เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วเมืองหลวงแคว้นเยียน ร่างทหารนับไม่ถ้วนล้มลงแน่นิ่งบนพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยโลหิต เปลวเพลิงลุกโหมพระราชวัง ตามด้วยเสียงของเหล่าขันทีและนางกำนัลกรีดร้องดังอย่างไม่ขาดสาย
ร่างเล็กสวมอาภรณ์สีขาวหลบซ่อนในซากปรักหักพังเดิมเป็ตำหนักที่นางอาศัยอยู่ เสื้อคลุมของนางขาดวิ่นเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและเื บนท่อนแขนขาวผ่องของเด็กสาวอายุวัยสิบสามปีพันแพผมยาวดำขลับที่หลุดลุ่ย
ดวงตาที่เคยสดใสกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำตาที่เคยไหลรินเหือดแห้งไปพร้อมกับความอ่อนแอ
เยียนชิงหลัวมองศพของเหล่าทหารผู้ภักดีและข้าราชบริพารที่ยอมตายเพื่อปกป้อง เวลานี้นางรู้สึกเหมือนกับตายไปแล้ว
“เสด็จแม่..ท่านอยู่ที่ใด..” เสียงของนางสั่นเครือปะปนไปกับเสียงกระหน่ำของศาสตราวุธ
เยียนชิงหลัวคลานไปตามพื้นที่เปื้อนเื อ้อมแขนเล็กโอบกอดตราหยกแผ่นดิน รินฝีปากซีดเผือดสั่นระริก
เยียนชิงหลัวเบิกตากว้างเมื่อพบบางอย่างถูกโยนเข้ามาภายในตำหนัก สายตาของนางจับจ้องสิ่งของตรงหน้าราวกับเวลาหยุดนิ่ง ลมหายใจของนางเริ่มติดขัด
มือที่สั่นระริกเอื้อมออกไป นางอยากปฏิเสธสิ่งที่เห็นตรงหน้าอยากบอกตัวเองว่านี่เป็เพียงฝันร้าย แต่กลิ่นคาวเืที่ฉุนติดจมูกทำให้นางไม่อาจหลอกตัวเองได้
“เสด็จพ่อ..เสด็จแม่..” เสียงของเด็กสาวแหบพร่าแทบไร้เรี่ยวแรง
เือุ่นจากร่างของบิดาและมารดาไหลนองบนพื้นเย็น ดวงตาของพวกเขายังคงเบิกกว้างราวกับจ้องมองชิงหลัว ทว่าพวกเขาไม่มีชีวิตแล้ว…
เสียงในหัวของเด็กสาวอยากกรีดร้องออกมาดังๆ ร่างของชิงหลัวสั่นสะท้านและดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“องค์หญิง!” เสียงะโหลีจิ่งองครักษ์ข้างกายของเยียนจื่อพี่ชายชิงหลัวดังขึ้น ท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังลุกลามเข้ามาภายในตำหนัก
ชิงหลัวเงยหน้ามองหลีจิ่งเขากำลังเร่งฝีเท้าฝืนทนต่อกลิ่นควันไฟเข้ามา ร่างของเขาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อและเืจากาแที่ได้รับระหว่างต่อสู้
เขาผลักศัตรูที่ขวางทางให้กระเด็นออกไป ก่อนจะก้าวเข้าไปช้อนตัวเยียนชิงหลัวขึ้นมาอุ้มพาดบ่า เขาฝ่าดงศพและซากอาคารที่ค่อยๆ ถล่มลงมาอย่างโกลาหล
หลีจิ่งพุ่งไปยังด้านหลังของวังทันที เขาเตรียมม้าศึกไว้ตัวหนึ่ง ชายหนุ่มผลักเด็กสาวขึ้นหลังม้าสีน้ำตาลเข้ม ก่อนกระชากบังเหียนให้ม้าพุ่งทะยานไปข้างหน้า
“พี่ชายข้าล่ะ?” ชิงหลัวเอ่ยถาม
หลีจิ่งไม่ตอบ เพียงกอดนางไว้แน่นพลางบังคับม้าอย่างแน่วแน่ ทว่าเสียงของศัตรูก็ยังคงดังไล่หลังลูกธนูหลายดอกพุ่งลอยผ่านตัวชายหนุ่มไป บางดอกเฉียดใบหู บางดอกปักลงบนตัวม้า บางดอกปักทะลุอกของเขา
หลีจิ่งสะอึกเล็กน้อยแต่ยังฝืนบังคับม้าต่อ แรงกายของเขาเริ่มค่อยๆ จะหมดลง มือที่กำบังเหียนไว้เริ่มคลายออก
“องค์หญิง ข้าเริ่มไม่ไหวแล้ว” หลีจิ่งกล่าวขณะใช้แรงเฮือกสุดท้ายเหวี่ยงร่างเล็กออกจากหลังม้า
“ไม่….!” หัวใจของเยียนชิงหลัวกระตุกวูบ มือของนางไขว่คว้าอากาศอย่างไร้จุดหมายหวังคว้าจับบางสิ่งเพื่อเหนี่ยวรั้งตนเอง แต่มีเพียงความว่างเปล่า
