ที่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีวันไหนสงบสุข ฝ่ายผู้เฒ่าอวิ๋นก็เสียหน้าต่อหน้าหัวหน้าตระกูลและผู้ใหญ่บ้าน ส่วนอวิ๋นโส่วจู่น้องชายคนที่สี่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผ่านมาสองวันเต็มๆ แล้วยังไม่เห็นวี่แวว เมื่อคิดเื่วุ่นวายพวกนี้แล้วผู้เฒ่าอวิ๋นก็เครียดจนนอนไม่หลับทั้งคืน
รุ่งเช้า ผู้เฒ่าอวิ๋นตื่นแต่เช้าตรู่ แต่ไม่ว่าจะไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านหรือบ้านของหัวหน้าตระกูล เขาก็ไม่เจอใครเลย หัวหน้าตระกูลไปเยี่ยมญาติ ส่วนผู้ใหญ่บ้านไปทำธุระที่อำเภอ ผู้เฒ่าอวิ๋นพอเข้าใจได้ว่าไปในตัวอำเภอจะต้องออกเดินทางแต่เช้า แต่ว่าไปเยี่ยมญาติ มีใครเขาไปกันแต่เช้าเช่นนี้ด้วยหรือ? ผู้เฒ่าอวิ๋นรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
เขาไม่รู้เลยว่า ตอนนี้อวิ๋นโส่วจงพาลูกๆ ทั้งสามคน นั่งรถลากวัวของจางเฉวียนฟา ลูกชายคนที่สามของผู้ใหญ่บ้าน มุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน
ตระกูลจางในหมู่บ้านไหวซู่ เป็ตระกูลใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน บรรพบุรุษเคยมีผู้สอบได้เป็บัณฑิตจวี่เหริน [1] ถึงสองคน โดยเฉพาะสายของจางต้าไห่ ฐานะทางบ้านค่อนข้างมั่งคั่ง ยิ่งไปกว่านั้น จางต้าไห่ยังเป็ผู้ใหญ่บ้านที่ปกครองดูแลครอบครัวเป็อย่างดี แม้ว่าครอบครัวของเขาจะไม่ได้แยกบ้านกันอยู่ แต่หากทำงานในบ้านเสร็จแล้ว เขาก็จะอนุญาตให้ลูกชายทั้งสามคนออกไปทำงานหาเงินส่วนตัวได้
ไม่เหมือนกับตระกูลอวิ๋น ไม่ว่าลูกชายจะทำงานอะไรก็ตาม เงินที่หามาได้ทั้งหมดต้องส่งให้เถาซื่อ ไม่เพียงเท่านั้น เถาซื่อยังยึดเอาสินเดิมของลูกสะใภ้ไปจนหมดสิ้น
หลังจากอวิ๋นโส่วจงพาลูกๆ ออกไปแล้ว ฟางซื่อกับอากุ้ยและชุนเหมยก็จัดการงานบ้านเสร็จ จากนั้นก็พากันออกไปดูแลสวนผักขนาดหนึ่งหมู่ที่เหลืออยู่
ขณะนั้น ก็มีเงาร่างสองร่างพุ่งเข้าไปในห้องของสองพี่น้องอวิ๋นฉี่ซานด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้าฉู่อี้ ก้มหน้าประสานมือคารวะ “ข้าน้อยปกป้องนายท่านไม่ได้ ขอซื่อจื่อโปรดลงโทษ”
ฉู่อี้ที่อยู่ต่อหน้าอวิ๋นเจียวมักจะดูอ่อนโยน รอยยิ้มบางๆ ยังประดับอยู่ที่มุมปาก แต่กลับแฝงไปด้วยความเ็าจนทำให้ผู้คนหวาดกลัวจับใจ แม้ว่าเขาจะอายุยังน้อย แต่ทว่าอำนาจที่แผ่ออกมากดดันจนทำให้องครักษ์ร่างสูงใหญ่สองคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าถึงกับเหงื่อเย็นไหลท่วมแผ่นหลัง
“ไปกันเถอะ!”
“ขอรับ!” ทันทีที่ฉู่อี้พูดจบ จางหลิงองครักษ์เสื้อแพรก็รีบคุกเข่าลง ส่วนองครักษ์อีกคนหนึ่งชื่อหลิวจ้านก็ช่วยพยุงเขาขึ้น
“ระวังด้วย อย่าให้ใครรู้ว่าพวกเรามาที่นี่”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองขานรับ พวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจและแปลกใจอยู่ลึกๆ เพราะซื่อจื่อของพวกเขาขึ้นชื่อว่าเ็า เคยมีครั้งไหนด้วยหรือที่สนใจไยดีเื่ของผู้อื่นเช่นนี้?
ในเมื่อซื่อจื่อมีคำสั่งเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถออกไปตามเส้นทางเดิมที่วางแผนไว้ได้ ทำได้เพียงปีนเขาออกไป แต่หากเป็เช่นนั้น าแบนร่างของซื่อจื่อ...
