“ปาเม่ย” เดิมทีกู้เจิงอยากจะถามนางว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่แต่เมื่อคิดดูแล้วนางน่าจะออกมาพร้อมกับตวนอ๋อง
“ข้าตามท่านอ๋องมาส่งเสื้อคลุมให้พี่ใหญ่เสิ่นเ้าค่ะ” ยามปาเม่ยยิ้มจะปรากฏลักยิ้มเล็กๆ ดูน่ารักมาก “ข้าเลยมาบอกท่านว่าไม่ต้องส่งเสื้อกันหนาวให้พี่ใหญ่เสิ่นแล้วเ้าค่ะจะได้ไม่ต้องมายืนตากลมหนาวอยู่แบบนี้”
“ท่านอ๋องมอบเสื้อคลุมให้ท่านพี่แล้วหรือ?” กู้เจิงถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
ปาเม่ยพยักหน้า ก่อนที่สองมือจะวาดเป็วงกลม “ใหญ่ขนาดนี้ หนาด้วยเ้าค่ะ พี่สะใภ้ไม่ต้องกังวลว่าพี่ใหญ่เสิ่นจะหนาวเลยเ้าค่ะ”
ท่าทางของปาเม่ยทำเอากู้เจิงขบขัน “รบกวนเ้าขอบคุณท่านอ๋องแทนข้าด้วย”
“ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเ้าคะ” ปาเม่ยโบกมือให้นางแล้ววิ่งกลับไป
กู้เจิงมองไปทางรถม้าคันนั้นเป็รถม้าที่พานางและพ่อแม่สามีกลับไปส่งบ้านตระกูลเสิ่น
ในเมื่อไม่ต้องเอาเสื้อกันหนาวให้เสิ่นเยี่ยนแล้วกู้เจิงก็ไม่ต่อแถวอีก นางเดินหลบลมหนาวรอชุนหง
อยู่แถวนั้นแต่รอจนเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาก็ยังไม่เห็นสาวใช้กลับมานางจึงตรงไปยังฝ่ายกรมการศึกษา
ฝ่ายกรมการศึกษาเป็สนามสอบของผู้สอบถงเซิงปีนี้น้องรองกู้เจิ้งชินก็ร่วมสอบด้วย ฝ่ายกรมการศึกษากับสนามสอบของเสิ่นเยี่ยนอยู่ทางเดียวกันเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงที่นี่ก็เหมือนกับหน้าสนามสอบของเสิ่นเยี่ยนมีครอบครัวมาส่งเสื้อกันหนาวเยอะแยะไปหมด นางกวาดตาหาไม่นานก็เห็นชุนหงแล้ว
กู้เจิงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวที่คุยกับชุนหงอยู่เป็หนิงซิ่วอิงคุณหนูรองตระกูลหนิงหน้าตาของหนิงซิ่วอิงไม่อาจกล่าวได้ว่างดงามหมดจดเพียงแต่นางมีลักษณะบนใบหน้าที่ดี* ใบหน้ากลม ดวงตากลมโต รอยยิ้มอ่อนโยนและไร้เดียงสาเป็ประเภทที่ผู้าุโชอบที่สุด
(* หรือที่เรียกว่าโหงวเฮ้งดีนั่นเอง)
“ชุนหง” กู้เจิงะโเรียก
“คุณหนู?” ชุนหงเอ่ยตอบอย่างดีใจ“คุณหนูมาได้อย่างไรเ้าคะ?” นางถามพร้อมกับรับถุงผ้าที่กู้เจิงถืออยู่มาแล้วถือร่มให้
“มาหาเ้าไง”
“พี่ใหญ่กู้” หนิงซิ่วอิงคารวะทักทายนางกับกู้อิ๋งเป็เพื่อนกัน ย่อมเรียกกู้เจิงว่าพี่ใหญ่ได้เช่นกันเมื่อก่อนนางเคยไปจวนสกุลกู้ครั้งสองครั้ง แต่พี่สาวคนนี้มักจะชอบก้มหน้าอยู่เสมอนี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าตาของพี่ใหญ่ตระกูลกู้อย่างชัดเจน ช่างงดงามจริงๆ“ข้าคือหนิงซิ่วอิงเ้าค่ะ”
