ระหว่างนั้นเสียงมือถือผมก็ดังขึ้น
‘ไอริส’ สายตาของคุณหมอ เหลือบมองหน้าจอครู่หนึ่งก่อนหลบสายตาไปทางอื่น ผมตัดสินใจกดรับอย่างไม่มีอะไรปิดบัง
“ว่าไง” หลังจากเอ่ยทัก ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รอบกายเธอเงียบ เหมือนอยู่ในห้องน้ำหรือสถานที่เงียบ มากกว่าอยู่ในห้องเรียนที่ต้องมีเสียงจอแจ
“คีย์...” เธอเอ่ยเรียกผมเบา ๆ
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงเป็งั้น?” จริง ๆ แล้วผมเป็ห่วงเธอนะ ยิ่งฟังน้ำเสียงก็รู้ว่าเหมือนมีอะไรในใจ
“เราคิดมาพักนึงแล้ว ว่าจะถามเธอดีไหม แต่ถ้าไม่ถามเราก็คงคาใจไปตลอด วันขึ้นปีใหม่ตอนพวกเรากำลังดูพลุ ที่เธอถามเราว่า คบกันไหม?” ถึงตอนนี้ผมรู้สึกหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเผลอแสดงสีหน้าอะไรออกมา ทำให้คุณหมอนาวินจ้องมองผมแบบนั้น
“เราไม่รู้ว่าเธอยังจำได้ไหม เธอยังรู้สึกกับเราเหมือนเดิมหรือเปล่า?” ระหว่างที่ไอริสพูด ผมได้สบสายตากับหมอนาวินอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกตอนนี้ชัดเจนเกินกว่าจะหลอกตัวเอง ผมไม่รู้สึกอะไรกับไอริส และเป้าหมายผมไม่ใช่เธอ หากแต่เป็เขา!
“ขอโทษนะ เราจำไม่ได้อะ” ผมจำใจหักหาญน้ำใจเธอ พร้อมจ้องมองไปยังใบหน้าของหมอนาวิน ก่อนสายตัดไปดื้อ ๆ โดยไม่กล่าวลา
เป็ครั้งแรกที่ผมรู้สึกผิดจนพูดไม่ออก ได้แต่มองมือถือที่ดับวูบไปต่อหน้า
“อาหารมาแล้วค่ะ” ทว่าเสียงของพนักงานในร้าน ทำให้ผม ละสายตาจากมือถือ แล้วกลับมาปั้นหน้ายิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แฟนเหรอ?” แปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่เขาถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
“เปล่าครับ แค่เพื่อน ผมยังไม่มีแฟน ไม่งั้นจะสนใจพรรณีไปทำไม” เขายิ้ม แล้วเลื่อนอาหารมาใกล้ ๆ
“ไม่รู้ว่าคุณชอบต้มมะระหรือเปล่า เป็อาหารของคนแก่ ที่ผมเองก็ขาดไม่ได้ แต่ถ้าคุณกินไม่ได้ ก็กินอย่างอื่นละกัน”
“วันหลัง ผมทำให้กินดีไหม?” เขาที่กำลังตักซุปชะงัก แล้วค่อย ๆ วางช้อนลงช้า ๆ
“อย่างคุณอะนะ ทำอาหารเป็”
“ดูคน อย่าดูแต่ภายนอกดิ ผมยังมีอะไรให้คุณแปลกใจได้อีกเยอะเลย” ผมตอบไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วผมทำอาหารไม่เป็หรอก แต่มันจะยากตรงไหน ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีบอกไว้เต็มไปหมด
ผมตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวดู จริง ๆ แล้ว ต้มมะระไม่ได้รสชาติแย่ ขมหน่อย ๆ อร่อยไปอีกแบบ แต่ถ้าต้องกินบ่อย ๆ ก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน ผมเลื่อนสายตามองไปยังดอกไม้ที่เสียบในแจกัน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่เป็ดอกกุหลาบสีแดงสดเหมือนที่พรรณีชอบในอดีต
“ถ้าผมจะจีบพรรณี คุณว่าเธอจะชอบกุหลาบแดงไหม” เขาหันมองไปยังกุหลาบที่เสียบอยู่ในแจกัน แล้วนิ่งไปคู่หนึ่ง
“ผู้หญิงย่อมคู่กับดอกไม้ ผมว่าเธอชอบ”
“แล้วคุณล่ะ ชอบไหม” ผมจ้องเข้าไปั์ตาเขาแล้วถามด้วยน้ำเสียงใส่ใจ
“คุณคิดว่าผมชอบดอกไม้?”
