเสร็จแล้วจึงเดินทางออกจากในอำเภอ และมุ่งหน้าไปยังเมืองอู้ ่ยามอู่ก็หยุดแวะกินซาลาเปาและเนื้อตุ๋นพะโล้อย่างง่ายๆ ที่โรงน้ำชาข้างทาง
จนกระทั่งต้นยามโหย่ว ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจางเจียวาน ซึ่งเป็ที่ตั้งของสวนตระกูลฉิน ในระหว่างที่กำลังเข้าไปในหมู่บ้านนั้น จวินเหยียนก็บอกกับนางว่า “หมู่บ้านนี้ไม่ได้ใหญ่โต มีชาวบ้านอยู่รวมกันแค่ไม่กี่สิบครัวเรือนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาล้วนเป็ผู้เช่าของตระกูลฉิน นี่คือหมู่บ้านบน ส่วนหมู่บ้านล่างนั้นค่อนข้างใหญ่กว่ามาก มีชาวบ้านอยู่รวมกันกว่าร้อยครัวเรือน แต่ที่นั่นมิใช่อาณาเขตของสวนเราแล้ว”
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่าจางเจียวานเล็กๆ แห่งนี้ยังจะสามารถแบ่งเป็หมู่บ้านบนกับหมู่บ้านล่างได้อีก อีกทั้ง หลายสิบครัวเรือนในหมู่บ้านบนก็ยังมีหน้าที่จัดการดูแลที่ดินหลายร้อยมู่ ยิ่งกว่านั้น ณ ที่แห่งนี้ยังมีหุบเขาหนาทึบอยู่เื้ัอยู่อีกด้วย นี่สินะที่เขาว่ากันว่า พื้นที่ดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาคงเป็เช่นนี้เอง
ตอนที่ไปถึงหมู่บ้านบน รถม้าของคณะเดินทางตระกูลฉินก็เคลื่อนเข้าไปจนถึงเรือนหลังหนึ่งที่มุงกระเบื้องดำหลังใหญ่ และเมื่อลงจากรถม้า เพ่ยเอ๋อร์ก็เป็ฝ่ายเข้ามาอุ้มตัวหวานหว่านไว้ ส่วนเซียงเอ๋อร์กำลังยืนยิ้มแย้มต้อนรับ จากนั้นจึงอธิบายให้อวิ๋นซีฟังอยู่ด้านข้าง “ฮูหยิน ที่นี่เป็สถานที่ที่นายท่านสร้างไว้เมื่อหลายปีก่อนด้วยหวังว่าในทุกหน้าร้อนจะแวะมาพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง มิคาดเมื่อสร้างเสร็จแล้ว หนนี้กลับเป็ครั้งแรกที่นายท่านเพิ่งเคยได้มา”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินดังนั้นก็อดถามต่อไม่ได้ “เหตุใดจึงไม่เคยมา? ”
“เมื่อก่อนไม่อยากมา ส่วนตอนหลังพอมีหวานหว่าน เมื่อคิดอยากจะมาก็มาไม่ได้ เพราะตอนนั้นสุขภาพของนางก็ยังไม่ค่อยดีนัก ไม่อาจเดินทางไกลได้ ทว่า โชคดีที่่นี้ได้กินโอสถจากตำรับยาที่เ้าเขียนให้ สุขภาพนางจึงดีขึ้นมากเพียงนี้ ข้าถึงได้กล้าพานางออกมา” ที่นี่เดิมทีถูกสร้างไว้สำหรับหนีร้อนมาพักผ่อน แต่หากบุตรสาวไม่ได้มาด้วย ให้เขามาคนเดียวก็คงไม่สนุกอะไร ดังนั้นหลังจากสร้างเสร็จแล้ว ตัวเขาจึงยังไม่มีโอกาสได้มาเลยสักครั้ง
“ตอนนี้นับว่าดียิ่งแล้วเ้าค่ะ เพราะนายท่านสามารถพาทั้งฮูหยินและคุณหนูมาด้วยได้แล้ว” เพ่ยเอ๋อร์วางเด็กน้อยช่างสงสัยลงบนพื้น จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
อวิ๋นซีเพียงมองพวกเขาเรียบๆ ไปทีหนึ่ง จากนั้นก็พาหวานหว่านเข้าห้องไป เรือนหลังนี้นับว่าสร้างได้ไม่เลว อีกทั้งยังตั้งอยู่ห่างจากตัวนครหานโจวไม่ไกลนัก และหากนางจำไม่ผิด ด้านหลังเขาลูกใหญ่นี้ก็เป็พื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของหานโจวแล้ว หรือก็คืออีกด้านของูเาเป็บริเวณชายแดนที่หานโจวและชิงโจวมากัน
นอกจากนี้ ผู้ที่ดูแลชิงโจวอยู่ดูเหมือนว่าจะเป็อาเขยของลู่หลิงฉิง หากให้พูดถึงอาหญิงและอาเขยของลู่หลิงฉิง ตัวนางเองก็เคยมีโอกาสได้พบอยู่สองสามครั้ง ครั้นได้เจอกันก็เป็ตอนที่พวกเขาเดินทางจากชิงโจวมาเยี่ยมญาติในเมืองหลวง โดยยามนั้นลู่หลิงฉิงได้เทียบเชิญให้นางไปเป็แขก
ชั่วขณะนั้นเมื่อหวนนึกถึงใบหน้าของลู่เหม่ยซีที่เต็มไปด้วยความเมตตาเหมือนมารดาตน นางก็อดถามจวินเหยียนไม่ได้ “ยามนี้แม่ทัพใหญ่ของชิงโจวคือผู้ใด? ”
“ป่ายเจี้ยนตง คนผู้นี้ในแคว้นหนานเย่าเรียกได้ว่าเป็บุคคลในตำนานก็ว่าได้ เขาเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ที่แสนยากจนแห่งหนึ่งในชิงโจว โชคไม่ดีที่มารดาเขาหลังจากที่คลอดเขาออกมาแล้วก็ตกเืตาย ดังนั้น เขาจึงต้องขึ้นเขาล่าสัตว์กับบิดามาแต่ยังเด็ก ทำให้เขาเป็คนจริงใจ ตรงไปตรงมา และมีความสัตย์ซื่อเยี่ยงชายชาตรีที่มาจากครอบครัวเกษตรกร ทั้งยังเป็คนเฉลียวฉลาด ทว่าเมื่อสิบแปดปีก่อนเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในชิงโจว ในเหตุการณ์ครั้งนั้นบิดาของเขาถูกทหารฏสังหาร เดิมทีเขาคิดจะสังหารหัวหน้าทหารฏเพื่อแก้แค้นให้บิดา ทว่าในตอนที่ทุกคนพากันคิดไปว่าเขาทำได้แค่คิดเพ้อฝันนั้น เขากลับสามารถสังหารหัวหน้าทหารฏได้จริงๆ ยิ่งกว่านั้น แม่ทัพาุโอวิ๋นที่กำลังนำทัพมาปราบฏได้บังเอิญเห็นความสามารถในตัวเขาเข้า สุดท้ายจึงได้พาคนกลับไปยังเมืองหลวงด้วย”
อวิ๋นซีเลิกคิ้ว “แม่ทัพาุโอวิ๋น? ” หรือจะหมายถึงแม่ทัพาุโอวิ๋นที่นางรู้มาว่าในมือมีกำลังทหารหาญสามสิบหมื่นนั่นน่ะหรือ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้