บทที่ 147 คุณหนูใหญ่ตระกูลเซียวทนคำยุยงไม่ไหว
สวี่จือจือไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในตระกูลเซียว
หลังจากนวดให้ลู่จิ่งซานเสร็จ เธอถามด้วยความตื่นเต้นว่า “คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
“ค่อนข้าง…ดีเลย” ลู่จิ่งซานยิ้ม “วันนี้วันแรก คุณทำได้ดีมากเลย”
สวี่จือจือถึงได้ผ่อนคลายลง “ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ใช่ไหม? มีจุดฝังเข็มสองจุดที่ฉันไม่ค่อยแน่ใจ แต่ถ้าคุณไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว”
“ว่าแต่คืนนี้อยากกินอะไรดี? ฉันจะไปดูในครัวว่ามีอะไรบ้าง” เธอกล่าว
“หน้าปากซอยมีร้านบะหมี่ที่ไม่เลวเลย” ลู่จิ่งซานบอก “วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว คืนนี้พวกเราไม่ต้องทำกับข้าวกันดีกว่า ไปกินบะหมี่กันเถอะ”
ก็ได้
พอเขาพูดแบบนั้น สวี่จือจือก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจริงๆ
เธอเก็บสมุดบันทึกเรียบร้อย พอถึงตอนเย็นก็เข็นลู่จิ่งซานไปยังร้านบะหมี่ที่เขาบอก ไม่นึกเลยว่าร้านนี้จะมีคนมากินบะหมี่กันเยอะขนาดนี้
ทั้งสองหาโต๊ะเล็กๆ ในมุมหนึ่งนั่งลง สวี่จือจือสั่งบะหมี่ผัดซอสให้ทั้งคู่แบบไม่ลังเล และยังเห็นว่าร้านนี้มีซี่โครงหมักซอสขายด้วย
เธอสังเกตดูรอบๆ เห็นว่าคนที่มากินส่วนใหญ่ดูเหมือนเป็คนคุ้นเคยในละแวกนี้ และหลายคนสั่งซี่โครงหมักซอสกัน เธอคิดแล้วสั่งเพิ่มมาอีกสองชิ้น
ตอนจ่ายเงิน สวี่จือจือรู้สึกเสียดายอยู่ไม่กี่วินาที
เมืองหลวงก็คือเมืองหลวงจริงๆ ซี่โครงหมักซอสสองชิ้นกับบะหมี่ผัดซอสเย็น หมดไปสามหยวนหกเหมา
แพง แพงชะมัด!
แต่พอได้กินคำแรก สวี่จือจือก็ไม่เสียดายแล้ว
เงินที่จ่ายไปคุ้มค่าสุดๆ
เส้นบะหมี่เหนียวนุ่มหนึบ ซอสผัดก็หอมเข้มข้น รสชาติในปากช่างสุดยอดเกินบรรยาย
ซื้อซี่โครงหมักซอสยังแถมผักดองมาให้จานเล็กๆ ผักดองเผ็ดๆ กินคู่กับซี่โครงและบะหมี่ผัดซอส ช่วยตัดเลี่ยนจากเนื้อได้ดี ความพึงพอใจยิ่งมากกว่ากินแค่บะหมี่ผัดซอสอย่างเดียวเสียอีก
ไม่แปลกใจเลยที่ร้านนี้ขายดีขนาดนี้
สวี่จือจืออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าร้านซาลาเปาของพวกเธอขายดีแบบนี้บ้างก็คงจะดี
อาจเพราะกินแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่จือจือยิ่งสดใสขึ้น
“ถ้าอร่อย พรุ่งนี้มากินกันอีก” ลู่จิ่งซานกล่าว
สวี่จือจือยิ้มแล้วส่ายหัว
บะหมี่ผัดซอสเธอก็ทำได้ มากินที่นี่แพงเกินไป
เมื่อก่อนเธอคิดว่าเงินพอใช้ก็พอแล้ว แต่หลังจากเจอเื่ครั้งนี้ สวี่จือจือรู้สึกว่าเธอต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
ไม่ใช่ว่าเงินแก้ได้ทุกอย่าง แต่ในตอนที่ไม่มีอำนาจ อย่างน้อยเธอก็ต้องมีเงิน
ยิ่งไปกว่านั้น ขาของลู่จิ่งซานถึงจะรักษาโดยไม่เสียเงิน แต่การบำรุงร่างกายก็ต้องใช้เงินไม่ใช่เหรอ?
