เซวียเสี่ยวหรั่นตากแดดจนหน้าแดงไปครึ่งซีก ถูกเหลียนเซวียนไล่กลับไปนั่งในรถ
เธอรินน้ำให้ตนเองดื่มอึกๆ เข้าไป
แล้วหาถ้วยของเหลียนเซวียนออกมาก่อนจะรินให้เขา
"เฮ่อ... ั้แ่ต้นปีพวกเราก็เดินทางมาโดยตลอด ตอนอยู่ในป่าอาศัยสองเท้าเดินทาง ออกจากป่าก็พึ่งรถม้าเดินทาง แต่ละวันหาไม่ใช่เตรียมตัวเดินทาง ก็อยู่ระหว่างการเดินทาง ภายในระยะเวลาครึ่งปี การเดินทางชั่วชีวิตของข้าคงจะใช้ไปเกือบหมดแล้วกระมัง"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองทิวทัศน์แล่นผ่านไปด้านหลัง พลางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
เหลียนเซวียนดื่มน้ำรวดเดียวหมด ก่อนหันมามองนางอย่างขบขัน "เ้าเกิดมานานแค่ไหนกันเชียว ถึงกล้าพูดว่าชั่วชีวิต"
เซวียเสี่ยวหรั่นเบะปากทำตาขวางใส่เขา "หรือว่าการเดินทางใน่นี้หาได้ยาวนานที่สุดในชีวิตท่าน?"
"อืม ก็จริง เป็การเดินทางที่ยาวนานและช้าที่สุด" เหลียนเซวียนยอมรับ
"เห็นไหม เห็นไหม ท่านคิดว่าภายหน้าจะยังมีการเดินทางที่ยืดยาดไปกว่านี้อีกหรือ"
ไม่ใช่ว่าเซวียเสี่ยวหรั่นชอบบ่นจุกจิก แต่่นี้ถนนหนทางไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร นั่งรถม้าทุกวันกระแทกจนปวดก้นไปหมดแล้ว
จากชายแดนแคว้นหลีเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง พวกเขายังต้องเดินทางยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดวันกระมัง เดินทางั้แ่ต้นเดือนห้าไปถึงก็ต้นเดือนหก หลังจากนั้นอาจต้องเดินทางต่ออีก่หนึ่ง
แน่นอนว่าระหว่างนั้นเหลียนเซวียนต้องใช้เวลา่หนึ่งในการไปถอนพิษ ผนวกกับการถูกซุ่มโจมตีครานี้ก็เสียเวลาไปอีกหลายวัน
สรุปแล้วการเดินทางด้วยความเร็วเต่าเช่นนี้เร็วกว่านั่งเกวียนเทียมโคเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เหลียนเซวียนยิ้ม หันมามองนางปราดหนึ่งแต่ไม่ตอบอะไร
เื่ในภายภาคหน้า ใครเล่าจะสามารถทำนายได้
"เมื่อไรคนของที่นี่จะโบยบินได้เหมือนนก เพียงแค่ขยับปีกก็สามารถข้ามูเาแม่น้ำได้นับพันนับหมื่นสาย"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองดูนกน้อยที่บินอยู่ในป่า นึกถึงยานพาหนะที่บินได้เหมือนนก"
"เ้าคิดอะไรแผลงๆ อีกแล้วล่ะ" เหลียนเซวียนยิ้มพลางส่ายหน้า
เชอะ ไม่รู้จักล่ะสิ เซวียเสี่ยวหรั่นมองเขาด้วยสายตาดูแคลน
"สายตาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าที่ของเ้ามีคนสามารถบินได้" เหลียนเซวียนเลิกคิ้ว
คนใช้ยานพาหนะบินได้มีอยู่จริง แต่เซวียเสี่ยวหรั่นยังฉลาดพอที่จะไม่เสวนาเื่เหล่านี้กับเขา
