เมื่อโม่ฮว่าเหวินกลับไปถึงจวน สิ่งแรกที่ทำคือเดินตรงไปที่เรือนของโม่เสวี่ยิ่ด้วยความเดือดดาล พอเข้าประตูไปก็ให้บ่าวหญิงสองคนนำอาภรณ์แพรต่วนไปโยนไว้บนโต๊ะ แค่นเสียงเย็นใส่โม่เสวี่ยิ่ที่นั่งทำงานเย็บปักอยู่อีกด้าน ยกชายอาภรณ์ตัวอย่างขึ้นแล้วนั่งลง
“ท่านพ่อ ไฉนวันนี้จึงมาหาิ่เอ๋อร์ได้ ช่างประจวบเหมาะยิ่ง ิ่เอ๋อร์กำลังปักอาภรณ์ใหม่ให้ท่านพ่ออยู่พอดี” โม่เสวี่ยิ่ดูคล้ายไม่เห็นโทสะที่คุกรุ่นของโม่ฮว่าเหวิน ลุกขึ้นอย่างนุ่มนวลจากตั่งนั่งเล่นแล้วหยิบชุดแพรต่วนสีเทาเข้มที่ตัดเย็บอย่างเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าใช้ความใส่ใจอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อลองทาบดูสิเ้าคะ ดูว่าขนาดพอดีหรือไม่ ิ่เอ๋อร์กลัวว่าจะทำออกมาไม่ดี ท่านพ่อจะไม่ถูกใจ”
ด้วยโทสะที่อัดแน่นอยู่เต็มอก โม่ฮว่าเหวินจึงผลักอาภรณ์ไปวางไว้ด้านข้าง ก่อนชี้ไปที่เสื้อผ้าและแพรต่วนที่อยู่บนโต๊ะ กล่าวอย่างฉุนเฉียว “เ้าส่งอาภรณ์เก่าของตัวเองไปให้น้องสาว และยังมอบแพรพรรณที่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะให้นางอีก สาแก่ใจเ้าแล้วใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อ...” เมื่อเห็นโม่ฮว่าเหวินระบายโทสะ โม่เสวี่ยิ่พลันตะลึงงัน น้ำตาร่วงพรูคล้ายไม่อยากเชื่อ นางป่วยหนักเพิ่งหาย ผ่ายผอมจนรูปลักษณ์เปลี่ยนไป พอเห็นว่าอาภรณ์ถูกบิดาปัดทิ้ง ก็คุกเข่าลงกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านพ่อกล่าวอันใด ิ่เอ๋อร์ไม่เข้าใจเ้าค่ะ”
“เสื้อผ้าที่ผ่านการสวมใส่แล้วถือว่าเก่าและมีมลทิน เ้ายังกล้าส่งไปให้น้องสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังจะผ้าแพรสีสันฉูดฉาดเ่าั้อีก น้องสาวเ้าจะสวมใส่ได้อย่างไร ิ่เอ๋อร์ ตลอดมาพ่อนึกว่าเ้าเป็คนรู้ความ สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้มากกว่าใคร เป็บุตรสาวคนโตที่มีจิตใจกว้างขวาง เมตตาอ่อนโยน รู้จักกาลเทศะ แต่ตอนนี้... เ้าทำให้พ่อผิดหวังยิ่งนัก” ดวงตาของโม่ฮว่าเหวินฉาบฉายไปด้วยความผิดหวัง
นี่หรือคือบุตรสาวที่ตนเองภูมิใจที่สุด ไม่รู้เพราะเหตุใดตอนนี้จึงดูอัปลักษณ์น่ารังเกียจเช่นนี้
โม่เสวี่ยิ่เห็นท่าทางของผู้เป็บิดา หัวใจพลันสะดุด รู้ว่าไม่ดีแล้ว รีบคลานเข้าไปคุกเข่าหน้าโม่ฮว่าเหวิน โขกศีรษะอย่างแรงสองสามครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นกล่าวทั้งน้ำตา “ท่านพ่อ ิ่เอ๋อร์จะทำเื่เช่นนี้ได้อย่างไร ิ่เอ๋อร์กับน้องสามดีต่อกันตลอดมา และเื่ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ิ่เอ๋อร์ก็รู้สึกผิดต่อท่านพ่อ รู้สึกผิดต่อน้องสาวทั้งสองคน ตัดสินใจจะเฝ้าโคมดำหน้าพุทธะ แล้วจะมีใจชิงดีชิงเด่นกับน้องสามได้อย่างไร”
คำพูดของนางเต็มไปด้วยความจริงใจและเปี่ยมไปด้วยเหตุผล ใบหน้าขาวซีดเจือไปด้วยความขื่นขมและเ็ป น้ำเสียงกลบความโศกสลดไว้ไม่อยู่
“หรือข้าตำหนิเ้าผิดไป?” โม่ฮว่าเหวินแววตาแข็งกร้าว น้ำเสียงเย็นะเื
