หลัวเลี่ยที่กำลังจะทะลวงระดับพลังต้องออกจากการฝึกฝนก่อนกำหนดเพราะการรบกวนจากไป๋หลี่ชาง
มีคนมาที่นี่ในนามของไป๋หลี่ชาง
และคนคนนั้นก็คือองค์ชายสามแห่งเมืองจินหลาน
องค์ชายสามมีท่าทางหยิ่งยโส
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่หลัวเลี่ยได้รับหยาดจันทร์นิรวาน องค์ชายสามผู้นี้ได้พาคนมาเพื่อจะแย่งชิงหยาดจันทร์นิรวานไป แต่เพราะในตอนนั้นท่านราชครูซาเฉียนหลี่สงสัยว่าหลัวเลี่ยอาจเป็ศิษย์ของหลิวจื่ออั๋ง องค์ชายสามจึงไม่กล้าลงมือ เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกอายมาโดยตลอด มาจนตอนนี้ความจริงได้เปิดเผยแล้วว่า ระหว่างหลัวเลี่ยและหลิวจื่ออั๋งไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็ศิษย์กับอาจารย์ องค์ชายสามเหมือนกลายเป็ตัวตลก ประกอบกับเื่ที่เขาไม่สามารถแย่งหยาดจันทร์นิรวานมาได้อีก เขาก็ยิ่งแค้นหลัวเลี่ยมากขึ้น ในที่สุดหลังจากความจริงเปิดเผย เขาก็สามารถระบายความโกรธออกมาได้แล้ว เขา้าทำให้หลัวเลี่ยอับอายขายหน้ายิ่งกว่าที่เขาเคยเป็
องค์ชายสามต้องทนลำบากตามหาคนที่เลวที่สุดในเมืองจินหลาน เพื่อถามวิธีที่จะทำให้ผู้อื่นอับอายมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเขาเตรียมการมาอย่างดี
ทันทีที่หลัวเลี่ยปรากฏตัวและพูดประโยคแรกขึ้นมา ก็เกือบจะทำให้องค์ชายสามโมโหจนขาดสติแล้ว
“โอ้ เป็ท่านเองหรือ ข้าก็คิดว่าใครจะยอมเป็สุนัขรับใช้ของไป๋หลี่ชาง ที่แท้ก็เป็องค์ชายสามนี่เอง ไม่เลวๆ เป็องค์ชายสามอยู่ดีๆ ไม่ชอบ กลับอยากเป็แค่สุนัขตัวหนึ่ง ท่านช่างเป็ผู้นำในการทำสิ่งใหม่ๆ เสียจริง”
แววตาขององค์ชายสามค่อยๆ เยือกเย็นขึ้น “ใกล้จะตายแล้วยังกล้าปากดีอยู่อีก”
“ใกล้ตายหรือ? เ้าเชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าสามารถฆ่าท่านได้” หลัวเลี่ยพูดอย่างเฉยเมย
สีหน้าขององค์ชายสามเปลี่ยนไปทันที
จากมุมมองของเขาหลัวเลี่ยถึงคราวที่จะต้องตายแล้ว และถ้าหากหลัวเลี่ย้าลากใครไปตายด้วยเล่า คนคนนั้นจะไม่ใช่เขาหรือ เขามาที่นี่คนเดียวโดยทิ้งผู้ติดตามไว้ด้านนอก หากจะให้ผู้ติดตามเข้ามาช่วยเกรงว่าคงจะไม่ทันการ
หลัวเลี่ยมองไปที่องค์ชายสาม
ใบหน้าขององค์ชายสามเปลี่ยนเป็สีแดงเมื่อเขาถูกจับตามอง เขาบังคับตัวเองให้พูดอย่างเ็าเพื่อปกปิดความขี้ขลาด “หลัวเลี่ย ข้ามาที่นี่ในนามของผู้าุโไป๋หลี่ชาง เพื่อจะแจ้งให้เ้าทราบว่าการประลองยุวราชันแห่งสิบเมืองจะถูกจัดขึ้นก่อนกำหนดการเดิม”
ก่อนกำหนดการเดิม?
