อวี้ฉู่จาวจ้องมองหลินหร่านพลางเอ่ยถาม “เหตุใดเ้าถึงคิดเช่นนั้นกะทันหันกัน?”
อวี้ฉู่จาวคิดว่า นี่คงไม่ใช่หลินหร่านมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาโดยพลันเป็แน่ แล้วเขาจะขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกันล่ะ
“เพราะว่า...ข้าฟังเื่ราวมาจากหลานจื่อ พวกนางบอกว่าเมื่อสี่ปีก่อน...ท่านอ๋องเกือบจะ…ในใจของข้ากลัวเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยมาถึงตรงนี้ หลินหร่านก็แสดงท่าทีวิตกกังวลอย่างชัดเจน ภายในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและทุกข์ระทม “หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋อง...ข้า...ข้ากลัว…”
เพียงแค่จินตนาการ หลินหร่านก็รู้สึกหวาดกลัวไปทั้งใจ เขาไม่อยากให้เกิดเื่เช่นนั้นกับท่านอ๋องอีก
เขาอยากเป็คนที่ปกป้องท่านอ๋องได้
“พูดมากกันเสียจริง” แววตาของอวี้ฉู่จาวเปลี่ยนไป ท่าทางเด็กสาวเหล่านี้คงไม่รู้เสียแล้วว่าอะไรควรหรือไม่ควรกล่าวถึง
“ท่านอ๋องอย่าโทษพวกหลานจื่อเลย ข้าเองที่บังคับให้พวกนางบอก”
อวี้ฉู่จาวมองหลินหร่าน มองท่าทีที่ยังเต็มไปด้วยความกังวล เขาพลันใจอ่อนขึ้นมา “ช่างเถิด ข้าจะไม่ถือโทษพวกนาง แต่ข้าจะพูดกับเ้าให้ชัดเจน อวิ๋นซี”
“หือ”
อวี้ฉู่จาวอุ้มหลินหร่านขึ้น ให้ชายาตัวน้อยนั่งบนโต๊ะศึกษาตำราก่อนเอ่ยต่อ “หากเ้ามีความ้าที่จะศึกษาด้านการแพทย์ด้วยตนเอง เช่นนั้นย่อมทำได้อยู่แล้ว หากเ้าอยากศึกษาเื่เหล่านี้เพราะข้า แล้วเ้าจะมีความสุขก็ย่อมได้เช่นกัน แต่หากนั่นเป็เพราะเ้ามีความกดดันอยู่ภายในใจ หากต้องฝืนตนเองจนรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อเป็เช่นนั้นก็มิควร”
หลินหร่านนั่งมองอวี้ฉู่จาวแล้วฟังในสิ่งที่เขาพูด
“ข้าจะคอยสนับสนุนเ้าในทุกๆ เื่ แต่เ้าต้องดูแลและห่วงตนเองก่อน ไม่อย่างนั้น…” อวี้ฉู่จาวหยุดไปชั่วครู่ “ข้าคงไม่อาจวางใจได้ และไม่อาจสงบจิตสงบใจลงได้ สำหรับข้า ต้องเป็เ้าและเป็เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น...เ้าเข้าใจหรือไม่?” สายตาของอวี้ฉู่จาวนั้นอ่อนโยนราวกับแผ่ไอน้ำร้อน
ถ้อยคำและความอ่อนโยนของอวี้ฉู่จาวทำให้หลินหร่านรู้สึกประทับใจ เขาเป็ที่หนึ่งในดวงใจของท่านอ๋อง
ในยุคแห่งการปกครองตนเองและการเป็จักรวรรดินิยมเช่นนี้ สำหรับท่านอ๋องกับโลกที่เขาไม่รู้จักดีใบนี้ ผู้ที่เป็ที่หนึ่งในใจของท่านอ๋องก็คือเขา
หลินหร่านไม่อยากทำให้อวี้ฉู่จาวรู้สึกผิดหวัง เขาเป็คนเชื่อฟังอยู่แล้วจึงรีบพยักหน้าทันที “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าจะดูแลตนเองให้ดี แต่ว่า…”
ฉับพลันหลินหร่านกลับหยุดพูด
แววตาของหลินหร่านเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย ก่อนเอ่ยต่อด้วยความหนักแน่น “...ในใจของข้า ท่านอ๋องคือที่หนึ่ง หากข้าให้สัญญากับท่านอ๋อง...ท่านอ๋องก็ต้องให้สัญญากับข้าว่าจะดูแลตนเองให้ดีเช่นกัน มิเช่นนั้น ข้าคงทำอะไรไม่ถูก ท่านอ๋องก็ทรงทราบดีว่าข้าเป็เพียงคนโง่เขลา บางสิ่งบางอย่างตัวข้านั้นมิอาจปฏิบัติได้อย่างชาญฉลาดเฉกเช่นท่าน”
เวลานี้ กลับกลายเป็อวี้ฉู่จาวที่รู้สึกประทับใจเสียเอง
ใช่แล้ว ความรู้สึกที่เขามีต่ออวิ๋นซี เหตุใดอวิ๋นซีจะปฏิบัติเช่นนั้นหรือรู้สึกเช่นนั้นกับเขาไม่ได้ล่ะ
แม้ชายาตัวน้อยพยายามเพิกเฉยไม่แสดงออก แต่สิ่งที่เขาขอให้อวิ๋นซีทำ แล้วเหตุใดอวิ๋นซีจะขอให้เขาทำเช่นเดียวกันไม่ได้