“ท่านพ่อ นั่นเป็ชุดที่ข้าเพิ่งตัดขึ้น เดิมทีคิดจะเอาไว้สวมออกงานเลี้ยง แต่ตอนนี้ข้าเป็อย่างนี้ แล้วจะไปที่ไหนได้อีกเล่า” โม่เสวี่ยิ่สะอึกสะอื้นอย่างหนักจนแทบหายใจไม่ทัน ดึงมือโม่ฮว่าเหวินมาจับและกล่าวด้วยเสียงสั่นเทาอย่างน่าสงสาร
“ท่านพ่อ ผ้าคลุมขนสัตว์ผืนนั้นเป็ของที่ท่านมอบให้ ข้าเอามาลองเพียงครั้งเดียวก็นึกเสียดายจึงนำมาตัดเป็อาภรณ์ ยังไม่ได้สวมใส่สักครั้ง แพรต่วนสองผืนนั้นก็เป็สีเรียบๆ น้องสามชอบความงามสง่าและกำลังอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ แล้วข้าจะส่งผ้าต่วนสีแดงสดเช่นนั้นไปให้ได้อย่างไร
สายตาของโม่เสวี่ยิ่กวาดมองอาภรณ์และแพรต่วนสองผืนที่ถูกโยนไว้บนโต๊ะ ยามนั้นหัวใจพลันเต้นระรัว นึกโกรธเคืองฟางอี๋เหนียงอยู่ในใจ ที่แท้ก็เป็ฝีมือของอี๋เหนียงที่ไม่รู้จักคิด ยามนี้แล้วยังคิดแต่จะเสียดายของมีค่า สับเปลี่ยนของที่ตนเองจะมอบให้โม่เสวี่ยถง แต่โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะเบี่ยงเบนปัญหาออกไปให้ได้ก่อน
โม่เสวี่ยิ่ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง โม่ซิ่วที่คุกเข่าอยู่ข้างกายเห็นนางส่งสัญญาณให้ จึงรีบเข้ามาประคอง ร้องห่มร้องไห้กล่าวว่า “นายท่าน เสื้อผ้าอาภรณ์ที่คุณหนูใหญ่ส่งไปให้คุณหนูสามล้วนเป็ของที่ดีที่สุด ครานี้เกิดเื่ขึ้น คุณหนูใหญ่ไม่รู้อันใดเลยก็ถูกคนให้ร้ายจนเสื่อมเสียชื่อเสียง ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจมาแต่งตัว จึงนำของที่รักและหวงแหนเป็ที่สุดทั้งหมดมอบให้แก่คุณหนูสาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเื่จะกลับกลายเป็เช่นนี้ไปได้ รู้อย่างนี้ คุณหนูใหญ่ไม่ส่งไปเสียก็ดี จะได้ไม่โชคร้ายถูกคุณหนูสามเคลือบแคลงใจเช่นที่เป็อยู่ตอนนี้”
ทางหนึ่งนางกล่าวให้โม่เสวี่ยิ่เป็ฝ่ายถูกปรักปรำ อีกทางก็ผลักเื่ไปที่โม่เสวี่ยถง ให้ดูเหมือนว่าโม่เสวี่ยถงมีเจตนาหาเื่เยี่ยงนั้น
โม่ฮว่าเหวินสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาในบัดดล
“หุบปาก โม่ซิ่ว คุณหนูสามไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น ต้องมีใครแอบสับเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ส่งให้คุณหนูสามแน่นอน ท่านพ่อช่วยลูกตรวจสอบได้หรือไม่ หากไม่พบสิ่งใด ลูกจะขอยอมรับความผิดเอาไว้เองเ้าค่ะ” หลังจากตำหนิโม่ซิ่วก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับยอมกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรม
โม่ฮว่าเหวินเห็นท่าทางของบุตรสาวคนโตก็นึกแคลงใจ หันไปหาหญิงรับใช้าุโทั้งสองคนที่ตามมาด้วย ตบโต๊ะอย่างแรงและตะคอกด้วยน้ำเสียงดุดัน “พูดมา ใครเป็คนเปลี่ยนอาภรณ์ของคุณหนูใหญ่แล้วส่งไปให้คุณหนูสาม”
“เรียนนายท่าน เป็อี๋เหนียงเ้าค่ะ ฟางอี๋เหนียงเป็คนสั่งให้เปลี่ยน” ป้าแก่ๆ สองคนใแทบสิ้นสติ รีบลงไปคุกเข่าปากซีดปากสั่นละล่ำละลักออกมา
เป็ฟางอี๋เหนียงอีกแล้ว...
