ตะกร้าถียนสวี่หลันจำเป็ต้องกระชากคนตระกูลสวีลงมา เพื่อทำให้ชาวบ้านเลิกเชื่อถือในตัวพวกเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางคงจะต้องถูกหาเื่เช่นนี้อยู่ร่ำไป
ร่างบางก้มลงหยิบหุ่นปั้นชายหญิงที่พันด้วยด้ายสีชาดประกบกันเหมือนคู่บ่าวสาว ใบหน้าของนางสงบนิ่งไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ เถียนสวี่หลันแกะเส้นด้ายพวกนั้นออกก่อนที่จะดึงรูปปั้นดินทั้งสองออกจากกัน
ตรงกลางระหว่างรูปปั้นมีกระดาษที่เขียนตัวอักษรบางอย่างเอาไว้ ด้านในเป็ชื่อและวันเดือนปีเกิดของเว่ยเจ๋อิ ที่นางรู้เพราะชีวิตก่อนตอนที่นางแต่งงานกับเขาจะต้องใช้วันเดือนปีเกิดของทั้งสองฝ่ายส่งเพื่อให้แม่สื่อ เถียนสวี่หลันอ่านตัวหนังสือในกระดาษออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองใบหน้าที่บวมเหมือนหัวหมูของสวีม่านนี
“นี่!!!..เ้าถึงกับทำมนต์เสน่ห์ใส่เว่ยเจ๋อิเลยเชียวหรือ หลักฐานคาตาเช่นนี้แล้วยังจะกล้าปฏิเสธว่ามิใช่ฝีมือของเ้าอยู่อีกหรือไม่”
นางเหยียบหุ่นดินทั้งสองตัวจนแหลกละเอียดคาเท้า ก่อนที่จะหันไปถามนักพรตหนุ่ม
“ท่านนักพรตคิดเห็นอย่างไร นางถูกิญญาชักนำให้ทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นคนดีดีผู้หนึ่งไหนเลยจะกล้าทำเื่เลวร้ายเช่นนี้ได้ ตระกูลสวีนี่ช่างน่าหวาดกลัวนัก”
นางขยิบตาให้นักพรตที่ยืนเงียบมานานเพื่อให้เขาเออออไปกับตน
“ถูกต้องอย่างที่แม่นางพูด ข้าจะให้ยันต์นี้แก่พวกเ้าทุกคนเอาไว้ป้องกันิญญาร้าย ต่อไปนี้พวกมันจะไม่กล้ากลับมาที่หมู่บ้านหนานซานอีกแล้ว”
เถียนสวี่หลันพยักหน้าให้นักพรตหนุ่ม ก่อนที่นางจะเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านที่คุกเข่าที่พื้นด้วยท่าทางสิ้นหวัง จบแล้วตระกูลสวีของเขาจบสิ้นด้วยน้ำมือของเขาหมดแล้ว
“สวีไค อย่าลืมที่เ้าเคยรับปากกับข้าเอาไว้เล่า หาเงินหนึ่งร้อยตำลึงมา ไม่อย่างนั้นที่นาทั้งหมดของเ้าจะต้องตกเป็ของตระกูลเถียน เ้ามีเวลาห้าวัน รีบหน่อยก็ดีเพราะข้าเป็คนที่ไม่ชอบรอใคร”
เมื่อเื่ทุกอย่างจบลงชาวบ้านต่างก็ทยอยออกมาจากเรือนตระกูลสวี คนตระกูลเถียนเดินยิ้มแย้มอารมณ์ดีกลับไปที่เรือนของตน ชาวบ้านที่เคยรุมใส่ร้ายตระกูลเถียนคนที่เช่าที่นาและคนที่เคยยืมเงินจากตระกูลเถียนต่างก็รวมตัวกันที่หน้าเรือน เพื่อกล่าวขอโทษท่านปู่ของเถียนสวี่หลัน
ถึงแม้พวกเขาจะมายืนรอที่ประตูหน้าเรือนแล้วก็ตาม แต่ท่านปู่ของนางก็ไม่ยอมเปิดประตูต้อนรับใครสักคนเข้ามา เพราะยังรู้สึกโมโหเื่ที่หลานสาวคนดีถูกพวกเขาใส่ร้าย
ส่วนเถียนสวี่หลันหลังจากจบเื่ทุกอย่างแล้ว นางก็กลับมาที่ห้องของตนเพื่ออ่านตำราและคัดตัวอักษรเช่นเดิม ไม่ได้ใส่ใจเื่ที่ชาวบ้านกลับมาขอร้องให้คนตระกูลเถียนของนางให้อภัย
“เด็กคนนี้นี่ เกิดเื่มากมายเพียงนี้เ้ายังจะใจเย็นได้อยู่อีกหรือ ข้าล่ะใจหายใจคว่ำกลัวว่าเ้าจะพลาดให้คนตระกูลสวี่เหยียบซ้ำลงมา ถึงแม้ตระกูลเถียนของเราจะถูกใส่ร้ายจนอยู่ที่นี่ไม่ได้ แต่พวกเราก็สามารถย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ ต่อไปลูกห้ามทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ด้วยตนเองเด็ดขาดรู้หรือไม่ อย่าลืมว่าคนตระกูลเถียนทุกคนล้วนอยู่ข้างลูกเสมอ”