“แล้วทำไมจะไม่ชอบล่ะ ดอกไม้ไม่ได้เป็ของผู้หญิงเท่านั้นซะหน่อย” ผมเห็นแววตาบางอย่างจากเขาสะท้อนกลับมา ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรในใจ แต่ผมเชื่อ..ถ้าหากผมคือมยุรา เขาก็ต้องคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้บ้าง
“กุหลาบสีแดง เป็ดอกไม้ที่สวยงาม คุณเดาถูกนะ ผมอาจเคยชอบกุหลาบแดงมาก ๆ” เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ
“แต่ไม่รู้ทำไม...พอโตมา กลับไม่ชอบแล้ว” ผมเผลอยิ้มมุมปาก
“เป็เื่ปกติ เหมือนผมนั่นแหละ อะไรที่เคยรัก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรักตลอดไป” สิ้นเสียงของผม เขายิ้มตอบ
“อาคิราห์ แปลว่า รัศมีแห่งดวงตะวัน หากเปรียบกับความรัก ก็เป็รักที่ไม่มีวันดับ รักที่เป็นิรันดร์ รักตลอดไป..” ผมมองเข้าไปั์ตาเขา รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น
“ก็แค่ชื่อ...ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเป็อย่างนั้นจริง ๆ” ผมตอบกลับ พร้อมเอื้อมไปหยิบไวน์ขึ้นดื่ม
“จริง ๆ แล้วผมชอบดอกลิลลี่ขาว” เขาไม่ถือสากิริยาของผม หากแต่ตอบกลับด้วยสายตาราบเรียบ
“งั้นผมก็พอรู้บ้างแล้วว่าหมอชอบอะไรบ้าง หมอชอบต้มมะระ ไข่เจียว ดอกไม้ที่ชอบคือดอกลิลลี่ขาว”
“คุณจะจำเื่พวกนั้นไปทำไม?” คำถามของเขาทำให้ผมปล่อยยิ้มออกมา มืออีกข้างเท้าคาง พลางมองตรงไปด้วยสายตาแน่นิ่ง
“เพราะผม อยากเป็คนที่หมอไว้ใจมากสุดไง” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่เห็นแววตาประหม่าของเขาเผยออกมา ก่อนเขาเอื้อมไปตักต้มมะระกิน
“คุณต่างหาก ไว้ใจผมมากแค่ไหน?” คำถามของเขา ทำให้ผมเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือที่วางอยู่ค่อย ๆ หดลงช้า ๆ ก่อนเขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“ผมล้อเล่นน่ะ...ถ้างั้น ต้มมะระ ผมขอรสชาตินี้ก็แล้วกัน” สายลมอ่อนพัดมาปะทะกายพวกเราทั้งสอง พร้อมเสียงเพลงเก่าคลออยู่ตลอดเวลา
ดูเหมือนว่าผมกับคุณหมอนาวิน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมาก แต่จริง ๆ แล้วผมใช้เวลาทั้งหมดไม่ถึงสามชั่วโมง ก็ต้องพาเขากลับมาส่งบ้าน เพื่อเอารถที่จอดค้างไว้ แต่เวลาเพียงเท่านั้นก็ทำให้ผมได้ใกล้ชิดเขามากขึ้น ได้เรียนรู้ ได้คิดวางแผน ว่าก้าวต่อไปของผมจะเดินไปยังไง....
ผมมองรถที่ค่อย ๆ ถอยออกจากบ้าน ก่อนจะยกมือขึ้นลาเขา แล้วฝืนยิ้มให้อย่างเป็มิตร สายตาทอดมมองไปยังไฟท้ายรถจนลับไป
ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน พลางโยนกุญแจรถลงบนเตียงนอน ทิ้งตัวลงนั่งยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะ
หากเป็คุณ...คุณจะปล่อยพวกเขาไป หรือจะกลับไปแค้น?
แต่สำหรับผม ความปวดร้าวของมยุรา ไม่อาจปล่อยผ่าน พวกเขาสองคนต้องรับกรรมที่ก่อเอาไว้
ผมค่อย ๆ ถอดนาฬิกาข้อมือออก แล้วหยิบมือถือขึ้นมองตามสัญชาตญาณ เห็นไลน์ของไอริสขึ้นเตือน ผมจ้องมันอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ก่อนจะกดอ่าน
“คีย์จำไม่ได้ก็ไม่เป็ไรนะ ลืมเื่นี้ซะ ทุกอย่างจะเหมือนเดิม”
“ขอโทษนะ” ผมตอบกลับไป ก่อนเธอจะส่งสติ๊กเกอร์น่ารักกลับมา แล้วบทสนทนาของเราสองคนก็จบลง
อย่างน้อยก็โชคดี ที่ผมยุติความสัมพันธ์ระหว่างไอริสได้ทัน ไม่อย่างนั้นจะเป็เธอเองที่เ็ป...