โม่ฮว่าเหวินโกรธจนตัวสั่น ความคิดตื้นๆ ของฟางอี๋เหนียงครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็การเล่นอุบายต่อถงเอ๋อร์ แม้แต่บุตรสาวแท้ๆ ของตนก็พลอยลำบากไปด้วย เห็นโม่เสวี่ยิ่คุกเข่าก้มหน้าร้องไห้อยู่เบื้องหน้าตนเอง สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก สีหน้าซีดเซียว ก็ยิ่งเดือดจัด
“เด็กๆ มาลากยายแก่สองคนนี้ออกไปโบยให้หนักคนละสิบไม้” โม่ฮว่าเหวินออกคำสั่งเสียงดุดัน
หญิงรับใช้สองคนกลายเป็ผู้รับเคราะห์ไปเต็มๆ คราแรกก็ถูกโม่ซิ่วเรียกให้นำของส่งไปจวนฝู่กั๋วกงด้วย คิดไม่ถึงว่าพอไปถึงหน้าประตูจะถูกคนของฟางอี๋เหนียงนำของลงมา แล้วเปลี่ยนเป็แพรต่วนสองผืนนี้และอาภรณ์ตัวอื่นแทน พวกนางก็นึกว่าคงไม่มีอะไรใหญ่โต คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เกิดเื่แบบนี้ขึ้น ก็หวาดกลัวอย่างหนักได้แต่โขกศีรษะไม่หยุด
โม่ฮว่าเหวินกำลังอารมณ์เสีย ไหนเลยจะแยแสว่าบ่าวเฒ่าสองคนนี้จะคิดอย่างไร ผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเรือนหลีหวาของฟางอี๋เหนียงทันที
“ท่านพ่อ อย่าไปนะเ้าคะ เื่นี้ไม่แน่ว่าิ่เอ๋อร์อาจจะสับสนไปเอง อย่าไปตำหนิอี๋เหนียงเลยเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยิ่ยุดอาภรณ์ของโม่ฮว่าเหวินไว้ ร้องไห้จนสีหน้าคล้ำซีด แสร้งรั้งความผิดมาไว้ที่ตัวทั้งหมด คล้ายกลัวว่าเขาจะไประบายอารมณ์ใส่ฟางอี๋เหนียง โม่ฮว่าเหวินเห็นเช่นนี้แล้วก็ใจอ่อน
ถึงอย่างไรนี่ก็คือบุตรที่ตนเองรักมาสิบกว่าปี เมื่อเห็นกับตาตนเองว่านางยอมรับความผิดเพื่อมิให้มารดาต้องรับโทษ ก็แอบทอดถอนใจอยู่เงียบๆ นั่งลงอีกครั้งแล้วดึงโม่เสวี่ยิ่ให้ลุกขึ้น โม่ซิ่วก็รีบช่วยประคองอีกด้าน
“ิ่เอ๋อร์ เ้าก็รู้ว่าอี๋เหนียงของเ้าเป็คนผิด ไยเ้าจะต้องลำบาก” โม่ฮว่าเหวินสีหน้าอ่อนลงมามากแล้ว
“อี๋เหนียงเป็ผู้ให้กำเนิด ไม่ว่าอย่างไรก็เป็มารดาบังเกิดเกล้าของลูก บุตรย่อมไม่รังเกียจความอัปลักษณ์ของมารดา อี๋เหนียงมีความผิด บุตรสาวก็ยินยอมรับโทษแทน ขอท่านพ่ออย่าโกรธเคืองอี๋เหนียงเลยนะเ้าคะ นาง... นางสุขภาพไม่ค่อยดี...”