“เหตุใดวันนี้เ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” กู้เจิงนึกขึ้นได้ว่าต่อไปเด็กสาวคนนี้อาจจะกลายมาเป็ครอบครัวเดียวกันกับตนดังนั้นจึงส่งยิ้มน้อยๆ ให้
“ข้าเอาเสื้อคลุมมาให้น้องสามเ้าค่ะ”
น้องสามที่ว่าก็คือหนิงฉีกวงน้องชายของหนิงซิ่วหลัน กู้เจิงแปลกใจ “น้องสามของเ้าอายุแค่สิบสองปีเอง เขาก็เข้าร่วมการสอบถงเซิงด้วยหรือ?” การสอบถงเซิงไม่มีกฎกำหนดอายุผู้เข้าสอบดังนั้นตราบใดที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขก็สามารถเข้าสอบได้ทว่าปกติแล้วคนส่วนใหญ่ที่เข้าสอบจะอยู่ใน่อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี
หนิงซิ่วอิงตอบอย่างเขินอาย “เมื่อฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้น้องสามและคุณหนูฟู่แต่งงานกันน้องสามก็รู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับคุณหนูฟู่จึงได้คิดว่าหากเข้าสอบและได้เข้ารับราชการเร็วสักหน่อยคงจะพอเหมาะสมกับคุณหนูฟู่บ้าง”
กู้เจิงนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดงานแต่งนี้ขึ้นมาแม้นางเองก็เป็เหยื่อเหมือนกัน แต่ในใจก็รู้สึกผิดอยู่บ้างนางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงได้แต่เอ่ยว่า “ปีนี้น้องรองของข้าก็เข้าร่วมสอบด้วยเช่นกัน”
“ข้าได้ฟังจากอาอิ๋งแล้วเ้าค่ะ” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของหนิงซิ่วอิงแดงระเรื่อ “เมื่อครู่ชุนหงก็บอกข้าเหมือนกันเ้าค่ะ”
กู้เจิงแสร้งทำเป็ไม่พอใจชุนหง “เ้ามาคุยกับคุณหนูรองหนิงที่นี่ปล่อยให้ข้ารอเ้าอยู่ท่ามกลางหิมะ จนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
ชุนหงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สำนึกสักนิด “บ่าวผิดไปแล้วเ้าค่ะ บ่าวหานายท่านและนายหญิงไม่เจอพอดีตอนที่กำลังจะกลับมารายงานคุณหนู คุณหนูรองหนิงก็ได้เรียกบ่าวไว้”
“เพราะเื่ของพี่สาวของข้า ข้าจึงรู้สึกผิดต่อท่านอยู่บ้างพอเห็นชุนหงก็เลยอยากจะสอบถามว่าท่านเป็อย่างไรบ้างและคิดจะหาโอกาสไปพบท่านสักวันด้วยเ้าค่ะ” หนิงซิ่วอิงพูดอย่างเหนียมอาย
“ข้าสบายดี”
“เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเ้าคะ”
กู้เจิงพยักหน้า มองหนิงซิ่วอิงเดินกลับไปขึ้นรถม้านางเลิกม่านขึ้นเพื่อส่งยิ้มให้กู้เจิงก่อนไป
