“เอามาให้พี่กินนั่นแหละ ฉันยังขายเสื้อผ้าอยู่นะ”
หา?
มากมายขนาดนี้คงรับประทานไม่หมดแน่
ไป๋เจินจูรู้สึกอับอาย
แต่เื่นี้ไว้คิดทีหลังได้ เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินคือแขกที่มาเยี่ยมเยือนไป๋เจินจูจึงต้องเก็บแผงพาทั้งสองคนกลับบ้าน ธุรกิจแผงผลไม้ของเธอธรรมดามากขายผักผลไม้ก็เป็เช่นนี้ เมื่อธุรกิจไปได้ไม่ดีผักผลไม้ทิ้งไว้สองสามวันก็ไม่สดใหม่ ย่อมกำเนิดวงจรอุบาทว์ขึ้น ยิ่งขายยิ่งไม่ดี
เซี่ยเสี่ยวหลานข้องใจ มาหยางเฉิงครั้งแรกได้ฟังไป๋เจินจูเล่าว่าธุรกิจไม่เลวทีเดียวนี่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน การค้าซบเซาลงกะทันหันและร้ายแรงถึงขนาดนี้เชียว?
ไป๋เจินจูราวกับรู้สึกไม่ยี่หระ “เมื่อก่อนขายอยู่ที่อื่นต่อมามีศิษย์น้องคนหนึ่งแต่งภรรยา ชีวิตไม่มีแหล่งรายได้มั่นคง ฉันจึงยอมปล่อยที่ตั้งแผงให้พวกเขาสองสามีภรรยาส่วนตัวเองก็เปลี่ยนที่ขายใหม่”
ขนาดเธอบอกเล่าเื่ราวโดยคร่าวๆ เซี่ยเสี่ยวหลานยังตะลึงพรึงเพริด
นี่ช่างยึดมั่นในคุณธรรมมากกว่าเงินทองเกินไปแล้วหรือเปล่า?
อันที่จริงระหว่างนั้นยังมีเื่ราวอีกมากอย่างเช่นแผงลอยดั้งเดิมของไป๋เจินจูถือว่าเป็ท่าเรือทองคำ ต้องมีพวกค้าเร่มากมายหวังแย่งชิงอยู่แล้วทว่าด้วยหมัดและเท้าของไป๋เจินจูจึงสู้จนคนอื่นไม่กล้าแย่งชิงไป๋เจินจูร้ายกาจกับคนนอก ทว่าอ่อนข้อต่อคนของตนเองทีเดียวศิษย์น้อง้าที่ตั้งแผงนั้น ภรรยาแสร้งทำตัวน่าสงสารน้ำตาร่วงสองสามหยดก็หลอกเอาไปได้แล้วผู้หญิงตัวคนเดียวเช่นเธอทำธุรกิจเป็รูปร่างด้วยความยากเย็น แต่คู่สามีภรรยากลับสุขสบายไปกับความสำเร็จที่ไม่ได้ไขว่คว้ามาเอง
เื่ราวพวกนี้ไป๋เจินจูไม่คิดว่าควรจะเล่าอะไรมากนักจากนั้นพาเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดากลับบ้าน บ้านเรือนของตระกูลไป๋ขนาดไม่เล็กแต่ทั้งบ้านมีเพียงผนังสี่ด้าน [1]
ยังมีคุณย่าอีกคนที่อาศัยอยู่กับไป๋เจินจู เมื่อเห็นคนอื่นนอกจากศิษย์พี่ศิษย์น้องมาเยือนอีกทั้งเป็สตรีอายุน้อย ย่าไป๋จึงดีใจยิ่งนัก
หลิวเฟินพูดภาษาจีนกลางไม่ได้ เวลาพูดจึงเต็มไปด้วยสำเนียงมณฑลอวี้หนานอย่างเข้มข้น
แต่ถ้าเธอลดความเร็วในการพูดอย่างน้อยก็สามารถฟังเข้าใจได้ คุณย่าไป๋พูดได้เพียงภาษาถิ่นหยางเฉิงเซี่ยเสี่ยวหลานพอฟังรู้เื่ ส่วนหลิวเฟินนั้นฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียวจึงสื่อสารกับย่าไป๋โดยการบุ้ยใบ้
ไป๋เจินจูวาจาตรงไปตรงมาไม่น้อยถามไถ่เซี่ยเสี่ยวหลานว่า้าความช่วยเหลือใช่หรือไม่
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางมาสองหน อาจบอกไม่ได้ว่าคุ้นเคยกับหยางเฉิงมากทว่าเื่การค้าส่งเสื้อผ้าต้องคุ้นเคยกว่าไป๋เจินจูแน่นอนเดิมทีเธอไม่ได้้าความช่วยเหลือใดเมื่อเห็นธุรกิจแผงลอยผลไม้ของไป๋เจินจูเงียบเหงาเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมีความคิดใหม่
“พี่ไป๋ ธุรกิจพี่จะซบเซาตลอดไปก็ไม่ได้ ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนบ้างหรือ?”