ต่อไปเธอจะมาเรียนที่เมืองหลวง ค่าครองชีพสูงขนาดนี้ ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น
“ไม่อร่อยเหรอ?” ลู่จิ่งซานเห็นเธอเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหน้าบูดบึ้ง เลยถามว่า “หรือจะให้เปลี่ยนเป็บะหมี่ซี่โครงให้คุณ? เมื่อกี้ได้ยินคนข้างๆ บอกว่าบะหมี่ซี่โครงที่นี่ก็อร่อย”
“ไม่ต้องหรอก” สวี่จือจือก้มหน้ากินบะหมี่ผัดซอสคำหนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า “อันนี้ฉันทำให้คุณกินที่บ้านได้ รับรองว่าใส่เครื่องเยอะกว่านี้แน่”
อร่อยก็จริง แต่แพงเกินไป
สวี่จือจือคีบผักดองอีกคำ รสเผ็ดสะใจ คิดในใจว่ากลับไปที่หมู่บ้านแล้วต้องทำผักดองแบบนี้กินบ้าง กินเป็กับข้าวอะไรแน่นอน
“โชคร้ายจริงๆ” ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจาก้า “มากินข้าวที่นี่ยังเจอได้อีก ช่างซวยอะไรอย่างนี้”
สวี่จือจือวางตะเกียบลง แค่ได้ยินเสียงเธอก็รู้แล้วว่าเป็ใคร
“จุ๊ๆๆ…ต่างคนต่างซวยแล้วกัน” เธอยิ้มมองเซียวจิ้งเหวินแล้วกล่าวว่า “ฉะนั้นเชิญเลย”
“ฉันจะไปทำไม?” เซียวจิ้งเหวินตอนแรกไม่ได้อยากมากินที่นี่ แต่พอถูกสวี่จือจือพูดแบบนี้ บังเอิญคนข้างๆ กินเสร็จลุกไปพอดี เธอเลยนั่งลงเสียเลย “วันนี้ฉันจะกินที่นี่แหละ”
“อ้อ” สวี่จือจือพยักหน้าแบบไม่สนใจ “แต่น่าเสียดาย ผักดองที่ขายดีที่สุดของร้านนี้ เธอคงไม่มีวาสนาได้กิน”
“คนบ้านนอกจากที่เล็กจ้อย” เซียวจิ้งเหวินหัวเราะเยาะ “ของขึ้นชื่อของร้านนี้ก็คือซี่โครงหมักซอสกับบะหมี่ผัดซอสน่ะสิ”
คิดว่าเธอไม่รู้หรือไง?
เธอเป็คนเมืองหลวงแท้ๆ เลยนะ
“แน่นอนอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มที่มากับเซียวจิ้งเหวินพูดประจบว่า “ที่นี่ซี่โครงหมักซอสกับบะหมี่ผัดซอสอร่อยที่สุด เหวินเหวิน เธอรอเดี๋ยว ฉัน…”
“ชิ” สวี่จือจือพูดเบาๆ ว่า “ยังจะคนเมืองหลวงอะไรกัน แม้แต่เื่นี้ยังไม่รู้ คุณหนูใหญ่ตระกูลเซียวลืมตาดูให้ดีๆ สิ ทุกคนสั่งผักดองกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?”
“แต่เธอคงไม่มีวาสนาได้ลิ้มลองอยู่แล้ว”
สวี่จือจือจิ๊ปากอีกสองที แล้วหันไปบอกลู่จิ่งซานว่า “รีบกินเถอะ อยู่ใต้ชายคาเดียวกับคนไม่มีความรู้แบบนี้น่าอึดอัดจะตาย”
“เธอต่างหากที่ไม่มีความรู้” เซียวจิ้งเหวินหน้าแดงก่ำ
แต่สวี่จือจือคีบผักดองใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย “อร่อยจริงๆ ความอร่อยแบบนี้คนบางคนไม่มีวันได้ลิ้มลอง น่าสงสารจริงๆ เลย”
“อย่าทำเป็ได้ใจไปหน่อยเลย” เซียวจิ้งเหวินจ้องสวี่จือจือด้วยความโกรธแล้วหันไปบอกเด็กหนุ่มข้างๆ ว่า “นายยังยืนนิ่งอยู่อีก ไปเอาผักดองมาให้ฉันสองจาน ไม่สิ สามจาน!”
