องค์หญิงชาวนาตัวน้อยผู้เป็นที่รัก

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     "อย่าเศร้าไปเลย บางทีพี่ชายเ๽้าอาจไม่ได้ทำงานที่หอสุราแล้ว แต่อาจไปทำงานอย่างอื่นแทน ตราบใดที่เขายังอยู่ในเมืองนี้ พวกเราย่อมตามหาจนพบได้ ต่อให้หาไม่พบ วันหน้าเขาก็อาจกลับบ้านเอง เ๽้าจะกังวลไปไย" จางเจิ้นอันเห็นนางหน้าหมองลง จึงเอ่ยปลอบใจ

        อันซิ่วเอ๋อร์ครุ่นคิดแล้วเห็นด้วย ความเศร้าในใจจึงคลายลง แล้วตั้งใจเดินชมร้านรวงต่างๆ กับจางเจิ้นอัน ตัวเมืองแห่งนี้รุ่งเรืองกว่าในตัวอำเภอที่พวกเขาอยู่มากนัก ของหลายอย่างที่ในอำเภอไม่มีวางขาย ที่นี่กลับมี อันซิ่วเอ๋อร์จึงแวะเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ เลือกซื้อเข็ม ด้าย และอุปกรณ์เย็บปักเล็กๆ น้อยๆ ทั้งยังซื้อผ้าสีซีดจางราคาถูกมาด้วย

        ผ้าเหล่านี้เพราะสีไม่สม่ำเสมอ จึงไม่ค่อยมีคนซื้อ ขายในราคาถูกมาก อันซิ่วเอ๋อร์กลับเห็นว่าเหมาะจะนำไปทำผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หรือรองเท้า เมื่อเห็นผ้าเหล่านี้เข้า จึงรู้สึกราวกับพบสมบัติล้ำค่า ซื้อมาหลายพับ

        เมื่อซื้อของเหล่านี้มาแล้ว จางเจิ้นอันก็ถือไม่ไหว จึงจำต้องจ้างเด็กรับใช้ในร้านให้นำของไปส่งที่เรือ ตอนนั้นอันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ว่าอะไร แต่พอออกจากร้าน กลับตำหนิว่า "ของแค่นี้ พวกเราเดินกลับไปกลับมาอีกรอบก็ขนได้แล้ว ท่านหาเงินมาได้ยากลำบาก เหตุใดต้องสิ้นเปลืองเช่นนี้"

        "เวลามีจำกัด ข้าอยากใช้เวลาเดินเที่ยวกับเ๽้าให้นานกว่านี้หน่อย" อันซิ่วเอ๋อร์ตำหนิ แต่จางเจิ้นอันไม่ได้ถือสา เพียงยิ้มร่าแล้วจูงมือนางเข้าร้านขายกระจกแห่งหนึ่ง

        เมื่อก้าวเข้าไป อันซิ่วเอ๋อร์ก็ต้องตะลึงกับกระจกหลากหลายรูปแบบ นางอยากได้กระจกมานานแล้ว แต่ยังตัดใจซื้อไม่ได้ ก่อนนี้นางเคยเอ่ยปากขึ้นมาลอยๆ ไม่คิดว่าเขาจะจดจำความปรารถนาของนางได้

        "เอาล่ะ ลองดูสิว่าเ๽้าชอบบานไหน" จางเจิ้นอันปล่อยมือ ให้นางเลือกดูตามสบาย

        กระจกทองสัมฤทธิ์เหล่านี้ขัดเงาจนวาววับ นี่เป็๞ครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าตาตนเองชัดเจนในกระจก เงาในกระจกมีดวงตากลมโตเป็๞ประกาย จมูกโด่งได้รูป คางเรียวเล็ก ช่างเป็๞ใบหน้าที่งดงามยิ่งนัก เทียบกับเงาในน้ำที่พร่าเลือนแล้ว เงาสะท้อนในกระจกนี้ชัดเจนกว่ามาก

        "แม่นาง ชอบบานนี้หรือไม่" เถ้าแก่เห็นอันซิ่วเอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกทองสัมฤทธิ์บานนั้นนาน จึงเดินเข้ามาทักทาย

        “ข้าเพียงดูเล่นเท่านั้นเ๯้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบโบกมือปฏิเสธ แล้วหันไปดูกระจกบานอื่นแทน

        กระจกทองสัมฤทธิ์เหล่านี้ราคาไม่ถูก นางไม่อาจตัดใจซื้อง่ายๆ โดยเฉพาะบานที่นางมองเมื่อครู่นี้ มีขนาดค่อนข้างใหญ่ รอบกรอบสลักลวดลายมงคล ลงยาแต้มสีเขียว มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาสูง อันซิ่วเอ๋อร์ไม่กล้าแม้แต่จะถามราคา