ผมหันไปหยิบสมุดโน้ตเล่มเก่า ที่ชอบเขียนจุดมุ่งหมายของตัวเองั้แ่มัธยม ส่วนใหญ่เป็เพลง คำพูดแรงจูงใจ หรือแม้แต่แผนในอนาคต ทุกอย่างที่อยู่ในนั้นเป็สิ่งที่ผมทำสำเร็จแล้วเกือบครึ่ง ผมล้วงหยิบปากกาที่อยู่ในกระเป๋าออกมา แล้วเขียนเพิ่มตัวใหญ่ ๆ
‘นาวิน’ ประโยคเดียวสั้น ๆ แล้วปิดสมุดโน้ตลง ก่อนเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ไม่นานนักร่างของคุณแม่ก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม ในมือถือของว่างแล้ววางลงใกล้ ๆ
“เห็นเดือนบอกว่าวันนี้ออกไปข้างนอกกับหมอนาวินมางั้นเหรอ” กระทั่งแม่ของผมก็สนใจเื่นี้ ผมยิ้มแล้วเอื้อมไปหยิบของว่างขึ้นมาใส่ปาก
“ครับ”
“เมื่อก่อนไม่เห็นคีย์สนใจ”
“เขาช่วยชีวิตผมไว้ แค่ไปเลี้ยงข้าวขอบคุณ” แม่ผมย่อตัวลงนั่งใกล้ ๆ ยังอยู่ในชุดเรียบหรู เพราะเพิ่งกลับจากงานโรงแรมสาขาใกล้ ๆ
“คุณหมองานยุ่ง อย่ารบกวนเวลาเขาบ่อย ๆ ก็พอ” ผมยิ้มแล้วเอียงศีรษะมองหน้าแม่
“นี่แม่เป็ห่วงเขามากกว่าผมอีกนะครับ” แม่หัวเราะเบา ๆ แล้วยกมือลูบศีรษะผมเหมือนที่ทำมาตลอด
“คีย์รู้ไหม วันที่คีย์อยู่ในมือหมอนาวิน แม่คิดไว้ว่า ถ้าคีย์ไม่อยู่ แม่ก็จะไม่อยู่เหมือนกัน....” ผมมองหน้าแม่ รู้ว่าแม่พูดจริง แววตาที่ท่านมองผม ไม่เคยเปลี่ยนเลยั้แ่เด็กจนถึงตอนนี้ ผมเป็ลูกคนเดียว เป็ทายาทคนเดียวของธนะกุล เป็ดวงใจของทุกคนในตระกูล
“ถ้าไม่ได้หมอนาวิน แม่อาจเสียคีย์ไปแล้วจริง ๆ ทำดีกับเขาไว้เยอะ ๆ นะลูก...” คำพูดของแม่สะกิดใจผมขึ้นมา หากแต่ผมฝืนยิ้มพยักหน้ารับ แล้วค่อย ๆ โผเข้ากอดแม่ช้า ๆ
“ถ้างั้น แม่มีเบอร์ติดต่อคุณหมอไหมครับ ผมมีอะไรที่อยากตอบแทนเขาอีกเยอะเลย”
“แปลกนะ” ผมขมวดคิ้วในคำพูดของแม่ จึงถอนกอดออก แล้วเอ่ยถาม
“แปลกยังไงครับ”
“ปกติคีย์เคยสนใจใครที่ไหน แม่เห็นแค่เพื่อนสามคนของคีย์เท่านั้นแหละที่ใส่ใจ ที่เหลือแทบจะมองข้ามหัวหมด”
“ก็บอกแล้วไง ว่าคุณหมอช่วยชีวิตผมไว้ ต้องตอบแทน” แม่ผมยิ้ม แล้วล้วงหยิบมือถือขึ้นมา กดหาเบอร์ส่วนตัวของคุณหมอนาวิน แล้วยื่นมือถือให้ผม
“แล้วอย่ารบกวนเวลาคุณหมอมากนัก คุณหมอน่ะ ไม่ได้มีงานที่โรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว ยังเป็หมออาสาอีกด้วย”
“หมออาสา?” ผมทวนคำด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจคำนี้เท่าไรนัก
“ได้เบอร์ไปแล้วหนิ อยากรู้อะไรก็ถามคุณหมอเอาเอง แม่ไปอาบน้ำก่อน” ผมพยักหน้า มองแม่เดินออกจากห้องไปพร้อมกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่ยังค้างอยู่ในอากาศ
ก่อนจะก้มมองเบอร์ของคุณหมอนาวินที่บันทึกไว้เรียบร้อย ผมเผลอยิ้มมุมปากออกมาเบา ๆ อย่างน้อย ผมก็ได้เข้าใกล้เขาอีกขั้น