“เื่ยังไม่ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ ตามคำสารภาพผิดของโจรลักพาตัว...” กู้จวิ้นเฉินถ่ายทอดคำสารภาพผิดของโจรลักพาตัวทั้งสองให้แก่จ้าวหนิงฮ่องเต้ฟังรอบหนึ่ง
จ้าวหนิงฮ่องเต้เบิกพระเนตรกว้าง “บุตรชายของหลี่ซวี่ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก” ะโหน้าต่างหนี เด็กน้อยอายุเพียงห้าขวบ ช่างมีความกล้าหาญและฉลาดวางแผน
เมื่อได้ยินจ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสประโยคนี้ออกมา สีหน้าของกู้จวิ้นเฉินพลันดำทะมึนลงทันที “ขวัญของเขาช่างกล้าดียิ่งนัก” น้ำเสียงที่พูดนั้นกัดฟันแน่น
จ้าวหนิงฮ่องเต้เลิกพระขนง จากนั้นจึงทรงพระสรวลขึ้นมา “นี่เ้ากำลังโมโหใช่หรือไม่?” หลานชายที่ไม่เคย้าสิ่งใดผู้นี้ของเขารู้จักโมโหด้วยหรือ?
กู้จวิ้นเฉินสงบสติอารมณ์และสีหน้าลงแล้วจึงกล่าวว่า “เสด็จอามองผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังหนักใจพ่ะย่ะค่ะ”
หนักใจหรือ? เหตุไฉนจ้าวหนิงฮ่องเต้จึงรู้สึกว่าเขาโมโหมากกว่าเล่า? ทว่าสีหน้าของจ้าวหนิงฮ่องเต้พลันเคร่งขรึมขึ้นมา “ท่ามกลางฝูงชน ใต้หล้าโอรส์ พวกค้ามนุษย์นั้นบังอาจเช่นนี้”
“ใต้หล้านี้กว้างใหญ่นัก ย่อมไม่สามารถจัดการให้เื่ราวทุกเื่ให้เรียบร้อยลงได้” กู้จวิ้นเฉินตอบ
“ในเมื่อเ้าได้เอาตัวเข้าไปมีส่วนในเื่นี้แล้ว เื่พ่อค้ามนุษย์เจิ้นยกให้เ้าไปจัดการ”
“จวิ้นเฉินน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาทรงมีราชกิจมากมาย หลานขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” พูดแล้วไม่รอให้จ้าวหนิงฮ่องเต้อนุญาต กู้จวิ้นเฉินก็หันกายจากไปเสียแล้ว
“นี่...จวิ้นเฉิน...” ทิ้งให้จ้าวหนิงฮ่องเต้ไตร่ตรอง ไยจึงเปลี่ยนสีหน้าได้เช่นนี้เล่า เมื่อก่อนไม่ได้เป็เช่นนี้นี่นา “ต้าไห่ เ้าว่าจวิ้นเฉินยิ่งโตยิ่งอารมณ์ร้ายหรือไม่?”