องครักษ์ทั้งสองคนใจคอไม่ค่อยดีนัก แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆ พวกเขาคุ้มกันฉู่อี้ออกจากบ้านของอวิ๋นโส่วจงอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าขึ้นเขาไป ฉู่อี้หันกลับมามองบ้านหลังเล็กที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา ดวงตาพลันนึกถึงท่าทางที่โกรธเคืองของอวิ๋นเจียวขึ้นมา รอยยิ้มเ็าที่มุมปากจากหายไป กลายเป็รอยยิ้มอ่อนโยนแทน
การเดินทางจากหมู่บ้านไหวซู่ไปยังตัวอำเภอด้วยรถลากวัวใช้เวลาถึงสองชั่วยาม!
พวกเขาออกเดินทางั้แ่ยามเหม่า [2] กว่าจะมาถึงเมืองก็ปาเข้าไปยามซื่อ [3]
อวิ๋นเจียวรู้สึกเหมือนหัวใจจะถูกเขย่าจนแทบหลุดออกมา แม้ว่าการนั่งรถม้าจะะเือยู่บ้าง แต่เบาะในรถม้านั้นหนานุ่ม ส่วนรถลากวัวคันนี้ พูดตรงๆ ก็คือรถที่มีที่นั่งไม้กระดานแข็งๆ ที่ไม่มีแม้แต่หลังคา
“ไว้พวกเราไปซื้อรถม้าอีกคันก็แล้วกัน” อวิ๋นโส่วจงมองลูกสาวที่ทรมานจากการเดินทางด้วยความสงสาร
การซื้อรถม้าหนึ่งคันต้องใช้เงินสามสิบกว่าตำลึงเงิน เทียบเท่ากับราคาที่ดินชั้นดีสองหมู่ แต่ไม่เป็ไร เดี๋ยวเขานำเหยื่อชั้นดีที่ล่าได้จากในเขาลงไปขายในเมือง ก็หาเงินมาซื้อได้แล้ว
อวิ๋นเจียวไม่ได้ปฏิเสธ นางยิ้มหวานให้กับอวิ๋นโส่วจง “ท่านพ่อดีที่สุดเลยเ้าค่ะ!”
ผู้ใหญ่บ้านจางต้าไห่มองครอบครัวนี้ด้วยรอยยิ้ม ในใจก็อดชื่นชมไม่ได้ เ้ารองจากตระกูลอวิ๋นนี่รักและเอ็นดูบุตรสาวคนนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด เพียงเพราะกลัวว่านางจะนั่งรถลากวัวแล้วลำบาก เขาก็ยอมทุ่มเงินซื้อรถม้าในราคาเท่ากับที่ดินสองหมู่
อวิ๋นฉี่ซานเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า รีบพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นเดี๋ยวพี่รองจะช่วยปรับปรุงเบาะให้เ้าใหม่ ทำให้มันนั่งสบายขึ้น”
อวิ๋นเจียวยิ้มหวาน “ขอบคุณพี่รองเ้าค่ะ” ในความทรงจำของร่างเดิม อวิ๋นฉี่ซานชอบประดิษฐ์สิ่งของเล็กๆ มาั้แ่เด็ก ตอนที่อยู่เมืองหลวง ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ของร่างเดิมล้วนเป็ฝีมือของอวิ๋นฉี่ซานทั้งสิ้น เพียงแต่ตอนกลับหมู่บ้านไหวซู่ไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวกลับมาด้วยเลย
จากนั้นอวิ๋นฉี่ซานก็หันไปพูดกับอวิ๋นโส่วจง “ท่านพ่อ ข้าอยากเรียนงานช่างไม้กับท่านปู่เฉียวขอรับ!”
อวิ๋นโส่วจงเป็คนที่เลี้ยงลูกแบบเปิดกว้าง ตราบใดที่ลูกชอบ ตราบใดที่เป็เื่ที่ถูกต้อง เขาก็จะไม่ขัดขวาง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบตกลง “ได้สิ หากเ้าชอบก็ไปเรียน แต่อย่าลืมขออนุญาตท่านปู่เฉียวของเ้าให้ตอบตกลงก่อน”
“การเป็ลูกศิษย์ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะ มีคำกล่าวว่าสอนศิษย์จนทำให้ครูอดตาย [4] อย่าว่าแต่ช่างไม้อยากจะถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับศิษย์หรือไม่ แค่่สองสามปีแรก ศิษย์ต้องทำงานให้อาจารย์โดยไม่ได้เงินทองใดๆ แทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเป็ชิ้นเป็อันเลยด้วยซ้ำ” บ้านของอวิ๋นโส่วจงไม่ใช่ครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น ไม่จำเป็ต้องให้ลูกชายไปเป็ลูกศิษย์ ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเตือน
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยขึ้น “ขอบคุณท่านลุงผู้ใหญ่บ้านที่เตือนสติ ข้าพอมีเงินเก็บส่วนตัวอยู่บ้าง เอาไว้ช่วยอาซานจ่ายเป็ค่าของขวัญ… ค่าเล่าเรียนให้อาจารย์ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็ต้องทำงานจิปาถะเปล่าๆ แล้วขอรับ”
เงินของท่านพ่อนั้นมีจำกัด งั้นค่าเล่าเรียนช่างไม้ของอาซานเขาออกให้เองก็แล้วกัน อย่างไรเสียเขาก็แอบเขียนนิยายขาย ได้เงินมาไม่น้อย
“ขอบคุณพี่ใหญ่!” อวิ๋นฉี่ซานรีบกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าพี่ใหญ่จะคอยควบคุมเขาไปเสียทุกเื่ แต่เวลาสำคัญ พี่ใหญ่ก็ตามใจเขามาโดยตลอด
ผู้ใหญ่บ้านกับบุตรชายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตะลึงงัน ครอบครัวนี้เป็อะไรกัน? ไม่เคยเห็นใครเรียนงานช่างไม้แล้วเรียกว่า ‘ให้ของขวัญอาจารย์’ เช่นนี้ ราวกับว่าพวกเขาเห็นช่างไม้เป็อาจารย์กันงั้นหรือ? หรือว่าที่เมืองหลวงนิยมทำกันแบบนี้?