หลัวเลี่ยแอบด่าว่าไป๋หลี่ชางช่างไร้ยางอาย
ไป๋หลี่ชางรู้ว่ายิ่งปล่อยให้เวลาล่วงไปนาน ต่อให้หลัวเลี่ยทะลวงระดับพลังต่อไปไม่สำเร็จ แต่หลัวเลี่ยก็อาจได้พบอะไรบางอย่างที่สามารถทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงที่แข็งแกร่งขึ้น หากไป๋หลี่ชางเลื่อนวันในการประลองเข้ามา ไม่เพียงเป็การขจัดความไม่แน่นอนต่างๆ แต่ยังเป็การป้องกันความเสี่ยงที่หลัวเลี่ยจะพัฒนาระดับตัวเองได้อีกด้วย สำหรับไป๋หลี่ชางแล้วการทำเช่นนี้ถือว่าเป็ประโยชน์สำหรับเขามาก
แต่หลัวเลี่ยนับว่าเสียประโยชน์อย่างมาก
นี่คืออำนาจของกองกำลังขนาดใหญ่ที่แท้จริง
เพราะพวกเขาปฏิบัติตามกฎในการประลองยุวราชัน จึงทำให้หลัวเลี่ยปฏิเสธไม่ได้
“เลื่อนเข้ามาเป็เมื่อไหร่” หลัวเลี่ยถาม
“นับจากนี้ไปอีกสิบวัน” องค์ชายสามจ้องไปที่หลัวเลี่ยเพราะอยากเห็นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเขา
แม้ว่าในใจของหลัวเลี่ยจะโมโหมาก แต่ท่าทีของเขาที่แสดงออกมากลับนิ่งสงบ
เขาพูดได้แค่ว่าไป๋หลี่ชางช่างโเี้ แต่เขาก็ไม่สามารถคัดค้านเื่การประลองที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันนี้ได้เพราะหากทั้งสิบเมืองที่เข้าร่วมเห็นด้วยกับการทำเช่นนี้แล้ว เขาจะสามารถคัดค้านอะไรได้อีก
สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจคือเดิมทีเขาคิดว่าจะทะลวงระดับพลังที่เก้าภายในยี่สิบวัน แต่ตอนนี้เห็นทีว่าจะทำไม่ได้แล้ว
เวลาสิบวันมันไม่เพียงพอ
“ข้าเข้าใจแล้ว เชิญท่านกลับไปได้” หลัวเลี่ยโบกมือส่งองค์ชายสาม
“อย่าเพิ่งรีบส่งแขกสิ” องค์ชายสามกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีวิธีที่จะช่วยให้เ้าสามารถอยู่รอดได้ หากเ้าคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนข้า และทำให้ข้าพอใจได้ ข้าก็จะช่วยเ้า”
หลัวเลี่ยพูดอย่างเ็า “ดูท่าว่าท่านอยากจะตายที่นี่สินะ”
องค์ชายสามเหมือนสูญเสียความเกรงกลัว เขาะโว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะกล้าฆ่าข้าจริงๆ”
พรึ่บ!
หลัวเลี่ยเดินไปหาองค์ชายสามอย่างรวดเร็วแล้วยกมือขึ้นตบเขา
เพียะ!
หลัวเลี่ยส่งแรงในฝ่ามือนี้ไปเยอะมาก ทำให้องค์ชายสามลอยไปที่ห้องโถงรับแขกและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
“เ้ากล้าตบข้า” องค์ชายสามลุกขึ้นแล้วะโออกมา
หลัวเลี่ยใช้เท้าเตะตูดขององค์ชายสาม
บูม!
องค์ชายสามลอยออกไป
หลัวเลี่ยพูดเสียเย็น “หนทางในการเป็มนุษย์นั้นยากเย็น เ้าเป็สุนัขต่อไปเถิด และการจะเป็สุนัขที่ดีได้ก็ต้องเข้าใจความคิดของเ้าของ เช่นนั้นจึงจะเป็สุนัขที่มีประโยชน์”
ปากขององค์ชายสามที่เต็มไปด้วยเืร้องเรียกคนให้เข้ามาสั่งสอนหลัวเลี่ย
ไม่มีใครกล้าลงมือทำตามคำสั่งขององค์ชายสาม เพราะคนพวกนั้นรู้ดีว่าเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของไป๋หลี่ชางกลับมา ไป๋หลี่ชางไม่มีทางปล่อยให้หลัวเลี่ยได้รับาเ็ก่อนการประลองยุวราชันแห่งสิบเมืองแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงทำเพียงลากองค์ชายสามออกไป
หลัวเลี่ยยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงรับแขก เขามองไปที่ท้องฟ้าสีครามแล้วถอนหายใจออกมา “เหลือเวลาแค่สิบวัน มันไม่พอที่จะทะลวงระดับจริงๆ”
“สิบวันมันไม่พอที่จะทะลวงระดับจริงๆ”
ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินออกมาจากการซ่อนตัว
หญิงสาวคนนี้มีผมสีดำสนิทที่ถูกมัดไว้สูง ผิวของนางขาวดั่งหิมะ และดูเหมือนว่าจะขาวกว่าเสว่ยปิงหนิงเสียอีก นางมีคิ้วเรียวสวย และสวมใส่ชุดสีฟ้าอ่อนที่พลิ้วไหว ตอนที่นางเคลื่อนไหวร่างกายดูราวกับเทพเซียนที่ออกมาจากภาพวาด
นางมีกลิ่นอายของเซียน และสง่างามราวกับว่าไม่ใช่มนุษย์
“ท่านคือ?” แม้หลัวเลี่ยจะเห็นความงามของหลิวหงเหยียนและเสว่ยปิงหนิงจนชิน แล้วแต่เขาก็ยังตะลึงกับความงามของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา
สาวงามยิ้มอย่างอ่อนโยน ทว่าไม่ได้แนะนำตัวเอง
หัวใจของหลัวเลี่ยเต้นแรง เขาถามออกมาว่า “ปักษาคลั่งหรือ?”
