“ท่านผู้มีพระคุณ ท่านผู้มีพระคุณ ท่านผู้มีพระคุณ...”
พออ้าปากได้ หงฝูก็ร่ายยาวไม่หยุด ถามคำถามมากมายรวดเดียวโดยไม่หายใจ แม้แต่น้องสาวอย่างหงฮวาก็ได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังพี่ชายด้วยสีหน้าเอือมระอา
“เ้าหนู ไม่ต้องไปสนใจเ้าอ้วนนั่น ไปสำรวจต้นไม้กินคนดู” ไป๋เสียคงไม่อยากได้ยินเสียงของหงฝูอีกต่อไป จึงคิดจะให้ลู่เต้าออกไปจากตรงนั้น
ลู่เต้าถามในใจ ‘ทำไมหรือ ไหนว่าจัดการเรียบร้อยแล้วไงเล่า’
ไป๋เสียเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เ้าไปก็แล้วกัน ข้าจะอยู่ที่นี่ ต่อให้บอกเ้าไป เ้าก็ไม่เข้าใจหรอก!”
ลู่เต้าจึงทำได้เพียงแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึม ยกมือห้ามหงฝู ก่อนจะเดินไปที่ต้นไม้กินคน
ต้นไม้กินคนถูกค่ายกลบีบอัดจนกลายเป็แอ่งเื เดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นคาวเืคลุ้ง ลู่เต้ากัดฟันก้าวเท้าลงไปในแอ่งเื
หงฝูและหงฮวาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลู่เต้า แต่เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมของเขา ทั้งสองจึงเงียบเสียงลง เฝ้ามองลู่เต้าเดินเข้าไปกลางแอ่งเือย่างเงียบๆ
ภายในแอ่งเืมีกระดูกมากมาย กะโหลกศีรษะหลายอันลอยทั่วแอ่งเื เมื่อเห็นว่าในนั้นมีกะโหลกศีรษะเด็กอยู่ด้วย หัวใจของลู่เต้าก็กระตุกวูบ
“ไม่ใช่กระมัง” ลู่เต้าค่อยๆ หยิบกะโหลกศีรษะเด็กขึ้นมาดู ก่อนจะมองไปทางเมืองัทมิฬพลางกล่าวว่า “ต้นไม้นี้อยู่ใกล้เมืองัทมิฬขนาดนี้ บิดามารดาไม่ได้ห้ามปรามบุตรหลานให้ย่างกรายมาที่นี่เลยหรือ”
ลู่เต้าไม่เข้าใจเื่นี้เอาเสียเลย ถึงขั้นไปรู้สึกโกรธเคืองบิดามารดาที่ไม่รับผิดชอบเ่าั้
“โอ?” ไป๋เสียที่รู้สึกสนใจมุมมองของลู่เต้าจึงถามว่า “ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?”
“เพราะท่านปู่เคยเตือนข้าั้แ่เด็กแล้วว่า บนเขานี้ควรไปที่ไหนได้บ้าง สัตว์อะไรไม่ควรไปยุ่ง” ลู่เต้ามองกะโหลกศีรษะในมืออย่างนึกเสียดาย เพราะโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเ้าของกะโหลกนั้นหลีกเลี่ยงได้
ไป๋เสียลอบยิ้มในใจ ‘ดูเหมือนเ้าหนูนี่จะไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด’
จากนั้นไป๋เสียก็กล่าวว่า “หากความจริงไม่เป็เช่นที่เ้าคิดเล่า”
“หมายความว่าอย่างไร” ลู่เต้าเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยบอกเื่อันตรายที่นี่กับเด็กๆ” เพียงแค่กะพริบตา ร่างของไป๋เสียก็ปรากฏขึ้น ณ จุดที่รากของต้นไม้กินคนชอนไชอยู่ “แต่เป็พวกเขาเองที่ไม่รู้ว่าที่นี่มีอันตรายเช่นนี้อยู่ต่างหาก”
“เป็ไปไม่ได้” ลู่เต้าแย้ง “พวกเขาไม่รู้เลยหรือว่าแถวนี้มีต้นไม้อสูรอันตรายเช่นนี้อยู่”
“หากต้นไม้นี้เพิ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ก็สมเหตุสมผลดี” ไป๋เสียมองหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดิน เืถูกดินดูดซับไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋เสียขมวดคิ้ว พึมพำกับตัวเอง “ดูดซับเร็วเกินไปแล้วกระมัง”
‘เพิ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อไม่นานมานี้?’ ลู่เต้านึกถึงสาเหตุที่ทำให้ต้นไม้กินคนปรากฏขึ้น ก่อนจะครุ่นคิด “เป็เพราะดวงิญญาเข้าสิงสู่ต้นไม้นี่...”