        "ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านเลือกชมตามสบาย"

        เถ้าแก่ส่งยิ้มให้อันซิ่วเอ๋อร์ พอเห็นท่าทีเช่นนั้น ก็รู้ว่าเป็๲ลูกค้าที่ไม่กล้าจ่าย จึงเพียงทักทายตามมารยาท แล้วกลับไปหลังตู้เก็บเงิน

        อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงเดินดูต่อไป นางเพิ่งรู้ว่ากระจกมีหลายชนิดถึงเพียงนี้ มีทั้งขนาดใหญ่เล็ก รูปทรงกลมและเหลี่ยม ทุกบานล้วนส่องประกายแวววาว

        หากถามว่าชอบหรือไม่ อันซิ่วเอ๋อร์ล้วนชอบทุกบาน แต่ถึงซื้อไปก็คงไม่ได้ใช้ ที่บ้านไม่มีโต๊ะเครื่องแป้ง หากซื้อกระจกบานใหญ่เหล่านี้ไป ก็ไม่มีที่วาง

        จางเจิ้นอันไม่รู้ความคิดนาง เอ่ยถามจากข้างกาย "เป็๞อย่างไร ไม่มีบานไหนถูกใจเลยหรือ"

        "งามทุกบานเ๽้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ตอบเสียงเบา จากนั้นจึงไม่กล้ามองกระจกบานใหญ่อีก หันไปมองกระจกบานเล็กแทน

        พลันสายตาอันซิ่วเอ๋อร์ก็เหลือบไปเห็นกระจกกลมบานเล็กบานหนึ่ง มีด้ามจับที่ประณีตงดงาม ขอบกระจกสลักลายคลื่นน้ำงดงาม ด้านหลังสลักลายดอกไม้ไม่ทราบชื่อ เบ่งบานซ้อนกันเป็๞ชั้นๆ ดูงดงามยิ่งนัก อันซิ่วเอ๋อร์มองอย่างหลงใหล

        เห็นว่ากระจกบานนี้ขนาดเท่าฝ่ามือ จึงรวบรวมความกล้าหยิบขึ้นมาถาม "เถ้าแก่ บานนี้ราคาเท่าใดเ๽้าคะ"

        "สองร้อยอีแปะขอรับ" เถ้าแก่บอกราคา

        สองร้อยอีแปะ! เถ้าแก่ช่างรู้ใจเสียจริง ๰่๥๹ที่ผ่านมานางเก็บเงินได้เพียงสี่ร้อยกว่าอีแปะ วันนี้พกมาแค่สองร้อยอีแปะ หากซื้อ ก็พอดีกับเงินที่มี แต่หากซื้อแล้ว ก็จะไม่เหลือเงินซื้อของอย่างอื่นอีก

        อันซิ่วเอ๋อร์จึงลังเลใจ กระจกไม่ใช่ของจำเป็๞ จะส่องหรือไม่ส่อง หน้าตานางก็เป็๞เช่นนี้ คิดได้ดังนั้น นางจึงวางมันลง คิดว่ารออีกหน่อยค่อยกลับมาซื้อก็ยังไม่สาย

        นางเดินออกมาเงียบๆ จางเจิ้นอันเห็นนางมือเปล่าออกมาจึงถามว่า "เมื่อครู่เ๽้าชอบกระจกบานนั้นมิใช่หรือ"

        อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ตอบ เพียงยิ้มแล้วส่ายหน้า "ไว้คราวหน้าค่อยมาซื้อเ๯้าค่ะ"

        "ซื้อเถอะ พอดีผู้ใหญ่บ้านบอกว่า๰่๥๹นี้ข้าทำงานดี เลยให้รางวัลประจำเดือนมา"

         

        จางเจิ้นอันล้วงเงินออกมา กล่าวว่า "เงินรางวัลนี้ถือเป็๲ลาภลอย เอามาให้เ๽้าซื้อกระจกบานนี้แล้วกัน"

        พูดจบก็เดินไปที่ตู้เก็บเงิน ยื่นเงินให้เถ้าแก่ "ข้าซื้อกระจกบานเมื่อครู่นี้"

        "อ้อ เชิญท่านลูกค้าหยิบไปได้เลยขอรับ"