ดูเหมือนว่าอวิ๋นโส่วจงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาถึงยี่สิบปีจะก็ไม่เสียเปล่า ฐานะทางบ้านคงไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือ สายตาของคนที่กลับมาจากเมืองหลวง ย่อมแตกต่างจากคนในหุบเขาทุรกันดารอย่างพวกเขา ดูท่าว่าต่อไปนี้ต้องใกล้ชิดกับพวกเขามากขึ้นเสียแล้ว
“ฉี่เยว่ ฉี่ซาน ข้ากับท่านลุงใหญ่ของพวกเ้าจะไปทำธุระที่ศาลาว่าการก่อน พวกเ้าไปเดินเล่นรอก่อนก็แล้วกัน เที่ยงๆ ค่อยมาเจอกันที่โรงเตี๊ยมเซียนเค่อหลิว วันนี้พ่อจะเลี้ยงอาหารอร่อยๆ พวกเ้าเอง” อวิ๋นโส่วจงชี้ไปทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างทางพลางเอ่ยกำชับ
อวิ๋นโส่วจงไม่เคยขี้เหนียวกับลูกๆ ยิ่งวันนี้ผู้ใหญ่บ้านมาช่วยเขาทำธุระที่ในอำเภอั้แ่เช้าตรู่เช่นนี้ หลังจากทำธุระเสร็จ เขาสมควรเลี้ยงอาหารผู้ใหญ่บ้านสักมื้อ
หลังจากตกลงกันแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไป อวิ๋นฉี่เยว่หันไปถามอวิ๋นเจียว “เจียวเอ๋อร์ เ้าอยากไปที่ไหนหรือ?”
อวิ๋นเจียวยื่นห่อผ้าของนางให้อวิ๋นฉี่เยว่ “ข้าอยากไปร้านขายเครื่องหอม เพื่อขายเครื่องประทินผิว จากนั้นก็ไปซื้อพวกส่วนผสมสำหรับทำเครื่องประทินผิวกับสบู่เ้าค่ะ”
อวิ๋นฉี่เยว่เข้าใจทันที มารดาของเขานำเครื่องประทินผิวกลิ่นเหมยกุยที่เจียวเอ๋อร์ให้ไปใช้ ผลลัพธ์ออกมาดีเป็อย่างยิ่ง แม้แต่เขาที่เป็ลูกชายยังรู้สึกได้ว่ามันวิเศษมาก
อวิ๋นฉี่ซานถามด้วยความตื่นเต้น “เจียวเอ๋อร์ เ้าทำตามสูตรเองหรือ?”
อวิ๋นเจียวพยักหน้า โกหกหน้าตาเฉย “ใช่แล้วเ้าค่ะ ตอนอยู่ที่เมืองหลวง ข้าไม่มีอะไรทำ จึงลองทำเล่นๆ สองสามกระปุก นำมาดูว่าขายได้หรือไม่ หากขายได้ ต่อไปข้ากับพี่รองจะช่วยกันทำ!”
อวิ๋นฉี่ซานพูดอย่างกระตือรือร้น “ของดีขนาดนี้ต้องขายได้แน่นอน! รอให้พี่รองทดลองทำตามสูตรจนชำนาญแล้ว ต่อไปงานพวกนี้ก็ให้พี่รองทำเอง!”
เชิงอรรถ
[1] จวี่เหริน (举人) เป็ตำแหน่งบัณฑิตที่สอบผ่านการสอบระดับมณฑลในระบบการสอบคัดเลือกขุนนางของจีนในสมัยโบราณ ถือเป็ระดับที่สูงกว่าซิ่วไฉ
[2] ยามเหม่า (卯时) คือเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า
[3] ยามซื่อ (巳时) คือเวลาเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมงเช้า
[4] สอนศิษย์จนทำให้ครูอดตาย (教会徒弟饿死师傅) หมายถึง เมื่อครูสอนความรู้ทั้งหมดให้กับศิษย์ จนศิษย์เก่งและอาจกลายเป็คู่แข่ง ทำให้ครูเสียประโยชน์หรือไม่มีรายได้