ไป๋เสียกล่าวต่อ “เส้นลมปราณใต้ดินที่นี่ไหลเวียนผิดปกติ ดูเหมือนจะไหลไปในทิศทางเดียวกัน ต้นไทรต้นนี้บังเอิญขึ้นอยู่บนเส้นทางไหลเวียนของลมปราณ จึงดึงดูดดวงิญญาให้เข้ามาสิงสู่”
ไป๋เสียค่อยๆ เงยหน้าขึ้นตามทิศทางการไหลเวียนของลมปราณ พบว่าจุดหมายปลายทางของลมปราณคือใจกลางทะเลสาบัทมิฬอันกว้างใหญ่
“การดูดซับลมปราณจำนวนมหาศาลเช่นนี้ หรือว่า...” ไป๋เสียรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งพลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ใต้ทะเลสาบมีบางอย่างอยู่?”
“ท่านผู้มีพระคุณ ท่านผู้มีพระคุณ” จู่ๆ ใบหน้าอ้วนกลมของหงฝูก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าลู่เต้าจนทำเอาเขาสะดุ้งใ
‘เหอะ มาอีกแล้ว’ ไป๋เสียขมวดคิ้ว ก่อนจะหายตัวไป
ตอนแรกลู่เต้าคิดว่าหงฝูเรียกใคร พอเห็นอีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘ท่านผู้มีพระคุณ’ อยู่นั่น จึงเพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกเขาอยู่
ลู่เต้าแสร้งทำเป็สงบนิ่ง “เอ่อ...มีอะไรหรือ”
หงฝูชี้ไปบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเหลืองอำพันพลางกล่าวว่า “ใกล้ค่ำแล้ว หากท่านผู้มีพระคุณไม่รังเกียจ เชิญไปพักที่จวนข้า ขออนุญาตจัดเลี้ยงต้อนรับท่านผู้มีพระคุณด้วยสุราอาหารเลิศรส”
“จัดเลี้ยง?” ดวงตาของลู่เต้าเป็ประกายทันที “มีของอร่อยๆ กินด้วยหรือ”
รู้ๆ กันอยู่ว่า่นี้ลู่เต้าอยู่ในป่า ต้องอาศัยผลไม้ป่าและเห็ดป่าประทังชีวิต ตอนแรกก็พอทน แต่พอกินนานๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ่นี้ไม่ได้กินอะไรดีๆ เลย เมื่อได้ยินว่ามีของอร่อยๆ กิน ดวงตาก็เป็ประกายขึ้นมาทันที
หงฝูก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เพราะตอนแรกลู่เต้าทำท่าทีเ็าใส่ ใครจะไปคิดว่าพอได้ยินว่ามีของอร่อยๆ กิน ท่าทีของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้
ในที่สุดก็หาเื่ที่ท่านผู้มีพระคุณสนใจได้แล้ว ครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะเจอเื่แบบนี้อีกเมื่อไร! หงฝูไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ รีบกล่าวเชิญชวนอีกครั้ง “ถูกต้องขอรับ หงฮวาน้องสาวของข้าจะลงมือทำอาหารเองด้วย”
เมื่อหงฝูยิ้ม ดวงตาของเขาก็ถูกเบียดจนเป็เส้นตรง บวกกับใบหน้าที่ดูซื่อๆ ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนพระสังกัจจายน์ไม่มีผิด
หงฮวาถูกพี่ชายดันออกมาจากด้านหลัง นางเอาแต่ปัดปอยผมเพื่อปกปิดหน้ากากเงินบนใบหน้า ไม่ยอมให้ใครเห็นใบหน้าที่แท้จริง
หงฝูอธิบายแทนท่าทีเสียมารยาทของน้องสาว “ขออภัยแทนหงฮวาด้วย ท่านผู้มีพระคุณ พอดีเมื่อสองปีก่อน นางประสบอุบัติเหตุโดนน้ำมันร้อน จึง...”
