รัชศกหนานหนิงปีที่สอง สายลมเย็นพัดผ่านย่างเข้าฤดูวสันต์
บรรยากาศคึกคักพบได้ไม่บ่อยนักในเมืองเจียงโจว เมื่อสามวันก่อน เ้าหน้าที่ทางการไล่เคาะประตูบ้านเพื่อมอบ “เงินค่าเก็บกวาดถนน” ให้แก่ชาวบ้าน โดยที่เงินครึ่งหนึ่งเข้ากระเป๋าตนเอง อีกครึ่งนำไปจ่ายค่าน้ำสาดถนนกำจัดฝุ่น ทำอย่างนั้นอยู่ไม่ต่ำกว่าสามรอบ จนกว่าฝุ่นจะหายไป ทั้งยังเที่ยวไล่ที่ขอทานที่อาศัยอยู่ตามตรอกซอกซอย ซึ่งหากเป็ขอทานพิการจะถูกลากไปทิ้งไว้ทีู่เาด้านหลังวัดกวางจีที่อยู่นอกเมือง ส่วนพวกที่ยังแข็งแกร่งพยายามขัดขืนถูกจับขังคุก ทว่าขอทานเ่าั้ล้วนแล้วแต่ดีใจ เพราะอยู่ในคุกแม้ได้กินข้าวบูดก็ยังดีกว่าอดอยากอยู่ข้างนอก
เหตุเพราะเ้าเมืองคนใหม่จะมารับตำแหน่ง จึงต้องเตรียมการตอนรับ
“คนพวกนั้นทำเพราะอยากต้อนรับเ้าเมืองคนใหม่ที่ไหนกัน พวกเขาแค่ถือโอกาสหาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง” หวังหม่าเอ๋อร์นั่งมองเหล่าคนงานที่กำลังทำงานหนักกลางแดดจ้าพลางเคี้ยวใบยาสูบ ข้างกายมีเด็กสองสามคนนั่งฟังเขาคุยโม้ “ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าเฉินปั๋ว เ้าเมืองคนใหม่ทำให้เซี่ยไท่กง [1] ที่เมืองหลวงขุ่นเคือง เขาถึงได้ถูกส่งมารับตำแหน่งไกลถึงเพียงนี้ ก็ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้เขาหาเื่ใส่ตนเอง”
“นี่มันถูกเนรเทศแล้วไม่ใช่หรือ พวกท่านเองก็อย่าใส่ใจเื่ของคนอื่นนักเลย” เด็กคนหนึ่งกำลังเก็บหญ้าอยู่ใกล้ๆ เอ่ยขึ้น “นี่! ไอ้เป่ยเหล่า [2] ” หวังหม่าเอ๋อร์ลุกขึ้นถีบเด็กคนนั้น จนตัวเด็กกลิ้งไปไกล หญ้าในตะกร้าสะพายหลังหกกระจัดกระจายเต็มพื้น เด็กคนนั้นรีบก้มหน้าก้มตาเก็บหญ้าใส่ตะกร้า โดยไม่ปริปากสักคำ
หวังหม่าเอ๋อร์ถ่มน้ำลาย อีกทั้งทำท่าดูแคลนอีกฝ่าย “ที่เ้าว่ามาก็ไม่ผิด แต่ไม่ว่าคนที่มารับตำแหน่งจะเป็ผู้ใด ล้วนต้องมาคารวะนายท่านของเราก่อนมิใช่หรือ?”
เหล่าคนงานหยุดพักหลบแดดดื่มน้ำจึงถือโอกาสเดินมาถกถามเขา "ท่านว่าเหตุใดเขาถึงทำให้ประมุขตระกูลเซี่ยขุ่นเคืองหล่ะ?”