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็ตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเื่งามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้น
ครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หาก้าจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็เื่ที่ยากสำหรับเขา
“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”
เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป
“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”
เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู่บ้านเลย นี่นับว่าเป็โอกาสหายากสำหรับนางแล้ว
“รอข้าสักครู่ ข้าขอไปกับพวกท่านด้วย”
นางวิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนชุดที่สามารถใช้เดินขึ้นเขาได้สะดวก จากนั้นสตรีทั้งสามก็ออกจากเรือนตระกูลเถียนไป
เถียนสวี่หลันเดินขึ้นเขานำหน้าสตรีทั้งสองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของนางเหมือนเด็กน้อยก็มิปาน ไม่ว่าเจอกับต้นอะไรที่ดูแปลกตานางก็ถามอาเล็กและอาสะใภ้รองของนางเสียงเจื้อยแจ้ว ทำให้การมาเก็บของป่าครั้งนี้ดูสนุกสนานว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หากเถีตะกร้าลันรู้ว่าการออกมาจากเรือนตระกูลเถียนเพื่อพบกับสิ่งที่แปลกใหม่แล้วจะทำให้สนุกมากมายเช่นนี้ นางคงจะไม่เอาแต่อ่านตำราอยู่แค่ภายในเรือนเพียงอย่าง
“อาเล็กนี่มันเห็ดนี่นา เ้าเห็ดนี่ทานได้หรือไม่”
เถียนซู่เจิงเดินมาดูเห็ดที่เถียนสวี่หลันพบ
“นี่มันเห็ดหอมสามารถทานได้ เ้าโชคดีจริงๆ หลันเอ๋อ ขึ้นเขามาไม่นานก็ได้ของกินกลับไปแล้ว”
เถียนซู่เจิงเอ่ยชมหลานสาวอย่างไม่เก็บงำ เถียนสวี่หลันเชิดหน้าทำจมูกยื่นด้วยท่าทางภาคภูมิใจ เหมือนนางได้ค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งที่เ้าสิ่งนั้นก็เป็เพียงแค่เห็ดไม่กี่ดอกเท่านั้น
ท่าทางเช่นนั้นของนางทำเอาอาสะใภ้รองอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ นานแล้วที่พวกนางไม่ได้เห็นด้านที่น่ารักของเถียนสวี่หลัน ดูเหมือนวันนี้นางจะอารมณ์ดีเป็พิเศษ
หลังจากที่เก็บได้เห็ดหอมเถียนสวี่หลันยังเก็บได้เห็ดอย่างอื่นอีกมากมาย เถียนซู่เจิงให้นางเก็บเอามาก่อน เดี๋ยวค่อยไปเลือกเห็ดมีพิษและไม่มีพิษออกจากกัน นางเดินเก็บเห็ดอย่างเพลิดเพลิน โดยลืมไปว่าตนเองนั้นไม่ได้รู้เส้นทางบนูเา
เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ทั้งอาเล็กและอาสะใภ้รองก็หายไปแล้ว เถียนสวี่หลันส่งเสียงเรียกพวกนางไปรอบๆ แต่ที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงสะท้อนของนางเองเท่านั้น ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเกาะกุมภายในจิตใจ นางนั่งลงข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ในใจก็ได้แต่นึกโทษตนเองที่ไม่ระวังตัว มัวแต่เก็บเห็ดเพลินจนตนเองต้องพลัดหลงกับคนอื่น
ใน่ระหว่างที่นางกำลังรู้สึกสิ้นหวังอยู่นั้น มือของใครบางคนก็แตะที่หัวไหล่ของนางเบาๆ เถียนสวี่หลันสะดุ้งใ นางหลับหูหลับตาร้องออกมาเสียงดังลั่นป่า
“อ๊า!!!!!”
เพราะความกลัวทำให้นางไม่ทันได้มองให้ชัดว่าเป็ใครกันที่จับหัวไหล่ของนางอยู่ เถียนสวี่หลันที่กำลังสติแตกทำท่าจะวิ่งหนีไป แต่กลับถูกมือเรียวนั้นดึงแขนเอาไว้
“ปล่อยข้านะ!! ปล่อยข้า!! ได้โปรดข้ากลัวแล้ว!!”