ไห่กงกงตอบเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องมีความสัมพันธ์อันดีต่อเสี่ยวโหวเหฺย หนักใจเื่เสี่ยวโหวเหฺยนั้นเป็เื่สมควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ถูกต้อง” จ้าวหนิงฮ่องเต้ยังคงยืนยันในความคิดของตน “เขากำลังโมโห”
“ฝ่าาตรัสอันใดล้วนถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบของไห่กงกงเป็ทางการยิ่งนัก
“...” จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ตรัสอันใดต่อแล้ว หนึ่งคน สองคน ล้วนแต่ใช้อารมณ์กันทั้งสิ้น
กู้จวิ้นเฉินไม่ได้นอนทั้งคืน คนของจวนว่าการและทหารม้าห้าเมืองผลัดเปลี่ยนคนรอบแล้วรอบเล่าทำการตามหา ส่วนลูกค้าลึกลับผู้นั้นของจี๋เล่อฟางที่โจรลักพาตัวได้ให้ปากคำไว้นั้นกำลังอยู่ในระหว่างการสืบหาตัว จิตใจของเขาที่กำลังรอคอยผลการสืบหานั้นยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านอ๋อง เชิญท่านอ๋องไปพักผ่อนสักครู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีพูด
กู้จวิ้นเฉินส่งเสียงอืมครั้งหนึ่ง “มีเบาะแสอันใดให้รายงานเปิ่นหวางทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ลั่วปวดศีรษะจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นมาพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่มบางๆ ผืนหนึ่งคลุมร่างกายอยู่ แต่สิ่งแวดล้อมภายในบ้านค่อนข้างแย่ นี่เป็บ้านของชาวบ้านธรรมดาสามัญ
หลี่ลั่วเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น ร่างกายของเขาโอนเอนไปมา เขาปวดศีรษะมาก หนักศีรษะเหลือเกิน เมื่อย้อนคิดถึงเื่เมื่อวาน ดูจากรูปการณ์แล้วเขาคงถูกคนช่วยเหลือเอาไว้ ครั้นได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอก หลี่ลั่วจึงคลานลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง เขาเดินมาถึงประตูแล้วมองออกไปยังพื้นที่กว้างขวางเบื้องนอก มีเด็กเล็กหลายคนเล่นกันอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเล่นอันใดกันอยู่ เสียงหัวเราะสดใสร่าเริง มีความสุขอย่างยิ่ง
หลี่ลั่วเองได้ผ่านวัยใน่นี้มาแล้ว แต่เขาลืมไปแล้วว่าตนในวัยนั้นเป็เช่นใด ความสุขที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนั้นมาจากที่ไหนกัน
“เ้าตื่นแล้ว” สตรีผู้หนึ่งเดินหิ้วถังน้ำเข้ามา เห็นหลี่ลั่วยืนอยู่หน้าประตู “เป็เช่นใดบ้าง? มีรู้สึกไม่สบายที่ใดบ้างหรือไม่? เมื่อพบเ้ายามเช้าตรู่เ้ากำลังจับไข้อยู่ พวกเราที่นี่เป็ชาวชนบทห่างไกล ไม่มีท่านหมอ ได้แต่ใช้วิธีรักษาเยี่ยงชาวบ้านลดความร้อนในตัวลงให้เ้า”
สีหน้าซีดขาวของหลี่ลั่วยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านน้าที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“ฟังสำเนียงการพูดจาและอาภรณ์ที่เ้าสวมใส่เมื่อวานแล้ว เ้าน่าจะเป็เด็กจากครอบครัวมั่งคั่ง ไฉนเ้าจึงได้มาลอยอยู่ในน้ำเล่า? เ้าไหลมาตามน้ำจนมาถึงริมลำธารหมู่บ้านของพวกเรา ข้าไปซักผ้ายามเช้าจึงพบเ้าเข้า” หญิงชาวบ้านกล่าว
“เมื่อคืนข้ามาเที่ยวทะเลสาบแล้วก้าวพลาดตกน้ำ คิดว่าญาติๆ น่าจะเป็กังวลมากขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว “ท่านน้า จากที่นี่ไปเมืองหลวงไกลหรือไม่ขอรับ?”