        เถ้าแก่เก็บเงิน ยิ้มแย้มอย่างจริงใจมากขึ้น อันซิ่วเอ๋อร์เหลือบมองจางเจิ้นอันอย่างตำหนิ เมื่อเห็นเขาจ่ายเงินไปแล้ว ก็จำต้องหยิบกระจกออกมาอย่างเสียมิได้ จนกระทั่งเดินออกจากร้านมาแล้ว นางจึงอดต่อว่าไม่ได้ "เงินรางวัลทั้งเดือนของท่าน เอามาซื้อกระจกแค่บานเดียว คุ้มแล้วหรือ"

        "เ๽้าชอบก็คุ้มแล้ว" จางเจิ้นอันยิ้มพลางกล่าวว่า "อีกอย่าง งานนี้ก็ได้เ๽้าช่วยหามาให้ ปกติงานสอนหนังสือก็ไม่ได้รบกวนเวลาหาปลาของข้า ถือว่าเป็๲ลาภลอยก็แล้วกัน"

        "ท่านนี่ช่างคิดนะ"

        พอเขาพูดเช่นนี้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกเสียดายน้อยลง เพียงแต่หยิบกระจกในอกเสื้อออกมาดูเป็๲พักๆ ความชื่นชมปรากฏชัดบนใบหน้า

        จางเจิ้นอันเห็นนางมีความสุข ก็ยิ่งรู้สึกว่าซื้อกระจกบานนี้มาคุ้มค่าแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์คิดว่าซื้อกระจกก็ใช้เงินเขาไปมากแล้ว จึงไม่กล้าเข้าร้านอื่นอีก ได้แต่เดินชมวิวตามท้องถนน พอเห็นร้านขายสุรา ก็ควักเงินซื้อสุราสองชั่ง

        "ซื้อสุราไปทำไม" จางเจิ้นอันสงสัย เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ยื่นสุราให้ ก็ถามว่า "เ๽้าไม่ชอบให้ข้าดื่มสุราไม่ใช่หรือ"

        "ข้าพูดตอนไหนกัน" อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ยอมรับว่าเคยพูดคำนี้ออกมาลอยๆ เพียงยัดสุราใส่มือเขา แล้วกล่าวว่า "นานๆ ดื่มบ้างก็ไม่เป็๞ไร ขอเพียงอย่าดื่มจนเมาก็พอ"

        "ในยุทธภพ ข้าได้ฉายาว่าดื่มพันจอกไม่เมา"

        จางเจิ้นอันถือสุรา มองอันซิ่วเอ๋อร์ที่กำลังจ่ายเงินอย่างอารมณ์ดี เขารู้ว่านี่เป็๞เงินเก็บส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ของนาง ในใจก็รู้สึกยินดียิ่งนัก พลางกล่าวติดตลกโอ้อวดว่า "รบกวนนายหญิงต้องสิ้นเปลืองแล้ว"

        อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทางของเขา ก็เผยอยิ้ม รู้สึกว่าวันนี้แม้จะหาพี่ชายไม่พบ แต่การได้ออกมาเดินเที่ยวเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย

        ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าในตัวเมืองเช่นนี้คงจะรุ่งเรืองหรูหรา ผู้คนคงสวมใส่แต่ผ้าไหมแพรพรรณงดงาม แต่พอมาเห็นจริงๆ กลับไม่เป็๞เช่นนั้น ในเมืองก็มีคนยากจน มีแม้กระทั่งคนที่แต่งกายซอมซ่อยิ่งกว่านางเสียอีก

        ดูเหมือนสิ่งที่เคยเห็นในฝันนั้นเชื่อถือไม่ได้เลย ในฝันนั้น ที่ที่อันซิ่วเอ๋อร์เคยอยู่ แม้แต่สาวใช้ยังแต่งกายงดงาม เสื้อผ้าไม่เคยมีรอยปะชุน เพียงแต่ตอนนั้น ไม่มีใครพานางออกมาเดินตลาด นางไม่เคยได้ออกมาเห็นบ้านเมือง กลับถูกกักขังอยู่ในเรือน เหมือนนกในกรงทอง ถูกปิดกั้นด้วยประตูใหญ่ประตูรอง ไม่เคยได้ย่างกรายออกไปไหน จนกระทั่งหมดสิ้นวาสนา

        ทั้งสองยังคงเดินเที่ยวชมเมืองต่อไป เมื่อเจอของชิ้นเล็กๆ ราคาไม่แพงที่ถูกใจ อันซิ่วเอ๋อร์ก็จะซื้อหามาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว สายตานางจะกวาดมองร้านรวงรอบกาย คอยมองหาว่ามีหอสุราหรือไม่ หากพบเจอ ไม่ว่าร้านเล็กหรือใหญ่ นางก็จะเข้าไปสอบถาม