“นั่นคือชื่อของข้าในภพจิตั” สาวงามกล่าว “ชื่อจริงๆ ของข้าคือเยี่ยนอวิ๋นหวู่”
เป็ชื่อที่ไพเราะมาก มันมีความหมายว่านกนางแอ่นเต้นรำท่ามกลางกลุ่มเมฆ
หลัวเลี่ยมองเยี่ยนอวิ๋นหวู่หัวจดเท้า และพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “นึกไม่ถึงว่าปักษาคลั่งจะเป็ผู้หญิง ข้าไม่กล้าคิดเลยว่าหากคนในภพจิตัรู้เื่นี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่ยิ้มและกล่าวว่า “หากคนอื่นรู้ว่านักเวทที่รักษาโรคร้ายที่แม้แต่นักเวทคนไหนก็รักษาไม่ได้เป็เพียงสัตว์อสูรตัวหนึ่ง เ้านายของสัตว์อสูรตัวนั้นคงต้องเดือดร้อนแน่”
“หยุดเถอะ อย่าพูดเช่นนั้นเลย” หลัวเลี่ยเอ่ย “แพนด้าน้อยปั้นบอกเ้าว่ายังไงบ้าง”
ความจริงเยี่ยนอวิ๋นหวู่มาที่นี่ได้ครึ่งเดือนแล้ว ใน่เวลาครึ่งเดือนนี้นางได้พูดคุยกับแพนด้าน้อยปั้นเกี่ยวกับการรักษาโรคของนาง และแพนด้าน้อยปั้นก็ช่วยให้นางไม่ต้องทรมานจากโรคนี้ แม้ว่าจะยังไม่หายขาด แต่นางก็เชื่อว่าแพนด้าน้อยปั้นจะสามารถรักษานางได้
ไม่มีใครรู้ว่าอาการป่วยของเยี่ยนอวิ๋นหวู่นั้นเ็ปเพียงใด
เพราะความเ็ปจากโรคทำให้นางกลายเป็ปักษาคลั่ง และระบายออกด้วยการไปประลองที่ภพจิตั
“เขาบอกว่าตอนนี้พลังของเขาอ่อนแอเกินไป อาจต้องใช้เวลาปีครึ่งถึงจะสามารถรักษาให้หายขาดได้” เมื่อเยี่ยนอวิ๋นหวู่พูดถึงคำว่า ‘หายขาด’ นางอดไม่ได้ที่เสียงสั่นออกมาเล็กน้อย การได้รับการรักษาเช่นนี้มันช่างเหลือเชื่อสำหรับนาง
หลัวเลี่ยกล่าวว่า “แล้วเ้าล่ะ”
เยี่ยนอวิ๋นหวู่ยิ้มและพูดว่า “ข้าให้สัญญากับแพนด้าน้อยว่าจะอยู่รับใช้เ้าเป็เวลาสามปี แต่การรับใช้นี้จะไม่รวมไปถึงเื่อุ่นเตียง”
“ข้ามีคนอุ่นเตียงให้แล้ว คงไม่ต้องรบกวนท่าน ใช่ไหม พี่ปิงหนิง” หลัวเลี่ยขยิบตาให้เสว่ยปิงหนิง
เสว่ยปิงหนิงหยิกหลัวเลี่ยไปสองครั้งอย่างเขินอาย
บรรยากาศเป็ไปอย่างสนุกสนาน
หลังจากพูดต่อไปอีกสองสามประโยค เยี่ยนอวิ๋นหวู่ก็เปลี่ยนเื่ “ผู้ฝึกตนระดับหกที่เข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินที่เ้าเข้าใจนี้ เ้าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน”
หลัวเลี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ข้าเข้าใจนิดหน่อยน่ะ”
ในที่สุดเขาก็มีข้อบกพร่อง กล่าวคือ เวลาที่เขาอยู่ในดินแดนเหยียนหวงนั้นสั้นเกินไป ไม่ว่าเขาจะอ่านข้อมูลต่างๆ และไม่ว่าเขาจะรับความรู้ต่างๆ มามากเพียงใด เขาก็ยังเทียบไม่ได้คนอื่นที่รับรู้มาั้แ่เกิด
“เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินไม่เพียงช่วยให้พลังภายในในการต่อสู้ของเ้าเพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยในการฝึกฝนและการรับรู้ถึงสมบัติวิเศษ เคล็ดวิชานี้เป็ตัวช่วยในการฝึกฝนที่ดีมาก” เยี่ยนอวิ๋นหวู่กล่าว “ความก้าวหน้าในการฝึกฝนโดยปกติของเ้าไม่ช้าเลย แต่หากเ้าอยู่ในน้ำและใช้พลังจากน้ำเป็ตัวช่วย จะได้ผลดียิ่งกว่าใช้นักเวทช่วยเหลือมาก”
ดวงตาของหลัวเลี่ยเป็ประกาย หากเป็เช่นนั้นจริง เขาอาจจะสามารถทะลวงได้ภายในสิบวัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้