“เมื่อคืนนี้รึ?” หญิงชาวบ้านสะดุ้งใ “พูดเช่นนี้แสดงว่าเ้าลอยอยู่ในน้ำทั้งคืนรึ มิน่าเล่าจึงลอยมาถึงพวกเราที่นี่ จากที่นี่หาก้าไปเมืองหลวงต้องนั่งรถม้าเป็เวลาหลายวัน”
หลายวันหรือ? หลี่ลั่วขมวดคิ้ว รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอีกเป็ระลอก เพราะตัวยังร้อนไม่หาย “ท่านน้า ข้าขอรบกวนท่านสักสองเื่จะได้หรือไม่? หลังจากแล้วเสร็จข้าจะขอบคุณท่านอย่างงาม”
“ไม่ต้องๆ ขอเพียงพวกเราช่วยเ้าได้ เ้าบอกมาตรงๆ ก็พอแล้ว” หญิงชาวบ้านรีบพูด
หลี่ลั่วยิ้มอย่างอ่อนแรง “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ เื่ที่หนึ่ง ท่านมีกระดาษและพู่กันหรือไม่? ข้า้าเขียนใบสั่งยา รบกวนให้ท่านไปจัดยามาให้ข้า ข้า...” หลี่ลั่วเขินอายเล็กน้อย “บนตัวข้าไม่มีเงิน แต่หลังจากที่ญาติของข้ามารับข้าจะคืนท่านแน่นอน”
“เื่นี้ไม่มีปัญหา เ้าจะเขียนใบสั่งยารึ? เ้ายังเด็กเช่นนี้รักษาไข้ได้ด้วยหรือ?” ช่างเก่งกาจอันใดเช่นนี้ เป็ลูกหลานของสกุลมั่งคั่งแน่แล้ว “แต่ที่นี่พวกเราไม่มีกระดาษและพู่กัน หากแต่ข้าพาเ้าไปหาท่านหมอในเมืองได้”
“เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านน้าแล้ว เื่ที่สอง รบกวนให้ท่านน้าหาคนที่ไว้ใจได้ไปส่งข่าวให้ที่บ้านข้าได้หรือไม่?” หลี่ลั่วครุ่นคิด “หากในเรือนของท่านน้ามีชายหนุ่ม ย่อมเป็การดีที่สุดขอรับ”
“เื่นี้...สามีของข้าต้องทำงาน” หญิงชาวบ้านตอบอย่างขัดเขิน
“ไม่มีปัญหาขอรับ ท่านอาช่วยข้าส่งข่าว ขอบคุณตามธรรมเนียมมารยาทเป็เงินห้าสิบตำลึง พอหรือไม่ขอรับ?” หลี่ลั่วถาม
“นี่มัน...ไม่ต้องมากถึงเพียงนั้นก็ได้ พวกเราไม่เอาเปรียบเ้าดอก” หญิงชาวบ้านยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปอีก
หลี่ลั่วมองออกว่าหญิงชาวบ้านนี้เป็คนดี และเป็คนซื่อสัตย์สุจริต “ท่านน้าช่วยข้าเอาไว้ ข้าขอบคุณยิ่งนัก รบกวนท่านอาไปส่งจดหมายให้ข้าที ค่าแรงย่อมต้องเพิ่มให้ ไม่เช่นนั้นหากต้องเสียเวลาทำงานของท่านอาแล้ว ข้ายิ่งรู้สึกไม่ดีน่ะขอรับ”
“เ้าช่างเป็เด็กที่...เ้าเป็เด็กจากครอบครัวใดในเมืองหลวงหรือ?” หญิงชาวบ้านถูกหลี่ลั่วพูดโน้มน้าวเสียจนต้องยิ้มออกมา
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แววตาของหลี่ลั่วมีความเ็าพาดผ่าน ไม่ว่าเขาจะถูกลักพาตัวโดยมีคนวางแผนหรือเป็เื่บังเอิญก็ตาม เขาต้องระวังและป้องกันตัวให้มาก เมื่อวานเป็วันไหว้พระจันทร์ เขาจึงให้หลี่ฉางเฉิงกลับบ้านไปฉลองเทศกาล คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเื่ราวเช่นนี้ ต่อไปหากอยู่ในสถานการณ์ที่ตนไม่มีความสามารถปกป้องตนเองเขาจะไม่สะเพร่าอีกแล้ว และการส่งข่าวนี้เขาไม่ไว้ใจจวนโหว เขาอาจจะเป็คนใจแคบก็ได้ ทว่าไม่ป้องกันเอาไว้ก่อนไม่ได้ เช่นนั้นผู้ที่เขาเชื่อใจนั้นมีอยู่สามคน จ้าวหนิงฮ่องเต้เป็ฮ่องเต้ในวังหลวง ชาวบ้านธรรมดาย่อมเข้าพบไม่ได้ คนถัดมาคือหลี่จงิ แต่ตนเองได้หลบหนีออกมาแล้ว หลี่ลั่วหนักใจว่าหากเป็การวางแผนลักพาตัว เช่นนั้นย่อมต้องมีคนไปดักป้องกันที่หลี่จงิ ดังนั้นคนสุดท้าย ชาวบ้านเข้าพบได้ และหากเป็ผู้ที่มีใจจะช่วยแล้วนั้นย่อมไม่ป้องกัน
ฉีอ๋องกู้จวิ้นเฉิน
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าฉีอ๋องผู้สูงส่งจะไม่ช่วยเหลือตน?