“ผู้ใดจะไปรู้ ได้ยินว่าเพราะนโยบายถู่ต้วน [3] ถู่ตวนอันใดนี่แหละ แค่ชื่อก็ฟังพิลึกแล้วใช่หรือไม่ เขาเห็นเซี่ยไท่กงเป็ผู้ใดกัน ตนเองเป็แค่ขุนนางยศเล็กๆ แต่กลับกล้าทำให้เซี่ยไท่กงขุ่นเคือง คอยดูเถอะ อีกไม่นานคนผู้นั้นจะต้องถูกปลดเป็แน่ เกรงว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้กลับเมืองหลวงอีกแล้ว”
“ท่านพี่หวังช่างรอบรู้ยิ่งนัก”
“สมแล้วที่ท่านพี่หวังมาจากตระกูลใหญ่ มีคนบอกว่าท่านกับนายท่านเคยพบท่านเ้าเมืองแล้ว สุดยอดไปเลย”
“เ้าเมืองนับเป็สิ่งใดกัน นี่เ้าไม่ได้ยินที่ท่านพี่หวังพูดหรืออย่างไร เป็เขาที่ต้องมาคารวะนายท่าน ท่านพี่หวังก็ต้องเคยพบเขาอยู่แล้วสิ”
เซี่ยไท่กงที่พวกเขาพูดถึงก็คือ “เซี่ยซุนไท่ฟู่” ราชครูคนปัจจุบัน นับั้แ่ชาวหูเข้ารุกรานจงหยวน ชาวจงหยวนจึงต้องอพยพไปตั้งรกรากอยู่ทางใต้ ชนชั้นสูงเรืองอำนาจ ปกครองใต้หล้าร่วมกับราชวงศ์ ปีก่อนฮ่องเต้เฒ่าสิ้นพระชนม์ ว่ากันว่าฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นโง่เขลา ไร้ความสามารถ อำนาจในราชสำนักทั้งหมดจึงตกไปอยู่ในมือเซี่ยซุนไท่ฟู่ และกลายเป็ผู้กุมอำนาจในราชสำนักอย่างแท้จริง ผู้ใดก็ตามที่ทำให้เขาขุ่นเคืองย่อมไม่มีวันก้าวหน้า
ทั้งในราชสำนัก ทั้งในพื้นที่ท้องถิ่น อำนาจทั้งหมดล้วนอยู่ในมือเขา ยามนี้ตระกูลชั้นสูงกระจายอยู่ทั่วชนบท เกี่ยวพันกันด้วยความสัมพันธ์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็สามีภรรยา อาจารย์ศิษย์ หรือขุนนางกับที่ปรึกษา ล้วนเป็ความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงและซับซ้อน ตระกูลชั้นสูงเหล่านี้เบื้องหน้าทำนุบำรุงวัดส่งเสริมการศึกษา เื้ัไล่ซื้อที่นาจากชาวนาตัวน้อยที่ไม่มีเงินจ่ายภาษี คนรวยสมรู้ร่วมคิดกับเ้าหน้าที่กดขี่และเอาเปรียบชาวนาตาดำๆ จนพวกเขาอับจนหนทางต้องขายที่นาของตนให้คนอื่น ส่วนตนเองกลายเป็เพียงแรงงานทาส เป็เหตุให้พวกตระกูลใหญ่มีที่ดินในหลายพันหมู่ [4] ครอบครัวชาวนาต้องตกอยู่ใต้อำนาจตระกูลชั้นสูง แม้แต่ขุนนางในราชสำนักยังไม่กล้าทำอันใดคนพวกนี้ เื่กิจการบ้านเมืองส่วนใหญ่จึงต้องฟังความเห็นจากตระกูลใหญ่ ฉะนั้นเ้าหน้าที่ที่จะมาเข้ารับตำแหน่งในพื้นที่ท้องถิ่นจะต้องเดินทางไปพบประมุขตระกูลใหญ่เพื่อรายงานตัว และต้องซื้อใจอีกฝ่ายให้ได้ก่อน ถึงจะทำสิ่งใดได้สะดวก หากซื้อใจคนพวกนั้นไม่ได้ คิดทำการสิ่งใดมักจะติดขัด แถมยังรักษาตำแหน่งไว้ได้ไม่นาน
หวังหม่าเอ๋อร์คุยโม้อยู่นานจนพอใจก็ไล่คนงานกลับไปทำงาน แต่พระอาทิตย์ยามเที่ยงวันส่องแสงเจิดจ้าจนดูน่ากลัว พวกคนงานจึงขอพักอีกสักหน่อย เมื่อหวังหม่าเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็พลันโมโห จึงไล่เฆี่ยนตีพวกเขาให้กลับไปทำงาน “ไอ้พวกขี้ครอก ได้ทีเอาใหญ่! ลืมบุญคุณข้าวปลาอาหารของนายท่านแล้วหรือ ถึงได้กล้าทำตัวี้เีสันหลังยาวเช่นนี้ ให้ข้าดูสิว่าผู้ใดกล้าทำตัวี้เีอีก! เ้า! หรือเ้า! อยากพักอีกหน่อยอย่างนั้นหรือ อยากพักอีกหน่อยอันใดกัน ก้มมองดูตนเองด้วย พวกเ้าคิดว่าตนเองเป็ผู้ใดกันถึงคิดจะเอาเวลามาเที่ยวเล่น!”
