หวังซื่อทนการถูกตบตีไม่ไหวอีกต่อไป นั่งลงที่พื้นเริ่มทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผล นางกอดขาของิเถี่ยจู้ไม่ปล่อย แต่ก็ช่วยให้พ้นจากการทุบตีไปได้สองสามที
“นางหญิงสารเลว กล้าดีอย่างไรมาด่าข้า”
ิเถี่ยจู้ได้ยินนางด่าว่าโง่เง่า ก็เงื้อมือจะตบตีอีก เขาดึงหวังซื่อออกจากขาของตนเอง โยนไปกระแทกกับพื้น
“เ้ามันก็แค่คนขี้ขลาดเท่านั้นแหละ เื่ทุบตีข้าล่ะเก่งนัก ถ้ามีปัญญาก็ไปลงกับิเป่าจูโน่น กล้าหรือไม่เล่า! เมื่อก่อนสู้น้องชายตนเองไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังสู้ไม่ได้เหมือนเดิม ไอ้ขี้แพ้”
หวังซื่อหน้าบวมจมูกเขียวช้ำก็ยังมิวายปากกล้า ยั่วยุิเถี่ยจู้สารพัดถ้อยคำ
แต่สองสามประโยคนี้แทงใจดำิเถี่ยจู้เข้าพอดีจริงๆ ความโกรธของเขารุนแรงจนลืมตบตีคนไปชั่วขณะ ลมหายใจถี่กระชั้น หน้าอกกระเพื่อมไม่หยุด
ั้แ่เด็กบิดามารดาก็ภาคภูมิใจแต่น้องชายสุดประเสริฐของเขาผู้นั้น ทั้งประพฤติตัวดี หน้าตาหล่อเหลา ได้รับคำชื่นชมจากคนทั้งหมู่บ้าน
ตนเองมักเป็คนถูกเปรียบเทียบเสมอ และไม่เคยได้รับความสำคัญ เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะโตเร็วๆ นึกว่าพอโตแล้วก็จะหลุดพ้น แต่ใครจะรู้ว่าจะเป็เช่นนี้
น้องชายชอบออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก ตอนที่ยังหนุ่มก็ออกจากบ้านไปหลายปี หลังจากเรียนรู้จนมีความสามารถกลับมาก็พาภรรยาโฉมงามกลับมาด้วยคนหนึ่ง สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันดี
ไม่ว่าจะขึ้นเขาล่าสัตว์ ลงน้ำจับปลา ออกไปข้างนอกทำงานก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่นานนักเขาก็สามารถปรับปรุงบ้านเก่าที่ทรุดโทรมให้กลายเป็เรือนหลังใหญ่กว้างขวาง ซึ่งเป็เพียงหลังเดียวในหมู่บ้านในเวลานั้น
ส่วนตัวเขาเอง บิดามารดาอายุมากแล้ว เพราะน้องชายออกไปข้างนอก เขาจึงต้องอยู่บ้านดูแลผู้เฒ่าทั้งสองจวบจนทั้งคู่จากโลกนี้ไป ตนเองก็อายุไม่น้อยแล้ว
แม้แต่แม่สื่อที่มาพูดคุยเื่แต่งงานก็ยังมองแต่น้องชายคนรองที่โดดเด่นของตนเอง แม้จะเป็เช่นนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่งงานกับสตรีอย่างหวังซื่อ
ความไม่ยุติธรรมของ์มิได้มีเพียงเท่านี้ เขาให้กำเนิดบุตรชาย ส่วนน้องชายให้กำเนิดบุตรสาว ทำให้เขารู้สึกว่าในที่สุดก็มีเื่ที่ตนเองอยู่เหนือกว่าน้องชายเสียที
แต่ใครเล่าจะคิด บุตรชายของตนเองยิ่งเติบโตก็ยิ่งผิดปกติ ห้าขวบแล้วก็ยังพูดไม่ได้
ตอนนั้นหมอประจำหมู่บ้านคนเก่าวินิจฉัยว่าอาฝูเป็คนเขลา ข่าวนี้เป็เหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันที่ฟาดลงมาบนศีรษะของตนเองและหวังซื่อ
ที่น่าขันยิ่งกว่าก็คือ ในปีเดียวกันน้องสะใภ้ก็ให้กำเนิดบุตรชาย ซ้ำยังมาปลอบอีกว่าพวกเขายังมีบุตรกันอีกได้
แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ หลังจากหวังซื่อคลอดอาฝูร่างกายก็ถูกทำลายถึงแก่นราก ไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้ว