“คุณหนูรองหนิงเป็คนดีจริงๆเมื่อครู่นางยังกางร่มให้บ่าวด้วยนะเ้าคะ” ชุนหงมองรถม้าตระกูลหนิงที่ทิ้งระยะห่างไกลออกไปนางชอบคุณหนูรองหนิงผู้นี้มาก “อีกทั้งนางยังรู้สึกผิดต่อคุณหนูเพราะเื่ของพี่สาวของนางด้วยเ้าค่ะ”
“คุณหนูรองหนิงเป็หญิงสาวที่ไม่เลวทีเดียวแต่เมื่อก่อนก็ไม่เห็นนางจะเป็มิตรกับข้าเช่นนี้” นางพบ
หนิงซิ่วอิงครั้งแรกที่งานล่าสัตว์แต่ในความทรงจำของนาง คุณหนูรองหนิงผู้นี้เคยมาที่จวนสกุลกู้หลายครั้ง และมักจะยกยิ้มบางๆอยู่เสมอ ท่าทางอ่อนโยนน่าเอ็นดูมาก ก็เพียงเท่านี้ที่นางนึกออก
ชุนหงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อคุณหนูกล่าวเช่นนี้ก็เหมือนจะใช่
“นางสนิทกับกู้อิ๋งมาก ข้าคิดว่ากู้อิ๋งคงบอกนางเื่จะไปสู่ขอแล้ว” กู้เจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูท่านางจะชอบน้องรองของข้าด้วย” ไม่อย่างนั้นคงไม่รั้งชุนหงมาถามถึงเื่ของนางนี่ก็ใกล้จะเกี่ยวดองกันแล้ว คงกังวลว่าเื่ของพี่สาวจะส่งผลกระทบต่อตนเองกระมัง
“คุณหนู พวกเราไม่ต้องเอาเสื้อกันหนาวให้ท่านบุตรเขยแล้วหรือเ้าคะ?” ชุนหงพลันนึกถึงจุดประสงค์ที่พวกนางมาที่นี่ได้
“มีคนส่งให้แล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
เมื่อเทียบกับตอนที่ออกมา บนพื้นมีหิมะทับถมจนหนากว่าเดิมมากผู้คนที่เดินกันตามถนนล้วนสวมชุดกันหนาวคลุมตัวั้แ่หัวจรดเท้าพร้อมกับเดินห่อตัวกันอย่างเร่งรีบ
แม้กู้เจิงจะรู้สึกว่าอากาศหนาวอยู่บ้างแต่นี่เป็ครั้งแรกที่นางเห็นหิมะตกหนักโปรยปรายเช่นนี้ดังนั้นนางจึงเดินอย่างไม่รีบร้อนนัก
ตอนเดินย้อนกลับมาถึงประตูของสนามสอบของเสิ่นเยี่ยนขบวนส่งเสื้อผ้ายังคงต่อแถวกันอยู่ยาวเช่นเดิม ไม่ว่าพ่อแม่ในยุคใดความรักที่มีต่อลูกก็ล้วนเหมือนกัน
“ตวนอ๋องดีต่อท่านบุตรเขยจริงๆ เ้าค่ะ แม้แต่เื่เล็กๆ น้อยๆเช่นนี้ก็คิดไว้เผื่อท่านบุตรเขยแล้ว” ชุนหงเอ่ยชมตวนอ๋อง
กู้เจิงชะงักฝีเท้า
“เป็อะไรไปเ้าคะคุณหนู?”
“เหตุใดท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ถึงดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาดีขนาดนี้” กู้เจิงเกิดสงสัยขึ้นมา หลังจากได้ยินชุนหงชมตวนอ๋อง ไม่ว่าเสิ่นเยี่ยนจะเก่งกาจเพียงใดแต่เขาก็เป็เพียงขุนพลเล็กๆ ในค่ายทหาร ถึงแม้จะพอฝึกทหารได้และมีความรู้ความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ถึงขนาดต้องให้ท่านอ๋องคอยดูแลอย่างดีถึงขั้นนี้กระมัง?