ไป๋เจินจูก็กำลังพิจารณาเกี่ยวกับปัญหานี้เช่นกันเธออุตส่าห์ทำธุรกิจอิสระแล้ว ไม่รู้สึกขายหน้าใครด้วยทว่าเธอมีประสบการณ์ในการขายผลไม้ ต้องนำเข้าสินค้าจากที่ไหน สินค้าควรขายอย่างไรเธอล้วนรู้ดีหากเปลี่ยนธุรกิจไปเธอจะทำอะไรได้อีก
ค้าขายผลไม้ทำเงินได้แน่นอน
ภายหลังผู้คนยุคอนาคตมีรายได้เป็กอบเป็กำลังเลอยู่ระหว่างความอยากอาหารและโภชนาการที่สมดุล ผลไม้ยิ่งรับประทานยิ่งแพงบางคนถึงขั้นใช้ผลไม้แทนอาหารหลักเป็นิสัย แต่ธุรกิจผลไม้ในปี 83 แค่พอไปไหวเท่านั้น ต่อให้สภาพเศรษฐกิจในหยางเฉิงจะมั่งคั่งกว่าเมืองตอนในของประเทศก็ตาม
โลกภายนอกก็เป็เช่นนี้ ค้าขายสินค้าประเภทอาหารได้เพียงเงินทองเล็กๆน้อยๆ
กำไรจากการที่เซี่ยเสี่ยวหลานขายเสื้อผ้าสองตัว หนึ่งวันของแผงลอยผลไม้ไป๋เจินจูก็อาจทำไม่ได้
กำไรของเสื้อผ้าสตรียังไม่สู้การขายเครื่องใช้ไฟฟ้า
เซี่ยเสี่ยวหลานถามไป๋เจินจูว่าเคยอยากเปลี่ยนธุรกิจหรือไม่ไป๋เจินจูพยักหน้าด้วยความสัตย์จริง
“เคยคิดอยากจะเปิดร้านเนื้อหมู”
ร้านค้าเนื้อหมู?