ลูกไม้ของโม่เสวี่ยิ่ดอกนี้นับว่างดงามยิ่ง อันดับแรกแสดงว่าตนเองไม่รังเกียจฐานะต่ำต้อยของฟางอี๋เหนียง ทั้งยังรั้งความผิดเอาไว้ได้ ในที่สุดก็ใช้ความกตัญญูของนางเบี่ยงเบนเื่ทั้งหมดออกไป ทำให้โทสะที่สุมอยู่เต็มอกของโม่ฮว่าเหวินพลันมลายหายไปไม่เหลือแม้แต่เงา บุตรสาวที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองยังคงเป็ิ่เอ๋อร์ผู้อ่อนโยนใจกว้างคนเดิมใช่หรือไม่?
แต่แม้ว่าโม่เสวี่ยิ่จะกล่าวทุกอย่างให้ดูสมเหตุผล ทั้งยังมียายแก่สองคนเป็พยานชี้มูลความจริง แต่โม่ฮว่าเหวินย่อมไม่เชื่อทุกสิ่งเหมือนคนตาบอดเช่นอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว เขายังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน สีตาเข้มขึ้นเอ่ยถาม “ิ่เอ๋อร์ เ้าเป็เ้านายของจวนนี้ ฟางอี๋เหนียงแม้จะเป็ผู้ให้กำเนิด แต่เ้าจงจำไว้ว่ามารดาของเ้าคือฮูหยินผู้เดียว หากเ้า้าแสดงความกตัญญูก็ควรแสดงต่อฮูหยินเข้าใจหรือไม่”
“เ้าค่ะท่านพ่อ ลูกโง่เขลา ร้อนใจไปชั่วขณะจึงกล่าวผิดไปเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยิ่พยักหน้า กล่าวขออภัยพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา
“เอาล่ะ เ้าไปพักผ่อนให้มาก ร่างกายเพิ่งจะหายดี อย่าเพิ่งมาปักเย็บเสื้อผ้าอะไรเลย” โม่ฮว่าเหวินลุกขึ้นแล้วเดินออกไป โม่จิ่นประคองร่างบอบบางของโม่เสวี่ยิ่มาส่งเขาที่หน้าประตู
เมื่อเห็นเงาของโม่ฮว่าเหวินค่อยๆ หายลับไปจากประตูเรือน โม่เสวี่ยิ่ก็กลับเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงอีกครั้ง สีหน้าบูดบึ้งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
โม่ซิ่วเห็นโม่เสวี่ยิ่มีสีหน้าเช่นนี้ ก็พยายามหลุบสายตาลงต่ำ ไม่กล้าเอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว กลัวว่าหากไม่ระวังอาจไปยั่วโทสะของคุณหนูเข้า จึงต้องกล้ำกลืนความขื่นขมไว้กับตนเอง
“เดี๋ยวเ้าส่งคนไปหาฟางอี๋เหนียง” ผ่านไปครู่ใหญ่ โม่เสวี่ยิ่ก็เอ่ยเสียงเย็น “บอกนางว่าหากมีเื่ใดอย่าได้ปิดบัง หากพูดออกมาเวลานี้ ยังมีโอกาสได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่ออยู่ อาศัยท่านลุงใหญ่ที่อยู่ด้วยเวลานี้ช่วยนางพูดสักสองสามประโยค...”