ไม่คาดคิดว่าเพียงไม่กี่ปีต่อมา์ก็มีตาเสียที น้องชายกับน้องสาวเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้เขาก็มีความสุขเป็ที่สุด
เขาเข้าไปครองครองเรือนหลังใหญ่ และเพื่อรักษาชื่อเสียงที่ดีงามจึงต้องรับดูแลเืชั่วที่น้องชายทิ้งไว้ ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงในหมู่บ้านเฉกเช่นน้ำขึ้นเรือย่อมสูงตาม
นี่เป็เพียงสิ่งเดียวที่เขายอมรับได้อย่างมีความสุขแม้จะต้องพึงพาครอบครัวของน้องชายก็ตาม
หวังซื่อพูดถูก ต้องโทษเ้าเืชั่วสองคนนั้น โดยเฉพาะนางเด็กสารเลวิเป่าจู นิสัยเหมือนบิดาที่ตายไปแล้วของนางไม่มีผิด ชอบทำตัวโดดเด่น ทำให้ทุกคนต้องจดจ้องมาที่นางด้วยความสนใจ
ิเถี่ยจู้โยนความผิดทั้งหมดไปที่ิเป่าจู พริบตานั้นความคิดชั่วร้ายก็เข้าครอบงำ สีหน้าเผยความเหี้ยมเกรียมออกมา หวังซื่อเห็นแล้วก็ยังหวาดหวั่นพรั่นพรึง
บังอาจให้เขาชดใช้เงิน ฮึ! เช่นนั้นก็ต้องคืนทั้งหมดมาให้เขาด้วย
แต่ิเป่าจูไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเื่นี้ ทว่าถึงแม้จะรู้นางก็ไม่สนใจว่าิเถี่ยจู้จะทำอะไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการมีชีวิตลงจากูเา
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน ิเป่าจูยังคงทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่พืชสมุนไพรจากหลังเขา ย้ายมาปลูกในแปลงของตนเอง
วันนี้นางขุดหลุม ย้ายต้นไม้มาปลูก ถมดิน และใส่ปุ๋ยตามปกติเหมือนทุกที ค่อยๆ ทำไปทีละต้นจนกระทั่งฟ้ามืดก็ยังไม่รู้สึกตัว
ก่อนออกมา นางคิดว่าตนเองอาจกลับมาช้า จึงบอกน้องชายกับหลี่ไหวฺอวี้ว่าให้กินข้าวได้เลยไม่ต้องรอ
ไม่นึกว่าพระจันทร์ขึ้นมาครึ่งทางแล้ว สองคนนั้นก็ไม่ออกมาตามนางจริงๆ
ฟ้ามืดแล้ว ยังมีงานอีกเล็กน้อยที่ยังไม่เสร็จ แม้จะอาศัยแสงจันทร์ก็ยังเห็นไม่ชัดเจน ิเป่าจูครุ่นคิด แล้วตัดสินใจว่าจะทำถึงตรงนี้ก่อน
หลังเขายามราตรีแม้จะยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ิเป่าจูต้องอาศัยความทรงจำคลำทางลงมา
บัดนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศก็เปลี่ยนเป็หนาวเย็น
สายลมฤดูใบไม้ร่วงในป่าเขายามค่ำคืนเย็นะเื เสื้อผ้าของิเป่าจูค่อนข้างบาง บัดนี้จึงหนาวจนตัวสั่น ถูสองมือเข้าหากันเพื่อสร้างความอบอุ่น
นึกถึงเสื้อผ้าที่สั่งตัดไว้ยังไม่ได้กลับไปเอาเสียที วันไหนมีเวลาต้องไม่ลืมเป็อันขาด ตนเองหนาวไม่เป็ไร แต่น้องชายต้องไอเย็นไม่ได้
“ใครน่ะ!” ขณะที่ิเป่าจูจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด ก็มีเงาดำสายหนึ่งแวบขึ้นมาจากตำแหน่งที่ไม่ไกล นึกว่าเป็ชาวบ้านจึงถามออกไปด้วยจิตใต้สำนึก
มาย้อนนึกดู ค่ำขนาดนี้แล้วเป็ไปไม่ได้ที่จะมีใครขึ้นเขา
อีกอย่าง หลังจากนางถามออกไปก็ไม่มีใครตอบกลับมา
บรรยากาศอันน่าสะพรึงรายล้อมอยู่รอบตัวนาง ิเป่าจูได้ยินเสียงลมหายใจหนักใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในกอหญ้าสูงครึ่งตัวคนเผยดวงตาคมวาวกระหายเื
เป็สัตว์ป่า!