        เมื่อรู้ว่าพี่ชายอยู่ในเมืองแห่งนี้ นางก็อยากพบหน้าเขา อยากทำให้เขาประหลาดใจ แต่เดินจนสุดถนนแล้ว ก็ยังไม่พบวี่แวว ระหว่างทาง นางถามไถ่ตามหอสุราไปไม่รู้กี่แห่ง แต่ล้วนไม่มีคนที่นางตามหา

        "เฮ้อ ท่านว่าพี่ชายข้าทำงานอยู่ในหอสุราจริงๆ หรือไม่" อันซิ่วเอ๋อร์เดินจนเหนื่อยล้า จึงหยุดพักใต้ชายคาร้านแห่งหนึ่ง

        "เมืองใหญ่โตเพียงนี้ บางทีพวกเราอาจเดินข้ามไปก็ได้" จางเจิ้นอันมองไปรอบๆ ก่อนตอบ

        "ก็จริงอยู่ พวกเราหาแค่ตามถนนใหญ่ ถ้าเขาไม่ได้อยู่แถวนี้เล่า อาจจะอยู่ในตรอกซอกซอยก็ได้ อีกอย่าง เพื่อไม่ให้พวกเราเป็๞ห่วง เขามักจะพูดเกินจริงเสมอ"

        เมื่อนึกถึงพี่ชาย อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยิ้มออกมา นางหันไปเล่าให้จางเจิ้นอันฟัง "ท่านรู้ไหม มีครั้งหนึ่ง พี่ชายอุตส่าห์จับปลาหมอในนาไปขายในเมือง ตอนกลับเขาซื้อขนมมาฝากข้า ข้าถามว่าเขากินหรือยัง เขาบอกว่ากินแล้ว ข้าเลยร้องไห้โฮหาว่าเขาไม่รักข้า กินคนเดียวก่อน มารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้กิน เพราะเงินไม่พอซื้อสองชิ้น เลยต้องพูดไปอย่างนั้น"

        "พี่ชายเ๯้ารักเ๯้ามากจริงๆ" จางเจิ้นอันตอบเสียงเรียบ พลางนึกถึงน้องชายตนเองแล้วถอนหายใจในใจ

        "นี่ยังไม่สาย จะไปหาตามถนนอื่นอีกหรือไม่" จางเจิ้นอันเสนอขึ้น

        "พอแล้วเ๯้าค่ะ วันนี้หาแค่ถนนสายนี้ก่อน คราวหน้าถ้ามีเวลา ท่านค่อยพาข้าเข้าเมืองมาอีก แล้วเราค่อยไปหาตามถนนสายอื่น" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา เหมือนกลัวเขาไม่ตกลง

        จางเจิ้นอันเอ่ยหยอกนาง "เมื่อก่อนเ๽้าไม่อยากมาในตัวเมืองไม่ใช่หรือ ไฉนถึงชอบเร็วอย่างนี้เล่า"

        "เมื่อก่อนข้ากลัวมาในตัวเมืองแล้วจะเสียเงินน่ะสิเ๯้าคะ แต่ตอนนี้ดูแล้ว ถ้าข้าไม่ซื้ออะไร เงินก็ยังอยู่กับข้า" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม "อีกอย่าง คราวหน้าข้ายังเอางานฝีมือมาขายในเมืองได้ด้วย ตอนนั้นคงขายดีกว่าในตัวอำเภอแน่ๆ"

        นางพูดพลางถอนใจ "เฮ้อ ถ้าคราวก่อนเอาสร้อยข้อมือเบญจมงคลมาขายที่นี่ ป่านนี้อาจจะขายหมดไปแล้วก็ได้"

        "เป็๞อย่างไร เสียดายแล้วหรือ"

        "เปล่าเ๽้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า พูดพลางหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป แต่พอหันกลับ ก็เหลือบไปเห็นป้ายร้านฝั่งตรงข้ามพอดี

        "สนามประลอง... ที่นี่ใช้ทำอะไรหรือเ๯้าคะ" นางหันกลับมาถามจางเจิ้นอันอย่างสงสัย

        "เป็๲ที่ให้คนรวยหาความสำราญกัน" จางเจิ้นอันอธิบายให้อันซิ่วเอ๋อร์ฟัง

        "พวกตระกูลใหญ่ๆ มักเลี้ยงนักสู้ฝีมือดีไว้ แล้วให้คนเ๮๧่า๞ั้๞มาประลองกำลังกันที่นี่ พวกเขาใช้เดิมพันกัน หรือบางทีก็มีการประลองของสัตว์ด้วย"

         

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้