เห็นได้ชัดว่าหงฝูรักน้องสาวมาก เมื่อพูดถึงเื่เศร้า เสียงก็สั่นเครือ ต้องให้น้องสาวเป็ฝ่ายปลอบ “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ความผิดของท่าน มันเป็อุบัติเหตุ”
หงฝูเช็ดน้ำตา พยายามทำใจให้เข้มแข็ง “ไม่เป็ไร ถ้าเช่นนั้น...ท่านผู้มีพระคุณ พวกเราออกเดินทางกันเถอะขอรับ”
ในสถานการณ์เช่นนี้ลู่เต้าจึงไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายได้ ขณะที่กำลังลำบากใจ จู่ๆ ไป๋เสียก็เอ่ยขึ้นมา “ไปเถอะ”
ทันใดนั้นลู่เต้าก็มึนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนตอนแรกเ้าบอกให้ข้าไล่พวกเขาไปเร็วๆ เหตุใดคุยกันไม่กี่คำก็เปลี่ยนใจแล้วเล่า
‘นี่มันเื่อะไรกันเนี่ย’ ลู่เต้าถามในใจ
“ดูเหมือนว่าในทะเลสาบัทมิฬจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ข้าอยากไปตรวจสอบดู บางทีอาจจะพบสมบัติที่ช่วยให้เ้าฝึกฝนพลังได้ เ้าไปที่บ้านของพวกเขาก่อน หาข้ออ้างอยู่กินที่นั่นไปพลางๆ” ไป๋เสียกล่าวอย่างไม่ละอายใจ
“เพิ่งจะรู้จักกันก็ไปกินไปอยู่บ้านเขาแล้ว แบบนี้มันไม่ค่อยดีกระมัง ใครๆ ต่างก็หาเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบากนะ” ลู่เต้าบ่น
“เหอะ ข้าก็บอกแล้วไงว่าเ้ามันโง่เง่า” ไป๋เสียส่งสายตาให้ลู่เต้าดูเสื้อผ้าของพี่น้องทั้งสอง “มองให้ชัดๆ นั่นน่ะผ้าไหม ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามัญจะหาซื้อได้ไหวหรอก”
ลู่เต้าหันไปมอง ผิวััของเสื้อผ้าทั้งสองคนดูเรียบลื่นเป็มันเงา ต่างจากผ้าป่านที่เขาเคยสวมใส่โดยสิ้นเชิง
“ดูหน้ากากของผู้หญิงคนนั้นสิ ทำมาจากเงินบริสุทธิ์ แค่เงินบริสุทธิ์เท่านี้ก็เทียบเท่ารายได้ทั้งปีของสิบครัวเรือนแล้ว ครอบครัวนี้ต้องร่ำรวยไม่ธรรมดาแน่ ข้าว่านะ...” ไป๋เสียพึมพำซ้ำๆ เบาๆ “เมืองัทมิฬ...แซ่หง...ฐานะร่ำรวย...”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ทั้งสองคนนี้ต้องเป็คนของหอเงินหงอู่ในเมืองัทมิฬแน่”
“หอเงินหงอู่?” ลู่เต้าเผลอหลุดปาก
เมื่อหงฝูได้ยินก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง รีบถามต่อ “นับเป็เกียรติอย่างยิ่งที่หอเงินของข้าออกมาจากปากของท่านผู้มีพระคุณ ข้าขอไม่ปิดบังท่านผู้มีพระคุณ หอเงินหงอู่เป็กิจการของตระกูลข้า สืบทอดต่อกันมานานกว่าสองร้อยปีแล้ว ด้วยความพยายามของบรรพบุรุษ ปัจจุบันหอเงินหงอู่ได้ขยายสาขาไปทั่วทุกแคว้นแล้วขอรับ”
ลู่เต้ายอมแพ้โดยสิ้นเชิง เอ่ยถามไป๋เสียด้วยความนับถือ “ไม่จริงน่า ท่านรู้เื่พวกนี้ได้อย่างไรกัน แค่ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่หรือ”
“หา?” ทันใดนั้นไป๋เสียก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับสีหน้าเกินจริง “เป็ไปได้อย่างไรกัน เ้าโง่จริงหรือ”
“แล้วเช่นนั้นทำไมท่านถึงรู้ว่าพวกเขาเป็คนของหอเงินหงอู่เล่า”
ไป๋เสียชี้ไปที่เสื้อผ้าของพี่น้องทั้งสองแล้วพูดว่า “เขาปักไว้อยู่”
เมื่อลู่เต้าพินิจดูก็เห็นว่ามีการปักตัวอักษร ‘หงอู่’ อยู่บนเสื้อผ้าจริงๆ เขาถึงกับตาลายด้วยความโมโห พี่น้องตระกูลหงเห็นท่านผู้มีพระคุณยืนนิ่งราวกับรูปปั้น สีหน้าก็ซับซ้อนขึ้นมา
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความงุนงง หงฝูโบกมือไปมาตรงหน้าลู่เต้า “ท่านผู้มีพระคุณ? ท่านผู้มีพระคุณ?”
ทันใดนั้นลู่เต้าก็รู้สึกตัว รีบกระแอมไอเพราะรู้ตัวว่าเสียมารยาท ก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนด้วยแล้ว”
หงฝูยิ้มราวกับพระสังกัจจายน์ โอบไหล่ลู่เต้าเดินตรงไปเมืองัทมิฬ ส่วนหงฮวาก็เดินตามหลังทั้งสองมาเงียบๆ เมื่อไม่มีใครสังเกตเห็น นางก็ลอบยิ้มออกมาน้อยๆ