“ท่านอ๋องชื่นชอบคนมากความสามารถย่อมต้องดีกับท่านบุตรเขยของเราอยู่แล้วเ้าค่ะ” ชุนหงคิดว่าเป็เื่ปกติมาก
เพียงแค่นั้นเองหรือ? กู้เจิงคิดไปถึงอีกขั้นหนึ่ง สองคนนี้คงไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นใช่ไหม? อย่างผู้ชายที่ชื่นชอบเพศเดียวกันอะไรทำนองนั้นยามตวนอ๋องอยู่ต่อหน้ากับนาง ท่าทีที่แสดงออกมาก็ไม่คล้ายทำตัวหึงหวงอะไร
คิดเหลวไหลอะไรกัน ด้วยนิสัยของตวนอ๋องกับเสิ่นเยี่ยนสองคนนี้ดูแล้วไม่น่าจะเป็พวกอย่างว่าสักนิด
“คุณหนู หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พวกเรารีบเดินกันเถอะเ้าค่ะ” ชุนหงกล่าวเตือนให้คุณหนูรีบเร่งฝีเท้า
กู้เจิงพยักหน้ารับ แต่จู่ๆก็มีสตรีสูงวัยผู้หนึ่งเดินออกมาจากโรงน้ำชา นางตรงเข้ามาขวางทางพวกนาง “ท่านคงเป็คุณหนูใหญ่สกุลกู้ หรือก็คือฮูหยินน้อยเสิ่นกระมัง?”
กู้เจิงมองคนตรงหน้าที่แต่งตัวไม่เหมือนคนทั่วไป “เป็ข้าเอง”
“คุณหนูของข้าให้มาเชิญท่านขึ้นไปดื่มชาด้วยกันเ้าค่ะ” นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วเชื้อเชิญไปทางโรงน้ำชา
“คุณหนูของเ้าเป็ใคร?” ชุนหงมองสตรีผู้นี้อย่างระแวดระวังั้แ่ที่นางกับคุณหนูถูกลักพาตัวไปในครั้งก่อนนางก็รู้สึกไม่วางใจคนแปลกหน้าอยู่บ้าง
“คุณหนูของข้าแซ่ฟู่เ้าค่ะ”
คุณหนูแซ่ฟู่ที่นางรู้จักมีแค่คนเดียว คือฟู่ผิงเซียง หญิงสูงวัยผู้นี้คงจะเป็แม่นมของนางกระมัง? กู้เจิงเงยหน้ามองป้ายโรงน้ำชา ‘โรงน้ำชาอวิ๋นเซียง’ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “คุณหนูฟู่มีเื่อะไรหรือ หิมะตกหนักขนาดนี้ยังจะออกมาดื่มชาอีก”
“เรียนเชิญฮูหยินน้อยเ้าค่ะ”
“คุณหนู ไปไม่ได้นะเ้าคะ” พอได้ยินว่าเป็แซ่ฟู่ ชุนหงก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเมื่อครู่นางก็คิดเื่ถูกลักพาตัว จึงคิดอะไรเลยเถิดไปเรื่อย
กู้เจิงบีบมือชุนหงแล้วพูดว่า “พวกเราออกมานานขนาดนี้แล้ว พ่อแม่สามีต้องเป็ห่วงแน่ เ้ารีบกลับไปบอกพวกเขาก่อนถ้าข้าดื่มชากับคุณหนูฟู่เสร็จแล้วจะกลับไปทันที”
แน่นอนว่าชุนหงไม่เห็นด้วย ทว่าตอนคุณหนูบีบมือสั่งความนางััได้ว่าคุณหนูออกแรงเกินปกติคงสื่อเป็นัยให้นางไม่ต้องพูดอะไรอีกชุนหงทำได้เพียงมองคุณหนูเดินตามแม่นมนางนั้นเข้าไปในโรงน้ำชา
กู้เจิงเคยเห็นถึงความร้ายกาจของคุณหนูฟู่ผู้นี้แต่นางเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรนางในเวลากลางวันแสกๆ แบบนี้แน่ที่กู้เจิงให้ชุนหงกลับไปก่อน อย่างแรกคือนางออกมานานแล้วจึงกลัวว่าพ่อแม่สามีจะเป็ห่วง อย่างที่สองคือต่อให้มีเื่อะไรจริงๆชุนหงก็จะรู้ได้ว่านางอยู่ที่ไหน และสามนางรู้สึกว่าจำต้องไปพบฟู่ผิงเซียงสักครั้งควรพูดคุยกันให้ชัดเจนถึงเบื้องลึกและความในใจ