แผงหมูไม่ต้องกังวลเื่รายได้ ไม่รับประทานผลไม้ได้แต่ไม่เจอเนื้อสัตว์เป็เวลานานไม่ได้
ดูเหมือนไป๋เจินจูมีความตั้งใจไว้นานแล้ว เห็นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนฉลาดหลักแหลมเธอจึงเอ่ยปากชวนให้เซี่ยเสี่ยวหลานพิจารณาเสียหน่อย “ฉันจะไปรับหมูเป็จากชนบทเชือดเองขายเอง หมูหนึ่งตัวก็ขายได้ราคาบ้าง หนึ่งวันขายได้สองตัวกำไรไม่น้อยกว่าแผงผลไม้ก่อนหน้านี้ของฉันสักเท่าไรหรอก”
หมูเป็ราคารับซื้อไม่กี่เหมา อัตราการให้เนื้อของหมูหนึ่งตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 65 ทว่าราคาขายกลับสามารถสูงกว่าราคารับซื้อถึงครึ่งหนึ่งกำไรก็คือส่วนต่างตรงกลาง ด้วยราคาเนื้อหมูปัจจุบันไป๋เจินจูเชือดหมูหนึ่งตัวต่อวัน หากขายหมดจะทำเงินได้ราว 20 หยวน ขายสองตัวก็ได้ 40 หยวน
มิใช่ทุกคนจะมีจิตใจทะเยอทะยานอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานสำหรับไป๋เจินจูผู้อยู่ในปี 83 แล้วเดือนละเกือบหนึ่งพันหยวน ก็สามารถพาคุณย่าของเธอใช้ชีวิตสุขสบายในหยางเฉิงได้แล้วเงื่อนไขล่วงหน้าของรายรับนี้คือเธอ้าันตีว่าจะสามารถรับซื้อหมูเป็สองตัวทุกวันนอกจากนั้นต้องเชือดเสร็จเรียบร้อย ขายพวกมันทั้งหมดออกไป!
คิดแล้วก็เป็ไปไม่ได้ การรับซื้อหมูเป็ต้องเสียเวลา ส่วนการเชือดก็ต้องใช้เวลารายรับ 40 หยวนต่อวันอาจไม่ถึงกับหั่นออกครึ่งหนึ่งแต่น้อยลงหนึ่งในนามอย่างไม่ต้องสงสัย
หนึ่งเดือนทำเงินได้ราว 600-800 หยวนเซี่ยเสี่ยวหลานคำนวณกำไรของธุรกิจนี้ออกมาไวดุจแสง
ชาติก่อนเธอไม่เคยัักับสิ่งเหล่านี้ ทว่าความรู้ที่กักเก็บไว้ทำให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอั้แ่เซี่ยเสี่ยวหลานริเริ่มค้าขายกากน้ำมันก็สอบถามเกี่ยวกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั้งสายมาบ้างแล้ว การเลี้ยงสุกรจำนวนมากมีความเป็ไปได้หรือไม่การทำโรงงานค้าเนื้อสัตว์มีความก้าวหน้าหรือไม่เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถวางแผนธุรกิจออกมาได้เลย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรสักเท่าไรลงทุนขนาดใหญ่ทำกำไรช้า เวลาในการทำสิ่งเหล่านี้เธอไม่รู้ว่าค้าขายสินค้าเก็งกำไรไปกี่มือแล้วด้วยซ้ำ
ไป๋เจินจูสุดยอดเสียจริง เชือดหมูด้วยตนเองได้!
เซี่ยเสี่ยวหลานเดาะลิ้น หญิงสาวคนไหนจะกล้าทำแผงเนื้อหมูกัน คงมีเพียงไป๋เจินจูผู้เก่งกาจคนนี้
ไป๋เจินจูที่กล้าและสามารถเชือดหมู จะทำอย่างอื่นสักหน่อยได้หรือไม่นะ?
“พี่ไป๋ พี่เคยคิดอยากไปหาลู่ทางที่เขตพิเศษบ้างหรือไม่?”
“เธอหมายถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิง [2] ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานตอบอืมเบาๆ
ปี 1979 เพิ่งมีระบบเมืองรัฐอนุมัติสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงในปี 80 ที่นั่นพัฒนาได้รวดเร็วเหลือเกินบริษัทข้ามชาติที่เซี่ยเสี่ยวหลานดำรงตำแหน่งงานในชาติก่อนนั้นสำนักงานใหญ่ประจำประเทศจีนก็ตั้งอยู่ ณ เผิงเฉิง
เธอจึงถือว่าคุ้นเคยกับเผิงเฉิงมานานแล้ว หาก้าสร้างความร่ำรวยซางตูเทียบกับเผิงเฉิงได้ที่ไหน!