เหล่าคนงานแยกย้ายแตกกระเจิงเหมือนฝูงนก เด็กๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขา หวังหม่าเอ๋อร์เริ่มเบื่อจึงกวักมือเรียกเด็กที่เพิ่งถูกเขาถีบให้เข้ามาหา “หยวนเก้อเอ๋อร์ เ้ามานี่ ข้ามีของดีจะให้เ้า”
เด็กคนนั้นรู้ว่าไม่มีของดีอันใดหรอก แต่ก็ยอมมาหาอีกฝ่ายแต่โดยดี พอมาถึงใบหน้ารูปงามก็ถูกบีบจนบู้บี้ “เห็นแก่หน้าว่าสกุลเดียวกัน นายท่านของเรามีเมตตาให้เ้ามาศึกษา รู้อักษรกี่ตัวแล้ว เ้าถึงได้กล้าหนีมาอยู่ที่นี่!”
เด็กคนนั้นมีนามว่า “ิหยวน” อายุราวสิบต้นๆ สวมชุดผ้าหยาบปะแล้วปะอีก แต่ก็สะอาดเรียบร้อย ดูไม่เหมือนลูกหลานชาวนา คิ้วหนาตาคม สง่างามเฉลียวฉลาด เขามักจะหลบตามองต่ำและเม้มปากนิดๆ ดูเป็คนขี้อาย และน่าเอ็นดูมาก ครั้งหนึ่งประมุขตระกูลิเดินชนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ พอเห็นว่าเขาไม่เหมือนกับลูกหลานชาวนาทั่วไปจึงได้อนุญาตให้ิหยวนเล่าเรียนที่สำนักศึกษา
ิหยวนที่ขณะนี้ถูกบีบหน้าจนน้ำตาคลอ “น้องๆ ของข้ายังเด็กนัก ทำงานไม่ได้ ข้าไม่มีทางเลือก อีกทั้งบทเรียนที่ท่านอาจารย์สอน ข้าก็จำได้หมดแล้ว”
“เ้าจำได้แล้ว!” เมื่อเห็นิหยวนแสร้งวางท่าเป็สุภาพชนราวกับตนเป็คุณชายผู้หนึ่ง หวังหม่าเอ๋อร์ยิ่งโมโห ม้วนแส้ไว้ในมือ ก่อนจะคว้าคอเสื้อิหยวนขึ้นมา “จำได้หมดแล้ว? หืม? เ้าจำได้หมดแล้วอย่างนั้นหรือ? แถมเ้ายังกล้าเถียงข้า! ไอ้พวกคนเหนือไม่สำนึกบุญคุณนายท่าน แถมยังกล้าเถียงข้า! อุตส่าห์ให้เ้าได้เล่าเรียน! นายท่านเมตตาพวกเ้า เห็นแก่ว่าสกุลิเหมือนกัน แต่เ้ากลับหลงคิดว่าบรรพบุรุษของเ้ากับนายท่านเป็คนเดียวกัน เชื้อสายเดียวกันหรือก็ไม่ใช่ คิดว่านายท่านจะรับพวกเ้าเป็คนตระกูลเดียวกันหรือ เ้าคิดว่าตนเองเป็คุณชายจริงๆ อย่างนั้นหรือ?! กล้าดีอย่างไรมาเถียงข้า! เ้าคิดว่าข้าไม่กล้าตีเ้าให้ตายหรือ!”
