“เขาออกคำสั่งกับท่านแม่ข้าให้สร้างสถานการณ์ให้เขามีโอกาสพบกับน้าของข้าตอนแรกท่านแม่ของข้าไม่ยอม เขาจึงกล่าวว่านางไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งไม่ยอมทำหน้าที่ภรรยา เขาคิดจะทำให้นางแท้งลูกในท้อง”
“ท่านแม่ข้าทำเพื่อข้าจึงรู้สึกผิดหวังจนถึงที่สุด ตอนแรกยังขัดขวางไว้ภายหลังจึงเลิกสนใจอย่างสิ้นเชิง นางมองสามีของตนขลุกตัวกับน้องสาวด้วยสายตาเ็าส่วนตัวเองก็ร้องงิ้วอยู่ในจวนทุกวัน”
ตอนแรกกงอี่โม่ฟังอย่างงุนงงแต่เมื่อฟังถึงจุดนี้สีหน้าของนางจึงเคร่งเครียดในชั่วพริบตาทว่านางเห็นเซินสือเย่ยังคงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“ตอนนั้นข้ายังเล็ก แต่ข้าจำได้อยู่ประโยคหนึ่ง ข้าจดจำได้อย่างดีข้าจะร้องให้เ้าฟัง”
ขณะที่กล่าวนั้น เซินสือเย่กระแอมให้คอโล่ง เขาร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม
“เคยคิดเพราะเหตุใดหอวสันตฤดูเดี๋ยวอบอุ่นเดี๋ยวหนาวเหน็บสิบคืนที่แท้นกกระจอกเข้าอยู่ในรังหงส์”
เสียงใสกังวานของเด็กหนุ่มสะท้อนอยู่บนถนน ทั้งๆ ที่เป็เพลงงิ้ว “หงส์ปลอม”สำหรับสตรีทว่าเมื่อเสียงทุ้มของเขาร้องออกมาเช่นนี้กลับมีความโศกเศร้าที่ต่างออกไป
“เ้ารู้ไหม?”
เขาพลันหยุดลง จากนั้นจึงกล่าวกับกงอี่โม่ “นับั้แ่ท่านแม่ข้าตั้งครรภ์ท่านพ่อก็ไม่เคยเหยียบเรือนใหญ่รวมแล้วเป็สิบคืนพอดีอีกทั้งตอนที่ท่านแม่ของข้าคลอดข้านั้น เขาก็ไม่ได้อยู่ข้างกายนาง ดังนั้นท่านแม่จึงตั้งชื่อข้าว่าสือเย่(สิบคืน) มันเป็การประชดประชันอย่างเต็มที่ นางน่าจะแค้นข้าตามไปด้วยกระมัง”
“ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่นาง้า ดังนั้นนางจึงยิ่งหลงใหลในการร้องงิ้วสุดท้ายวันงานปีใหม่ที่จัดขึ้นในจวนนางไม่สนใจคำคัดค้านของผู้ใดแต่กลับไล่นางงิ้วลงเวทีไปทั้งหมด ส่วนนางขึ้นแสดง‘ฉ้อปาอ๋องอำลาสนมอวี๋จี’ ด้วยตนเองคาดไม่ถึงว่ากระบี่สุดท้ายของนางกลับเป็การเชือดจนเืกระเด็นตอนนั้นข้าอยู่ด้านล่าง ทว่านางกลับไม่ทิ้งคำพูดใดๆ ให้กับข้าแม้แต่คำเดียว”
เสียงของเซินสือเย่สั่นเล็กน้อย
“ภายหลังเื่ราวจึงเรียบง่ายมาก ท่านพ่อของข้าพยายามหาทางแต่งงานกับน้าข้าเมื่อตกลงกับท่านย่าได้แล้ว ไม่ว่าในจวนจะมีบุตรสักกี่คนสุดท้ายผู้ที่เป็ผู้สืบทอดต้องเป็ข้าเท่านั้นเช่นนี้ท่านย่าจึงจะยอมให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าบ้าน สถานะน้าจึงกลายเป็มารดาเลี้ยง”
กงอี่โม่ได้สติขึ้นบางส่วน นางพอจินตนาการได้ว่าสตรีที่แต่งหน้าเข้มผู้นั้นขึ้นเวทีเพื่อร้องงิ้วจนถึงฉากสุดท้ายด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไรสำหรับสตรีที่ให้ความสำคัญกับหัวใจมากกว่าสิ่งใด ชีวิตเช่นนั้นมันทรมานเกินไปเนื่องจากได้รับการปลูกฝังความคิดแบบศักดินา แม้จะมีความเป็ตัวของตัวเองขนาดไหนแต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นจุดจบเช่นนี้
กงอี่โม่ััความรู้สึกเศร้าโศกที่แผ่ออกมาจากร่างของบุรุษด้านข้างนางคลึงศีรษะที่เริ่มรู้สึกปวดตุบๆจากนั้นจึงยื่นหน้าเข้าไปหาพร้อมส่งยิ้มขยิบตาอย่างเ้าเล่ห์
“ข้าร้องงิ้วไม่เป็แต่ข้าเต้นระบำเป็ ท่านจะดูไหม?”