แม้แต่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ตอนนี้ก็พัฒนาไม่รวดเร็วเท่ากับเผิงเชิงในแง่เศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนจากนโยบายประเทศ โรงงานประเภทต่างๆ ในเขตพิเศษเผิงเฉิงจึงได้เปิดทำการและมีความรุ่งโรจน์ผลิตอะไรออกมาล้วนทำกำไรได้เซี่ยเสี่ยวหลานคิดถึงพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาโรงงานย่อมเยาก็คันยุบยิบในใจขึ้นมา
ย่าไป๋และหลิวเฟินสื่อสารกันด้วยภาษากายอยู่ในครัวต่อไปไป๋เจินจูครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเถรตรง
“เธออยากให้ฉันทำอะไร?”
ไป๋เจินจูไม่ได้ซื่อบื้อจริงๆ ใครหลอกลวงเธอเหมือนเป็คนโง่ผู้นั้นคือคนโง่ไม่ช้าก็เร็วศิษย์น้องที่ทำให้ไป๋เจินจูปล่อยแผงผลไม้ไปจะต้องเสียใจแผงผลไม้หนึ่งแห่ง ไป๋เจินจูให้แล้วก็ให้เลย ทว่ามิตรภาพระหว่างสองคนก็หมดสิ้นด้วยเช่นกัน!
“พี่ไป๋ ก่อนอื่นพี่ต้องทำหนังสือขอผ่านแดนสักเล่ม”
ไป๋เจินจูมีทะเบียนบ้านเมืองอยู่ในหยางเฉิง แม้การที่เธอจะทำ ‘หนังสือข้ามแดน’ ไปเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงจะไม่ง่ายดายนักแต่ก็ไม่ถึงขั้นไร้หนทาง เซี่ยเสี่ยวหลานคือคนมณฑลอวี้หนานคนหนึ่งไม่มีหน่วยงานเป็ทางการสำหรับคนทะเบียนบ้านชนบท อยากทำหนังสือข้ามแดนไปเขตพิเศษเผิงเฉิงสักเล่มจึงยากเย็นเหลือเกินต้องผ่านการรับรองเป็ขั้นตอนจากหมู่บ้าน ท้องถิ่น และเขตยุ่งยากกว่าการทำหนังสือผ่านแดนฮ่องกงมาเก๊าในอนาคตยิ่งนัก!
เธอคงไม่สามารถเลียนแบบเ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์สักคนได้เสมอไปถ้าทำหนังสือขอข้ามแดนไม่ได้ ก็อาศัยมุดรั้วลวดเหล็กแอบหนีเข้าเขตพิเศษเผิงเฉิงเถอะเมื่อถึงเวลาเข้าตาจน้าประสบความสำเร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานยินดีมุดรั้วตะแกรงเหล็กแต่ตอนนี้เธอยังคาดหวังกับไป๋เจินจูได้
ทุกวันนี้เธอเดินทางเหนือใต้ออกตกทั่วทุกสารทิศจริงๆ ไม่ได้หาก้าหาเงิน เซี่ยเสี่ยวหลานจำเป็ต้องมีหุ้นส่วนตัวแทนสักคนในหยางเฉิง
ไป๋เจินจูจะเป็ตัวแทนที่ตรงตามคุณสมบัติได้ไหมนะ?
เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่รู้นี่เป็เพียงการพบกันครั้งที่สองของเธอและไป๋เจินจูเธอหวังว่าแววตาของตนเองอย่าได้ย่ำแย่เกินไป และหวังว่าไป๋เจินจูจะเป็คนฉลาดหลักแหลมเช่นกัน
เชิงอรรถ
[1]家徒四壁 ทั้งบ้านมีเพียงผนังสี่ด้าน หมายถึง ในบ้านไม่มีอะไรเลยนอกจากผนังสี่ด้านเป็การเปรียบเปรยว่า ยากจนมาก
[2]鹏城 เผิงเฉิง หมายถึง เขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้นเนื่องจากเซินเจิ้นมีอีกชื่อหนึ่งคือเผิงเฉิง