ดวงตาของนางเบิกกว้างทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว ลมแรงตีกระแทกใบหน้างดงาม ร่างของนางหมุนคว้างกลางอากาศ
เยียนชิงหลัวรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อเสียงลมหวีดหวิวกรีดผ่านโสตประสาท ร่างกายของนางกำลังร่วงหล่นจากที่สูง
เด็กสาวมองเห็นท้องฟ้าดำมืดเวลานี้ถูกแต่งแต้มด้วยแสงเพลิงจากเบื้องบน และเสียงอึกทึกของศัตรูที่ดังห่างออกไปไกลๆ
ในเสี้ยววินาทีนั้น ในหัวของนางกลับมีภาพทุกอย่างซ้อนทับ บิดาและมารดา แคว้นเยียน เืที่เปื้อนปลายนิ้ว ในที่สุดนางก็ร่วงลงสู่ก้นเหวลึก ก่อนที่ร่างจะกระแทกลงสู่ผืนน้ำเย็นเยียบ
เยียนชิงหลัวพยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่แรงของกระแสน้ำกลับดึงนางให้จมหายไปเรื่อย ๆ ความมืดเริ่มกลืนกินสติของนาง เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงของโลกภายนอกเริ่มเลือนรางลง ความเงียบเข้าปกคลุม… ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง…
“ข้ายังตายไม่ได้! “
..
แสงแดดยามเช้าสาดผ่านม่านหมอกเหนือผืนน้ำกระทบลงบนโขดหิน ร่างของเด็กสาวนอนแน่นิ่ง ลมหายใจแ่เบา
อาภรณ์ขาดวิ่นเปียกโชกแนบชิดร่างเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากแรงกระแทก ผมดำขลับยุ่งเหยิงปกปิดครึ่งใบหน้า เืจากาแซึมลงผสมน้ำ
เสียงฝีเท้าหนักแน่นเหยียบย่ำผ่านพงหญ้า ก่อนที่เงาร่างสูงในอาภรณ์สีดำจะหยุดลง มู่หรงยืนนิ่งมองร่างของเด็กสาวที่นอนเกยโขดหินด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
“นายท่าน นางยังไม่ตาย” ซูเหวินผู้ติดตามของมู่หรงกล่าว พลางย่อตัวลงแตะชีพจรที่ข้อมือของเด็กสาว “ชีพจรอ่อนมาก แต่ยังมีหวัง”
“ชีวิตของนางไม่มีค่า” มู่หรงตอบเสียงเรียบ “ปล่อยไว้ที่นี่ นางต้องตายอยู่ดี”
“์คงไม่้าให้นางตาย…หรือบางที ชีวิตของนางอาจยังมีบทบาทที่ต้องทำให้ลุล่วง” ซูเหวินเอ่ยพลางเหลือบมองมู่หรง แววตาฉายแววหยั่งเชิง “นางอาจไม่มีค่าในตอนนี้ แต่บุญคุณแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็หนี้ชีวิตได้”
มู่หรงยังคงนิ่ง ไม่มีท่าทีตอบสนอง
“เด็กที่ผ่านความตาย ย่อมเรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดมีค่ามากกว่าชีวิต นางอาจมีประโยชน์กับพวกเรา” ซูเหวินกล่าวต่อ น้ำเสียงเจือความหมายลึกซึ้ง
มู่หรงปรายตามองร่างของเด็กสาวอีกครั้ง แสงแดดที่ส่องกระทบเผยให้เห็นคราบเืแห้งเกรอะกรังบนผิวขาวซีด นางเหมือนเศษซากของอดีตที่ถูกกระแสน้ำพัดพามาทิ้งไว้ที่นี่
เขาไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่หมุนกายเดินจากไป
ซูเหวินลอบมองแผ่นหลังของผู้เป็นาย ก่อนจะก้มตัวช้อนร่างเย็นเฉียบขึ้นมาอุ้มไว้ แขนเล็กของเด็กสาวตกห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ลมหายใจของเยียนชิงหลัวขาดห้วง นางรู้สึกถึงแรงสั่นะเืของฝีเท้าที่เคลื่อนไหว และความเย็นเฉียบของอ้อมแขนที่รองรับร่างกายอ่อนแรงของตนเอง แว่วเสียงสนทนาของใครบางคนลอดเข้ามาในห้วงสติที่พร่าเลือน
‘เขาเป็มิตรหรือศัตรู… ไม่อาจรู้ได้’
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้