“เต้นระบำ? เ้าเนี่ยนะ?” เดิมทีเซินสือเย่กำลังทุกข์ทรมาน เมื่อได้ยินคำพูดของกงอี่โม่แล้วเขาจึงมองร่างเล็กที่แบนราบของนางอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงหลุดหัวเราะ
“ใช่”
กงอี่โม่ะโออกไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหมุนร่างพร้อมเชิดหน้านางคิดว่าท่าทางของตนสง่างามยิ่งนัก นางอยู่ในชุดฝึกวรยุทธ์ที่เรียบง่ายที่สุดทว่าเนื่องจากดื่มสุรา เพียงการหมุนตัวง่ายๆ เช่นนี้กลับทำให้นางสะดุดเล็กน้อยท่าทางน่าขันของนางทำให้เซินสือเย่รู้สึกดีขึ้นมาก
“ดูท่าเ้าสิ หรือว่า้าแผลงฤทธิ์ให้ข้าดู? แต่อย่าทำให้ข้าต้องเสียสายตาล่ะ”
กงอี่โม่ได้ยินเช่นนี้ นางจึงถลึงตาโตๆ ของนางใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้นางยังไม่สร่างเมา เวลานี้นางจึงได้แต่รำพึงรำพันอย่างโง่ๆ
“ข้าเต้นระบำ แม้กระทั่งเสด็จพ่อก็ยังไม่เคยเห็นข้าเต้นระบำ โอ้! ์! ท่านช่างโชคดีจริงๆ”
“ไม่เคยเห็นใครขี้โม้ขนาดนี้มาก่อน ได้ เ้าเต้นระบำสิ หากเต้นไม่สวยข้าก็จะยอมไม่ลงโทษเ้าเท่านั้นเอง” เซินสือเย่หัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ กงอี่โม่จึงคลี่ยิ้มอย่างเต็มที่นางก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าว เวลานี้นางยืนอยู่บนทางเดินที่กว้างมากเส้นหนึ่งด้านล่างเป็พื้นหิน สองข้างทางเป็ร้านค้าที่ปิดประตูแล้วและยังมีเสียงร้องะโดังลอยมาจากระยะไกล
เซินสือเย่นั่งมองนางอยู่บนบันไดหินหน้าบ้านคนอื่นเขารอรับชมการแสดงที่แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยได้รับเกียรติเช่นนี้มาก่อน
กงอี่โม่ดึงผ้าคาดศีรษะออกนางเต้นระบำบวงสรวงที่พบได้บ่อยที่สุดในมิติเวลาแห่งนี้ ซึ่งก็คือเฮ่อชิงเทียน(ฉลองวันฟ้าใส)
สายลมยามค่ำคืนพัดผมยาวสลวยของนาง ชาตินี้นางมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดี ดังนั้นเส้นผมของนางจึงนุ่มลื่นเป็ประกายเมื่อนางหมุนตัว เส้นผมจึงปลิวพันกัน ทำให้ผู้ที่มองรู้สึกว้าวุ่นตามไปด้วย
บางทีอาจเป็เพราะนางฝึกวรยุทธ์ จึงสามารถทำท่ายากได้อย่างง่ายดายหรือบางทีอาจเป็เพราะนางเมามาย เดิมทีท่าเต้นระบำประเภทนี้จะมีลักษณะสง่างามทว่าเมื่อถูกนางเต้นในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเป็อิสระอย่างเป็ธรรมชาติ
นี่คือการเต้นรำที่กงอี่โม่เห็นตอนทำพิธีบวงสรวง์ครั้งหนึ่งเนื่องจากท่าเต้นมีลักษณะพิเศษและเป็ทางการอีกทั้งยังมีความลึกลับแบบโบราณจึงทำให้นางจดจำได้อย่างดี
ทว่าตอนที่นางเลียนแบบกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้ว่านางจะสามารถจดจำท่าส่วนใหญ่ได้ทั้งหมดแต่ยังมีอีกหลายจุดที่นางเชื่อมต่อท่าเต้นไม่ได้จุดที่ไม่ชัดเจนนางจึงเต้นพอให้ผ่านไป นางไม่สนใจในรายละเอียดแต่ยิ่งเต้นก็ยิ่งสนุกมากยิ่งขึ้น