ใบหน้างามที่ตอนนี้มอมแมมไปด้วยดินโคลน ยังคงโวยวายไม่ยอมลืมตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า จนกระทั่งนางโดนดีดที่หน้าผากอย่างแรงจนปูดโนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้นางสงบลงได้
“เถียนสวี่หลันลืมตาขึ้นมาดูเสียก่อนเถอะว่าข้าเป็ใคร เอาแต่ร้องโวยวายอยู่ได้ ทีวันก่อนยังแอบปีนออกนอกเรือนไปกลางดึกคนเดียว ไม่เห็นเ้าจะมีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้”
ร่างบางได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงหยุดร้องโวยวายแล้วค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมอง ร่างสูงที่ยืนทำหน้าไร้ความรู้สึกตรงหน้าจะเป็ใครไปได้นอกเสียจากเว่ยเจ๋อิ เมื่อเห็นว่าเป็เขาความว้าวุ่นที่มีอยู่ภายในใจก่อนหน้านี้ของนางก็กลับมาสงบได้อีกครั้ง
“บัณฑิตเว่ย เหตุใดเ้าถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่าเ้าตามข้ามา”
เถียนสวี่หลันมองไปที่ร่างสูงด้วยท่าทีหวาดระแวง
“เลิกคิดเหลวไหลได้แล้ว”
เว่ยเจ๋อิเคาะไปที่หน้าผากของนางอีกครั้ง เถียนสวี่หลันยกมือกุมหน้าผากที่บวมปูดของตนก่อนจะถลึงตาใส่เขา ร่างสูงไม่สนใจท่าทางหงุดหงิดที่เถียนสวี่หลันแสดงออก
เขาก้มลงเก็บตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กของนางที่หล่นกระจัดกระจาย ทั้งเห็ดมีพิษและเห็ดที่กินได้ถูกใส่รวมเอาไว้ด้วยกันทั้งหมด เว่ยเจ๋อิคัดเห็ดพิษทิ้งไปทั้งยังมองใบหน้างามที่ลายพร้อยเป็ลูกแมวหลงทางของนาง ด้วยความสงสัย
“เ้ากำลังคิดที่จะฆาตกรรมครอบครัวตนเองด้วยเห็ดพิษพวกนี้หรือ”
ร่างสูงเอ่ยถามนางออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เกินครึ่งของเห็ดในตะกร้าไม้ไผ่เป็เห็ดพิษที่พบเห็นได้ทั่วไปในูเาลูกนี้ คงไม่ใช่ว่านางไม่รู้จริงๆ หรอกกระมัง ว่าพวกมันกินไม่ได้
“ก็นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าขึ้นเขามานี่นา ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเห็ดชนิดไหนกินได้ ชนิดไหนมีพิษ อาเล็กบอกว่าเดี๋ยวค่อยมาคัดเอาออกทีหลัง”
เถียนสวี่หลันตอบอ้อมแอ้มเสียงเบา เว่ยเจ๋อิถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ นางไม่รู้จริงๆ สินะ หากนางหลงอยู่ในป่าเพียงคนเดียวคงมิใช่ตายเพราะอดอาหาร แต่นางอาจจะตายเพราะไปกินบางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเข้า
“อาเล็กของเ้าอยู่ที่ใด”
เถียนสวี่หลันส่ายหน้า หากข้ารู้ข้าก็คงไปตามหานางแล้วสิ จะมานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวเพื่ออะไร นางบ่นเว่ยเจ๋อิในใจคนเดียว เหมือนร่างสูงจะรู้ว่านางกำลังแอบด่าเขาในใจ เว่ยเจ๋อิยกมือขึ้นจะดีดหน้าผากของนางอีกครั้ง เถียนสวี่หลันรีบยกมือขึ้นป้องกันหน้าผากของตนทันที
“ตามมานี่”
เว่ยเจ๋อิสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เอาไว้ด้านหลัง เขาออกเดินนำหน้านางไปก่อน เถียนสวี่หลันมองซ้ายมองขวาจากนั้นจึงรีบวิ่งตามเขาไป
“รอข้าด้วย”
เว่ยเจ๋อิพานางเดินตามทางลัดเลาะไปเรื่อยๆ ราวหนึ่งชั่วยามทั้งสองคนก็มาโผล่ที่ทางเดินที่นางใช้ขึ้นเขาก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยแล้วเขาก็ทำท่าจะผละจากไป
“เดี๋ยวก่อน”
เว่ยเจ๋อิหันกลับไปมองร่างบางที่กำลังยืนบิดไปมาด้วยท่าทางประหม่า เขาเลิกคิดวขึ้นเหมือนกำลังถามนางด้วยสีหน้าว่ายังมีอะไรอีก
“ข้า...ขอบคุณที่เ้าพาข้าออกมาจากป่า”
เว่ยเจ๋อิถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนกำลังรำคาญ
“ต่อให้เป็สุนัขที่กำลังหลงป่า ข้าเจอข้าก็จะช่วยออกมาเช่นกัน ไม่ต้องขอบคุณ”
เอ่ยจบเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้เถียนสวี่หลันร้องโวยวายขึ้นอย่างไม่พอใจ เว่ยเจ๋อิได้ยินเสียงสบถของนางดังแว่วตามมาด้านหลัง ร่างสูงยกยิ้มมุมปากบางๆ โดยไม่รู้ตัว เว่ยเจ๋อิไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่เขารู้สึกว่าการที่ได้เอ่ยหยอกเย้าทำให้นางไม่พอใจกลายเป็เื่สนุกของตนไปแล้ว