ิหยวนก้มหัวลงต่ำ กำหมัดแน่น ปล่อยให้อีกฝ่ายทุบตีตนตามใจโดยไม่ปริปาก
หากเป็ชีวิตที่แล้ว อย่าว่าแต่จะลงไม้ลงมือกับเขาเลย คนอย่างหวังหม่าเอ๋อร์คงทำได้เพียงหมอบอยู่ข้างถนน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขาเป็แน่ “หลิวจวี้” หรือ “ิหยวน” ในยามนี้ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ เหตุใดจึงคิดถึงวันเ่าั้อีกแล้ว
หลังจากหลิวจวี้ตัดสินใจปลิดชีพตนเอง ความทรงจำสุดท้ายคือใบหน้าตกตะลึงระคนโศกเศร้าของเว่ยคั่ง ไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็ทารกร้องไห้ในอ้อมแขนของหญิงชาวบ้านผู้หนึ่ง เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับเขา ชาติที่แล้วเขาเกิดมาพร้อมด้วยฐานะที่สูงส่ง เสวยสุขบนกองเงินกองทอง มีผู้คนมากมายคอยสนับสนุน แต่ในชาตินี้ เขาเกิดมาฐานะต่ำต้อย ยากจนข้นแค้น ผู้คนดูถูกดูแคลน ยามนี้ทั้งภาษาและการแต่งกายล้วนแตกต่างไปจากสมัยราชวงศ์ฮั่น ิหยวนเติบโตท่ามกลางความสับสน กระทั่งเขาได้โอกาสเข้ารับการศึกษาถึงได้รู้ว่ายามนี้คือห้าร้อยปีต่อมา ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณเสด็จพ่อ ฮั่วกวง หรือโชคชะตา ที่สุดท้ายสายเืหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของเขาก็ได้ขึ้นเป็หนึ่งในจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ทว่าต่อมาหวังหม่างก็เข้ายึดบัลลังก์ก่อตั้งราชวงศ์ซิน ก่อนที่จักรพรรดิฮั่นกวงอู่ซ่องสุมกำลังชิงบัลลังก์คืนก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หลังจากนั้นก็กำเนิดสามแคว้น เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ฮั่นตะวันออก แคว้นเว่ยที่ยิ่งใหญ่ได้เรืองอำนาจและก่อตั้งเป็ราชวงศ์เว่ย แต่สุดท้ายก็ถูกขุนนางชิงบัลลังก์ก่อตั้งราชวงศ์จิ้น จนรวมสามแคว้นเป็หนึ่งเดียวอีกครั้ง
แต่ที่น่าหงุดหงิดคือ ตระกูลขุนนางที่ชิงบัลลังก์ไปไม่รู้สกุลเดิมของตน จึงเปลี่ยนเป็สกุลเว่ย โดยอ้างว่าองค์รัชทายาทเว่ยยังไม่ตาย แต่อาศัยอยู่บนูเา หลอกลวงว่าพวกตนเป็เชื้อสายขององค์รัชทายาทเว่ยแห่งราชวงศ์ฮั่น จึงมีสิทธิ์ในบัลลังก์โดยชอบธรรม ผลสุดท้ายกลายเป็จักรพรรดิผู้อ่อนแอไร้ความสามารถจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ราชวงศ์ตกต่ำ พวกซานกงจิ่วชิง [5] แก่งแย่งชิงดี แสวงหาความมั่งคั่งเข้าสู่ตน จนประชาชนตาดำๆ ต้องขายลูกประทังชีวิต
หึ! คิดว่าตนเองคู่ควรกับสกุลเว่ยอย่างนั้นหรือ!
แต่ตอนนี้เขาเป็เพียงเด็กบ้านนอก พ่อแม่ไร้การศึกษา หาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานให้ตระกูลร่ำรวย เงินที่หาได้นั้นไม่เพียงพอ เวลานี้ราษฎรส่วนใหญ่ลำบากยากเข็น แต่เขาทำอันใดได้บ้าง? ชีวิตนี้ก็เหมือนกับชีวิตที่แล้ว มีพี่สาวสองคน น้องชายน้องสาวอีกสองคน เขาเป็ลูกชายคนโต และเป็คนเดียวที่อ่านออกเขียนได้ เขาคือความหวังของพ่อแม่พี่น้อง แม้พ่อแม่ในตอนนี้จะไม่มีฐานะสูงส่งเท่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ในชาติที่แล้วก็ตาม แต่พวกท่านก็มีแต่ความรักความหวังดีจากหัวใจให้เขา ฉะนั้นเขาจึงต้องตั้งใจใช้ชีวิตเป็ิหยวนให้ดีต่อไป
โชคชะตาฟ้าลิขิต หรือว่า์เบื้องบนที่จะกำหนดให้วีรบุรุษถือกำเนิดในยามนี้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไท่กง (太公) หมายถึง ที่ปรึกษาฮ่องเต้ เป็ตำแหน่งขุนนางชั้นสูง
[2] เป่ยเหล่า (北佬) หมายถึง คนเหนือ คนที่อพยพมาจากทางเหนือ เป็คำที่ใช้ในเชิงเหยียด ดูถูกดูแคลน
[3] ถู่ต้วน (土断) หมายถึง นโยบายจัดระเบียบครัวเรือน และปรับเขตการปกครอง
[4] หมู่ (田) หมายถึง ไร่
[5] ซานกงจิ่วชิง (三公九卿) หมายถึง ขุนนางขั้นสูงสุดสามตำแหน่ง และขุนนางขั้นรองลงมาอีกเก้าตำแหน่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้