การเต้นระบำบวงสรวงเดิมทีคือความศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ความสวยงาม ทว่าในสายตาของเซินสือเย่แล้วนี่คือการเต้นระบำที่สวยที่สุด ไม่มีสิ่งได้เทียบเคียงได้เลย
กงอี่โม่เต้นระบำอย่างเพลิดเพลิน แต่ความเมามายทำให้นางจนปัญญานางไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อีก สุดท้ายเมื่อนางหมุนตัว สองขากลับพันกันนางจึงล้มไปด้านหน้าทันที
เซินสือเย่พุ่งตัวเข้าไปรับนางราวกับเป็ปฏิกิริยาอัตโนมัติ เขากอดนางไว้ในอ้อมกอดครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่กลิ่นกายและความนุ่มนิ่มอบอุ่นของสาวน้อยผุดขึ้นในสมองของเขาอย่างชัดเจน
กงอี่โม่เงยหน้า ไอสุราอุ่นๆ ััใบหน้าเซินสือเย่ เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่กลับเอ่ยปากขึ้น “ยายหนูขี้เมา โชคดีที่เ้าเจอคนอย่างข้า”
กงอี่โม่พลันรำพึงออกมาหนึ่งประโยค
“เซินสือเย่”
“อะไร”
“ท่าน ท่านต้องระวังมารดาเลี้ยงของท่าน”กงอี่โม่พิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาครึ่งหนึ่ง นางเอ่ยอย่างไม่ค่อยมีสตินัก
“หากมีสักวัน อืม หากท่านเผชิญหน้ากับอันตรายไม่รู้จะไปที่แห่งหนใดท่านสามารถเชื่อใจข้าได้นะ”
นางกล่าวอย่างคลุมเครือ ทว่าเซินสือเย่กลับฟังออกอย่างชัดเจนดวงตาเป็ประกายของเขาลืมขึ้น เขาจ้องมองนางในใจกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ผู้คนมักเห็นแต่ความสดใสสง่างามของเขาเวลาอยู่เบื้องหน้าผู้คนแต่ใครจะรู้ว่าเื้ันั้น เขากลับไม่มีใครสักคนที่สามารถเชื่อใจได้เขาพยายามดิ้นรนมาไม่น้อยแต่ในสถานการณ์เช่นนี้มีเพียงสาวน้อยที่เพิ่งรู้จักคนนี้ที่กล้าเอ่ยปากบอกให้เขาเชื่อใจนาง
เซินสือเย่ที่มักทำท่าอวดดีอยู่เสมอจึงเริ่มอ่อนลงอย่างอดไม่ได้เขาหยิกแก้มของนาง มิน่านางจึงชอบนัก เพราะััแล้วมันช่างรู้สึกดีจริงๆ
“เ้าหนู หึ คำพูดของเ้า ข้าจำไว้แล้ว”
“พวกเ้ากำลังทำอะไร?!”
ขณะที่เซินสือเย่กำลังพากงอี่โม่กลับไปพักผ่อนนั้น พลันมีเสียงโกรธจัดดังลอยมาทว่ากงอี่โม่กลับหลับเป็ตายไปแล้วนางพ่นลมหายใจอย่างสม่ำเสมออยู่ตรงลำคอของเซินสือเย่
เขาเงยหน้าขึ้น ปลายทางอีกด้านมีบุรุษในชุดยาวสีดำสวมมงกุฎบนศีรษะอีกฝ่ายกำลังจ้องมาที่เขาอย่างเกรี้ยวกราด
เขาหอบเล็กน้อย มวยผมก็ยุ่งเล็กน้อยทว่าเวลานี้ด้านหลังของเขากลับไม่มีคนรับใช้ติดตามเลยสักคนแต่เซินสือเย่ก็จำเขาได้ในทันที
“โอ้! นี่ไม่ใช่องค์รัชทายาทหรือ? ดึกขนาดนี้แล้วช่างน่าประหลาดนักที่องค์รัชทายาทปรากฏตัวอยู่ที่นี่” เขากอดกงอี่โม่แน่นยิ่งขึ้นใบหน้าส่งยิ้มโดยไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้