“จวนฉีอ๋องในเมืองหลวงขอรับ”
“อะไรนะ?” หญิงชาวบ้านใจนโง่งมไปเลยทีเดียว
ณ จวนฉีอ๋อง เมืองหลวง
“ลั่วเอ๋อร์...ลั่วเอ๋อร์...” กู้จวิ้นเฉินลืมตาขึ้นพรึ่บพร้อมกับเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผากของเขา เขายังไม่สามารถรวบรวมสติกลับมาได้ กู้จวิ้นเฉินรู้ในทันทีว่าเขากำลังฝันร้าย นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้ฝันร้าย? หกปีแล้ว หกปีก่อนเมื่อครั้งที่เสด็จพ่อเพิ่งจะจากไป เขามักจะนอนแล้วตื่นจากฝันร้ายเสมอ การนองเืในครั้งนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ลืมมันไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะเว้นระยะมาเป็เวลาหกปี เป็เพราะเ้าสารเลวตัวน้อยนั่นทำเขากลับไปฝันร้ายอีกแล้ว
“จวิ้นอี” กู้จวิ้นเฉินเรียกขึ้น
“ท่านอ๋อง” ต่อให้ท่านอ๋องฝันร้าย หากไม่มีคำสั่งท่านอ๋อง จวิ้นอีย่อมไม่ส่งเสียงใดๆ
“เปิ่นหวางจะอาบน้ำ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินนั่งหลับตาอยู่ในถังไม้ ในสมองของเขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ทั้งหมดของเมื่อวาน หากว่าลั่วเอ๋อร์ะโหน้าต่างจริงๆ มีความเป็ไปได้สองประการ ประการแรกคือตายหรือหมดสติ อีกประการหนึ่งคือได้รับาเ็หรือไม่เป็อันใด หากตายหรือหมดสติ ร่างของเขาต้องอยู่บนถนนสายนั้น ดังนั้นย่อมต้องถูกพบแน่นอน หากได้รับาเ็หรือไม่เป็อันใด เช่นนั้นเขาน่าจะหนีไปไม่ไกลและซ่อนตัวเอาไว้ เมื่อคืนการเคลื่อนไหวใหญ่โต ด้วยสมองอันเฉลียวฉลาดของเขาต้องรู้แน่นอนว่าคนเ่าั้กำลังตามหาเขาอยู่ เช่นนั้นย่อมตามหาตัวเขาจนเจอ
แต่เมื่อคืนตลอดทั้งคืนกลับคว้าน้ำเหลว เหลือความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวคือ ลั่วเอ๋อร์ไม่อยู่ที่เดิม และไม่ได้ซ่อนตัว เหตุใดเขาจึงไม่ซ่อนตัว? กู้จวิ้นเฉินพยายามทำให้ใจของตนสงบนิ่ง มีเพียงใจที่สงบนิ่งเท่านั้นจึงจะค้นพบได้ว่ามีสิ่งใดตกหล่นไป
น้ำในถังไม้นั้นมีควันจากความร้อนลอยออกมา ผิวของเขาััได้ถึงอุณหภูมิความร้อนจากน้ำ กู้จวิ้นเฉินพลันลืมตาขึ้น ยังมีความเป็ไปได้อีกทางหนึ่ง เมื่อวานขณะที่ผ่านเส้นทางสายนั้น มีแม่น้ำ และสถานที่ที่ลั่วเอ๋อร์ะโลงจากรถม้าเป็ด้านที่ติดกับริมแม่น้ำพอดี หากตกลงไปในน้ำละก็...กู้จวิ้นเฉินลุกพรวดขึ้นมา “จวิ้นอี เตรียมม้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยแล้วจึงออกจากจวน พบกับอั้นมู่ที่กลับเข้าจวนมาพอดี “ท่านอ๋อง นี่เป็ภาพวาดที่วาดตามการให้ปากคำของโจรลักพาตัวทั้งสองคนพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็ภาพวาดที่คนของจี๋เล่อฟางบรรยายออกมา นี่คือภาพวาดที่วาดตามคำบรรยายรูปพรรณของนายหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