ฟ้ามืดเกินไป นางจึงแยกไม่ออกว่าเป็หมาป่าหรือเสือ แต่เป็สัตว์ป่าแน่นอนมิต้องกังขา
นางรู้มาโดยตลอดว่าหลังเขาอันตราย แต่ปกตินางมักมา่กลางวัน นี่เป็ครั้งแรกที่โอ้เอ้จนถึงค่ำ และเจอกับสัตว์ป่าเป็ครั้งแรกเช่นกัน
แกรบๆ เสียงกรงเล็บครูดกับใบหญ้า
แกร๊ก!
เสียงนางเหยียบกิ่งไม้หัก
ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันท่ามกลางความมืดมิดที่เงียบสงัด
ิเป่าจูหยุดชะงัก เงาดำก็หยุดตาม แต่พอนางเคลื่อนไหว มันก็เคลื่อนไหวตามมา
แต่ครานี้พอิเป่าจูหยุดอีกครั้ง มันกลับไม่หยุด
ิเป่าจูเห็นดวงตาวับวาวคู่นั้นดูดุร้ายขึ้นอย่างฉับพลันก็หันหน้ากลับแล้ววิ่งอย่างสุดชีวิต นางยังไม่อยากนั่งรอความตายหรือเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่
สัตว์ร้ายตามมาติดๆ ตลอดทาง สองเท้าจะวิ่งสู้สี่เท้าได้อย่างไร เสียงไล่กวดจากด้านหลังใกล้เข้ามาทุกที
ิเป่าจูรู้สึกว่าหากนางยังวิ่งอยู่อย่างนี้ต่อไป หากไม่ตายก็ต้องใจนหัวใจวาย
วิ่งมาจนถึงเนินเขา เท้าของนางก็ไม่รู้ว่าถูกอะไรบางอย่างคว้าไว้ก่อนดึงอย่างแรงให้หมอบลงมา
มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากความมืด อุดปากของนางไว้ก่อนที่จะกรีดร้องออกมา ส่วนมืออีกข้างก็รัดเอวของนางกดลงบนพื้นราบ
ิเป่าจูใแทบสิ้นสติ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดจากอก
คนผู้นั้นแนบชิดกับตัวนาง เขากดศีรษะเข้ามาแนบที่ใบหูของนางแล้วกระซิบเสียงต่ำ “ชู่! อย่าส่งเสียง”
ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาสักพัก ย่อมคุ้นเคยกับเสียงเป็อย่างดี ิเป่าจูพยายามจะเอี้ยวศีรษะไปด้านหลัง อาศัยแสงจันทร์สลัวรางพอจะเห็นเค้าโครงหน้าได้คร่าวๆ
เหนือศีรษะขึ้นไปมีเพียงเสียงลมหายใจของสัตว์ป่า เห็นได้ว่ามันตามมาถึงที่นี่แล้ว
แต่เนื่องจากเป้าหมายหายไปกะทันหัน มันจึงสับสนอยู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การดักซุ่มคือแก่นแท้ของการล่าเหยื่อ มันยืนอยู่บนเนินเขาด้วยความอดทน มองไปโดยรอบและคอยเงี่ยหูฟังเสียง พร้อมที่จะตะครุบเหยื่อทันทีที่เห็น
คนสองคนที่อยู่ด้านล่างทางลาดไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เพราะร่างกายแนบชิดกันมาก หลี่ไหวฺอวี้จึงััได้ถึงความอ่อนแอและเนื้อตัวสั่นระริกที่อยู่ใต้ร่าง มือที่โอบเอวของนางอยู่เลื่อนขึ้นมา้าอย่างช้าๆ
ิเป่าจูกลัวแทบตายอยู่แล้ว ตั้งใจฟังความเสียงจาก้าอย่างจดจ่อ เฝ้าภาวนาให้สัตว์ร้ายรีบไปโดยเร็ว
ฝ่ามือใหญ่วางทาบลงบนหลังศีรษะแล้วลูบเรือนผมของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับจะปลอบโยนจิติญญาที่กำลังหวาดกลัวของนาง
แต่มันก็ได้ผลจริงๆ
หลี่ไหวฺอวี้ค่อยๆ ััได้ว่านางไม่สั่นอีกต่อไป ถึงหยุดความเคลื่อนไหว