แม้ว่าบิดาจะหุนพันพลันแล่นออกไปหาฟางอี๋เหนียงด้วยความโมโห แต่คงไม่มีเวลาตอนนี้ ลุงของตนเองเป็ประมุขสกุลอวี้ วันนี้มาหาั้แ่เช้า เมื่อครู่แวะไปหาฟางอี๋เหนียงแล้ว ยามนี้คงจะรอพบท่านพ่ออยู่ที่นอกห้องหนังสือ ฟางอี๋เหนียงเป็บุตรสาวที่พลัดพรากั้แ่เล็กของสกุลอวี้ บิดารู้เื่นี้จากสกุลอวี้มานานแล้ว ขาดแต่โอกาสที่จะพูดคุยเปิดเผยอย่างเป็ทางการเท่านั้น
สกุลอวี้ก็เป็สกุลขุนนางที่มีชื่อเสียง ย่อมไม่ปรารถนาให้บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกต้องมาเป็อนุภรรยาของท่านพ่อ ดังนั้นจึงผลักดันเื่นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้กลับเป็โอกาสเหมาะ มีท่านลุงออกหน้าเสนอเื่นี้ขึ้น แม้ว่าใจท่านพ่อจะคิดต่อต้านก็ย่อมพูดไม่ออก อีกทั้งยามที่เข้าเมืองหลวงมาครานั้น ท่านพ่อก็ยอมรับอยู่กลายๆ แล้ว
“เ้าค่ะ” โม่ซิ่วรับคำสั้นๆ แต่ก็อดใจไม่ไหวเอ่ยถามออกมา “หากนายท่านโกรธอี๋เหนียงเื่นี้ มิเป็การทำให้อี๋เหนียงเสียแผนหรือเ้าคะ”
“แผนการของนางไม่มีทางตามนังแพศยานั่นทันหรอก บอกนางว่าให้ทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อย อย่ามาทำให้ข้าเสียเื่” โม่เสวี่ยิ่กล่าวพลางยิ้มเยาะ วันนี้หากไม่เป็เพราะความคิดตื้นเขินของนาง ตนเองหรือจะต้องมาแสดงละครฉากใหญ่ต่อหน้าบิดา และคงไม่ต้องเหนื่อยเปลืองแรงเปลืองสมองเช่นนี้
หากนางไม่สอดมือเข้ามายุ่ง แผนการต่อไปของตนเองก็คงง่ายกว่านี้เยอะ
เดิมทีนางคิดอาศัยประโยชน์จากท่านลุงให้กดดันบิดา ส่วนอีกทางหนึ่งนางจะรีบจัดการกับนังโม่เสวี่ยถงจอมเ้าเล่ห์ให้ราบคาบ คิดไม่ถึงว่าที่วังหลวงนางกลับไม่ได้รับอันตรายแม้แต่เส้นผมสักเส้น กลับเป็ตนเองที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วจะไม่ให้โม่เสวี่ยิ่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนกรามแทบป่นด้วยความโกรธแค้นได้อย่างไร
ในห้องหนังสือ
ท่านอวี้เฟิงรออยู่ที่นั่นนานแล้ว เขากับโม่ฮว่าเหวินต่างอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงมาหลายปี นับว่ามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ดังนั้นต่อมาฟางอี๋เหนียงจึงได้รับรู้เกี่ยวกับชาติกำเนิดและบรรพบุรุษของตนเอง
ท่านอวี้เฟิงเป็บุรุษวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างผอมแห้ง หากมองดีๆ คางที่เรียวแหลมของเขาก็ดูคล้ายกับฟางอี๋เหนียงอยู่ไม่น้อย ฟางอี๋เหนียงเป็น้องสาวแท้ๆ ของเขาและเป็บุตรภรรยาเอก ยามที่ยังเล็กเดินพลัดหลงกับแม่นมในงานเทศกาลชมโคมไฟ การหาตัวน้องสาวที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีพบ นำความดีใจมาให้ท่านอวี้เฟิงอย่างยิ่งยวด
“ใต้เท้าโม่ ข้ารออยู่ที่นี่นานแล้ว ไฉนจึงไปนานนักเล่า นึกว่าท่านกับจวนฝู่กั๋วกงตัดขาดกันไปแล้วเสียอีก” เนื่องจากรออยู่เป็เวลานาน คำพูดของอวี้เฟิงจึงออกจะแสบๆ คันๆ เล็กน้อย พอคิดถึงว่าน้องสาวของตนเองบัดนี้ก็ยังมีฐานะเป็เพียงอนุภรรยาและยังมีอำนาจสู้เมื่อก่อนไม่ได้ ก็ยิ่งไม่พอใจ
“บุตรสาวคนที่สามสุขภาพไม่ดีอาศัยอยู่นอกบ้าน ข้าไปเยี่ยมนางจึงกลับมาช้า ต้องขออภัยใต้เท้าอวี้แล้ว” โม่ฮว่าเหวินข่มโทสะไว้ในใจ รู้ว่าหากไม่มีเื่อีกฝ่ายคงไม่มาหาถึงที่ ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มรับแล้วเดินเข้ามาอธิบายด้วยเสียงหัวเราะ
ทั้งสองฝ่ายต่างนั่งลง คนรับใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้ หลังจากดื่มคนละสองสามคำ ก็เริ่มเอ่ยเข้าเื่สำคัญ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้