อั้นมู่มอบภาพวาดทั้งสามให้แก่กู้จวิ้นเฉิน
“วางไว้ก่อนเถิด รอให้เปิ่นหวางกลับจวนค่อยคุยกัน” กู้จวิ้นเฉินเห็นจวิ้นอีจูงม้าออกมาแล้วจึงลอยตัวขึ้นไปบนหลังม้า “ย่าห์...” แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่จวิ้นอียังถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
“ท่านอ๋อง” จวิ้นอีติดตามไป
เมื่อกู้จวิ้นเฉินเห็นรอยเืที่ซ่อนอยู่บนพื้นหญ้า หัวใจก็พลันบีบรัดปวดหนึบขึ้นมา นี่เป็ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีโอกาสรู้สึกมาก่อน ราวกับเ็ปไปทั่วร่าง กู้จวิ้นเฉินคุกเข่าลงเพียงข้างเดียว นิ้วมือแตะไปที่รอยเื เช่นนั้นน่าจะเป็รอยกระแทกในตอนที่เ้าสารเลวตัวน้อยะโลงมา
จวิ้นอีกลั้นหายใจไม่กล้าเอ่ยวาจา นายท่านในลักษณะอาการเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขารู้ว่านายท่านของตนรักและเอ็นดูเสี่ยวโหวเหฺยยิ่งนัก รักและเอ็นดูราวกับเป็ญาติสนิท ราวกับเป็น้องชายตัวน้อย แม้นายท่านจะไม่ใช่คนที่ช่างเจรจา แต่เขาซึ่งเป็คนที่คอยมองดูอยู่ข้างๆ ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เสี่ยวโหวเหฺยมาเยือนจวนฉีอ๋อง นายท่านมักจะให้คนเตรียมของว่างที่งดงามประณีตที่สุดเสมอ ทุกครั้งที่เสี่ยวโหวเหฺยนอนหลับในห้องหนังสือของนายท่าน นายท่านมักจะห่มผ้าห่มบางๆ ลงบนร่างของเสี่ยวโหวเหฺยด้วยตนเอง จากนั้นบีบแก้มของเขา ความรู้สึกเช่นนั้น ช่างอ่อนโยนยิ่งนัก
แต่บัดนี้ นายท่านมีสีหน้าเคร่งขรึมจนเกือบจะเหมือนกาลก่อน ทว่าจวิ้นอีรู้ว่า นี่เป็การเงียบขรึมก่อนที่จะะเิออกมา กู้จวิ้นเฉินลุกขึ้นแล้วะโลงไปในแม่น้ำ เขาจับที่ต้นไม้ริมแม่น้ำต้นหนึ่ง เห็นเศษผ้าชิ้นหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำ เขาหยิบเศษผ้าชิ้นนั้นขึ้นมา นี่คงเป็เสื้อผ้าของเ้าสารเลวตัวน้อยที่ถูกเกี่ยวเอาไว้ ที่นี่มีร่องรอยคนตกลงไปอย่างชัดเจน กู้จวิ้นเฉินแทบจะไม่ต้องคิดก็รู้ว่าการคาดเดาของตนนั้นถูกต้อง
ไหลไปตามน้ำ เด็กน้อยอายุห้าขวบจะเป็เช่นใดบ้าง?
หัวใจของเขา จู่ๆ ก็พลันหนาวเหน็บเย็นะเืขึ้นมา
เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง กู้จวิ้นเฉินะโลงไปในน้ำ
“ท่านอ๋อง...ท่านอ๋อง...” จวิ้นอีใจนสะดุ้งแล้วรีบะโตามลงไป
กู้จวิ้นเฉินไม่รู้ว่าตนนั้นว่ายอยู่ในน้ำเป็เวลานานแค่ไหน กระทั่งขาทั้งสองข้างเริ่มรู้สึกชาเล็กน้อยเขาจึงโผล่ขึ้นมา แสงแดดสาดส่องลงมาบนผิวน้ำ ไข่มุกบนเส้นผมของเขาส่องประกายสะท้อนแสง รับกับใบหน้าที่สง่างามของเขา เป็ความงดงามอันไร้ที่ติมิมีสิ่งใดเทียมเทียบได้