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย “เหวินเหวิน ผักดองนี่มันเผ็ดนะ”
เซียวจิ้งเหวินร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ั้แ่เด็กกินแต่ของจืดๆ ทุกคนรู้กันดี ่นี้เขากำลังจีบเซียวจิ้งเหวิน ตอนแรกจะพาเธอไปกินที่ร้านอาหารของรัฐ แต่เธอบอกว่าเบื่อแล้วไม่อยากกิน
บังเอิญว่าหลิวเชารู้ว่าร้านบะหมี่ผัดซอสที่นี่อร่อยมาก เลยพาเธอมา
ถึงร้านจะดูไม่โดดเด่น แต่ขายดีมาก เซียวจิ้งเหวินขมวดคิ้วตามเขาเข้ามาในร้าน สุดท้ายยังมาเจอคนที่ไม่ถูกชะตากันอีก
“นายหมายความว่ายังไง?” เซียวจิ้งเหวินโกรธที่สุดเวลาคนพูดว่าเธอร่างกายไม่ดี “ถ้านายไม่อยากเลี้ยงก็ไม่ต้อง ฉันมีเงินของตัวเอง”
“อย่าเลย ฉันไปซื้อให้ก็ได้” หลิวเชารีบพูดประจบ “เธอนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ”
ก่อนไปสั่งอาหารยังไม่ลืมเช็ดเก้าอี้ให้เซียวจิ้งเหวินอีก
จุ๊ๆ…
สวี่จือจือเหล่มองลู่จิ่งซาน ดูสิ ท่าทางจีบสาวของคนอื่น
ลู่จิ่งซานยิ้มอย่างเอ็นดู ช่วยเธอแยกเนื้อจากซี่โครงหมักซอสใส่ชามให้
สวี่จือจือไม่เกี่ยง ยิ้มตาหยีแล้วใส่เนื้อเข้าปาก แก้มป่องๆ ขณะเคี้ยวเนื้อดูเหมือนแฮมสเตอร์ตัวน้อยที่กำลังลิ้มรสของอร่อย
น่ารักสุดๆ
ความอ่อนโยนบนใบหน้าของลู่จิ่งซานยิ่งเด่นชัดขึ้น
“หน้าไม่อาย” เซียวจิ้งเหวินถูกป้อนอาหารหมาก็พูดด้วยความโมโห
“เขาคือผู้ชายของฉัน” สวี่จือจือเบ้ปากแล้วพูด “พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันมันสมเหตุสมผล ไม่เหมือนคนบางคนนั่นแหละที่หน้าไม่อายจริงๆ”
เซียวจิ้งเหวินโกรธจนแทบตาย
และในตอนนั้นเอง หลิวเชาก็เดินถือผักดองสองจานมา “รอฉันไปเอาซอสเนื้อวัวก่อนนะ”
แต่เซียวจิ้งเหวินทำเหมือนไม่ได้ยิน กลั้นความโกรธคีบผักดองใส่ปาก
“เผ็ดมากนะ” สวี่จือจือยิ้มแล้วกล่าว “สหายน้อยคนนี้ถ้ากินไม่ได้ก็อย่าฝืน สิ้นเปลืองอาหารน่าละอายนะ”
คำพูดนี้เกือบทำให้เซียวจิ้งเหวินสำลักตาย
จะคายก็ไม่ได้ ไม่คายก็ไม่ไหว
สุดท้ายภายใต้สายตาของสวี่จือจือ เธอก็ฝืนกลืนผักดองเผ็ดๆ นั้นลงไป รู้สึกเหมือนคอจะลุกเป็ไฟ
“ผักดองอะไรกัน แสบปากขนาดนี้” เซียวจิ้งเหวินน้ำตาคลอ
“รีบกินเนื้อตามลงไปสิ” หลิวเชาก็ตะลึงไปเหมือนกัน
คุณหนูใหญ่คนนี้ทำไมทนคำยุยงไม่ได้ขนาดนี้ล่ะ?
.............................