"แฮ่ม พวกเรายังต้องเดินทางอีกกี่วันถึงจะไปถึงเมืองหลวง"
เหลียนเซวียนมองอย่างกังขา เฉไฉไปเื่อื่นอย่างนี้ หรือว่าที่ที่นางอยู่จะมีคนบินได้จริงๆ
เป็ไปไม่ได้กระมัง? คิ้วดาบดำเข้มขมวดเข้าหากันแน่น
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นเขาทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา ก็หดคอโดยไม่รู้ตัว บุรุษผู้นี้ยิ่งฉลาดเฉียบคมอยู่ด้วย แค่คำพูดเพียงประโยคเดียวหรือการกระทำเพียงอย่างเดียวก็สามารถคิดเชื่อมโยงออกไปได้มากมาย
เธอแกล้งมองซ้ายมองขวาทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นว่าเขากำลังมองอะไร
"หากราบรื่นดี ก็แปดเก้าวันได้" หลังจ้องนางอยู่ครู่ใหญ่ เหลียนเซวียนถึงรั้งสายตากลับมา แล้วตอบอย่างไม่นำพา
"โอ้ นานขนาดนั้นเชียว" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกเหนื่อยใจ
พอเห็นนางไหล่ตกราวกับแมวน้อยซึมกะทือ เหลียนเซวียนก็อดใจเย้าหยอกนางไม่ได้
"ไม่อย่างนั้นก็ให้ข้าขี่ม้าเร็วพาเ้ากลับเมืองหลวง สี่ห้าวันก็คงจะถึงแล้วล่ะ"
"ข้าขี่ม้าไม่เป็" เซวียเสี่ยวหรั่นกลับตื่นเต้น ทว่าน่าเสียดาย เธอขี่ม้าไม่เป็ เรียนตอนนี้คงไม่ทันแล้วกระมัง
"ข้าพาเ้าขี่เอง" เขาปรายตามาปราดหนึ่ง
เขาจะเธอขี่? ก็ต้องขี่ม้าตัวเดียวกันน่ะสิ เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่ นั่นจะได้อย่างไรเล่า
รีบส่ายหน้าเป็การใหญ่ "ไม่ได้ ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน"
"เ้าแต่งเป็บุรุษได้นี่" เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ
"ไม่ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงแม้จะแต่งเป็ชาย แต่การขี่ม้าตัวเดียวกันมันออกจะสนิทชิดเชื้อเกินไปหน่อย ที่สำคัญก็คือ "ในวันที่อากาศอบอ้าว ต้องตากแดดจัดไปตลอดทาง มิถูกเผาจนดำเป็ถ่านกันพอดีหรือ"
เหลียนเซวียนเลิกคิ้ว เขาลืมใคร่ครวญถึงจุดนี้ไป "เป็ข้าที่คิดไม่ถี่ถ้วนเอง"
"อีกอย่าง เสี่ยวเหล่ยกับหลันฮวายังรอข้าอยู่" เธอจะทิ้งพวกเขาหนีไปคนเดียวได้อย่างไร
เห็นนางคิดถึงพวกเขามาก เหลียนเซวียนก็บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร หากเขาไม่อยู่บ้าง นางจะคิดถึงเหมือนกันหรือไม่
"เมิ่งหว่านเหนียงออกเดินทางจากเมืองชางตานหรือยังก็ไม่รู้ เหลียนเซวียน ท่านว่าถ้าถึงเวลาพบกัน พวกเราควรอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจเกี่ยวกับเื่สถานะใหม่อย่างไรดี"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงเื่นี้
"ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก บอกแค่ว่าเปลี่ยนสถานะเพื่อความสะดวกในการเดินทางก็พอ" เหลียนเซวียนกลับไม่นำพา
สองพี่น้องสกุลเมิ่งล้วนเป็คนฉลาดปราดเปรื่อง รู้ว่าสิ่งใดควรถาม สิ่งใดไม่ควรถาม
"อ้อ ทราบแล้ว ไม่รู้ว่ากิจการร้านค้าใหม่ของเมิ่งเฉิงเจ๋อเป็อย่างไรบ้าง กระเป๋าขายดีหรือเปล่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางมือบนหัวเข่า มองไปไกลแสนไกลอย่างวิตกกังวล
"เมิ่งเฉิงเจ๋อสามารถก้าวะโสู่การเป็วาณิชย์อันดับหนึ่งของแคว้นหลีภายในสองสามปี เ้าว่าของที่เขาต้องตาจะขายไม่ดีได้หรือ"
เหลียนเซวียนค่อนข้างเชื่อมั่นในความสามารถทางการค้าของเมิ่งเฉิงเจ๋อ
"อืม... ก็จริง" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าตนเองควรเชื่อมั่นในเมิ่งเฉิงเจ๋อถึงจะถูก เธอยกมือประคองใบหน้าพลันยิ้มออก "หากขายไม่ดี แค่เขาไปยืนหน้าประตู การค้าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน"
เหลียนเซวียนหันมา เห็นนางยิ้มจนตาหยี ดวงตาเผยแววคลุมเครือ "เสี่ยวหรั่นคิดว่าเขาดูดีมากเลยหรือ
"ดีมากเลยสิ ทั้งหล่อเหลาสง่างาม อืม... ดูมีเสน่ห์ละมุนละไมคล้ายสตรี" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงเนตรหงส์เรียวคู่นั้น นึกถึงดวงตาคล้ายมีหยาดน้ำวิบวับอยู่ในนั้น แลดูเ้าชู้กรุ้มกริ่มแต่มีเสน่ห์เหลือหลาย มองแล้วให้ความรู้สึกชื่นตาชื่นใจ
เหลียนเซวียนสะบัดแส้แรงขึ้นในฉับพลัน หน้าดำทะมึนราวกับพายุฝนกำลังตั้งเค้า
"หว่านเหนียงหน้าตาคล้ายเขามาก แต่รูปโฉมกลับด้อยกว่าเขาไม่น้อย หน้าตาอย่างเขาเรียกว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัวยากจะแยกแยะว่าเป็หญิงหรือชาย หากเมิ่งเฉิงเจ๋อเปลี่ยนไปเป็สตรี จะต้องสวยมากแน่ๆ"
เซวียเสี่ยวหรั่นยังคงยิ้มพราย
เหลียนเซวียนยิ่งฟัง สีหน้าจากดำทะมึนก็เปลี่ยนเป็สดใส
การประเมินเช่นนี้ สำหรับบุรุษแล้วไม่นับว่าเป็คำชม นับประสาอันใดกับความหลงใหลได้ปลื้ม
ชั่วขณะนั้นเขากลับรู้สึกสงสารเมิ่งเฉิงเจ๋อขึ้นมาทันใด
รถม้าโกโรโกโสมุ่งหน้าไปอย่างเอ้อระเหย ดวงตะวันที่สาดส่องมาจากทิศตะวันตกไม่ร้อนอบอ้าวเช่นเดิมอีกแล้ว สายลมสดชื่นพัดโชยมาขณะที่รถม้ากำลังควบตะบึงไป
เซวียเสี่ยวหรั่นกับเหลียนเซวียนเดินทางต่อไป ทิ้งปัญหาที่ต้องขบคิดเอาไว้เื้ัชั่วคราว
หลังจากนั้นสองวัน เวลายามเซินครึ่ง [1] ท้องฟ้าดำทะมึน เมฆครึ้มลอยต่ำ เสียงครืนๆ ดังมาจากฟ้า
พายุฝนกำลังจะมา
รถม้ากำลังเคลื่อนที่ไปอย่างเร่งด่วนภายใต้ม่านเมฆดำทะมึน เข้าสู่เมืองหลินชุนก่อนที่พายุฝนจะเทลงมา
...
[1] ยามเซินคือ่เวลา 15.00-16.59 ยามเซินครึ่งคือ เวลา 16.00 น.