“ข้าให้สัญญา” อวี้ฉู่จาวระบายยิ้ม “เ้าก็อย่าได้คิดดูถูกตนเอง เ้าไม่ใช่คนโง่เขลา เ้ายังเป็เพียงเด็กไร้เดียงสา เ้าอาจยังไม่เข้าใจสิ่งเ่าั้ดีเท่านั้นเอง”
“อื้อ ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าจะพยายาม อีกทั้งนี่คือสิ่งที่ข้าเต็มใจที่จะทำพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านยืนยันอีกครั้ง
เมื่อรวมกับในชาติภพก่อน ลองมาคิดคำนวณดูดีๆ หลินหร่านไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อาจอายุมากกว่าท่านอ๋องด้วยซ้ำ
ดังนั้น ความไร้เดียงสาหรือยังไม่เข้าใจสิ่งเ่าั้อย่างถ่องแท้ คงเหมาะจะเป็การนิยามตัวเขาเองมากที่สุด
การคิดวิเคราะห์ของเขาอาจมีปัญหาจริงก็เป็ได้ ท่านอ๋องถึงได้คิดว่าเขายังเป็เด็ก
ทว่า แค่ท่านอ๋องไม่เบื่อหน่ายและเต็มใจจะอยู่กับเขา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินหร่านถึงรู้ว่าตนเองต้องพยายามและขยันให้มากขึ้น
หลินหร่านกับอวี้ฉู่จาวสบตากัน จากนั้นค่อยๆ โน้มตัวเข้าหาจนหน้าผากของทั้งคู่ัักัน
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กัน พร้อมแบ่งปัน่เวลาที่หัวใจสองดวงได้ใกล้ชิดกันที่สุด
.........
ภายหลังมื้อเย็น ทั้งคู่จูงมือกันเดินไปทางสวนดอกไม้ ต่างเดินชมสวนเพื่อย่อยอาหาร
ลมใน่เดือนสามมีเค้าไอของความอบอุ่น เมื่อพัดมาโดนร่างจึงทำให้รู้สึกสบายตัว
โคมไฟสีแดงกับโคมไฟสีเหลืองแขวนอยู่ทุกพื้นที่ ยิ่งทำให้ทั่วทั้งตำหนักเทพเ้าแห่งาอบอุ่นขึ้นไปอีก เฉกเช่นหัวใจของทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
ด้านหลังของทั้งสองคนไม่มีผู้ติดตามเดินตามมา พวกเขาเดินวนไปมาหลายรอบก่อนเดินขึ้นไปยังทางเดินยาวเพื่อที่จะกลับห้องบรรทม
หลินหร่านยังคงมีเื่บางอย่างอยู่ในใจ เขา้าใช้บรรยากาศในตอนที่กำลังเดินอยู่ตรงทางเดินนี้เอ่ยขึ้นมา
“ท่านอ๋อง…”
อวี้ฉู่จาวจับมือของหลินหร่านแน่น ราวกับรู้สึกว่ายังใกล้ชิดกันไม่พอ สุดท้าย เขาถึงยอมปล่อยมือก่อนยกขึ้นมาโอบไหล่ “หืม?”
“วันมะรืนเป็เทศกาลรำลึกถึงพระจักรพรรดิ” หลินหร่านกล่าวออกมา
อวี้ฉู่จาวคิดว่าหลินหร่านเพียง้าเตือนความจำของเขาเท่านั้น เขาจึงได้ตอบกลับไป “อืม เื่งานพิธีในตำหนัก ข้าให้ลุงตงจัดการแล้ว เพราะปีก่อนๆ ก็เป็หน้าที่เขา เ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจนักหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ” นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลินหร่าน้าจะสื่อ “ข้าจะบอกว่า งานรำลึกถึงพระจักรพรรดิก็เป็วันที่ฮองเฮาจัดเทศกาลชมดอกไม้เช่นกัน พระราชโองการของฮองเฮามาถึงที่ตำหนักยามเช้าวันนี้ ฮองเฮา้าให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้…”
อวี้ฉู่จาวไม่ได้เอ่ยตอบ เขาพาหลินหร่านกลับไปยังหอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซี
หลินหร่านจึงไม่คะยั้นคะยอถามอีก เขาทำเพียงรอเพราะเขารู้ ท่านอ๋องได้ยินสิ่งที่เขาบอกอย่างชัดเจน
เมื่อเข้าไปถึงห้องบรรทม อวี้ฉู่จาวถึงได้พูด “งานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้ของฮองเฮา?” เอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนเงียบไป
เดิมทีแล้ว ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงเทศกาลชมดอกไม้ของฮองเฮาจะเป็เหล่าฟูเหรินของนายทหารเท่านั้น ผู้ชายไม่ควรเข้าร่วม เพราะอาจจะดูขัดกับขนมธรรมเนียมไปเสียหน่อย
หากหลินหร่านไปร่วมงานในครั้งนี้ อวี้ฉู่จาวกลัวว่าตนเองจะไม่อาจไปร่วมงานเพื่อดูแลหลินหร่านได้
ยิ่งนิสัยที่แสนจะชอบจับผิดของฮองเฮาต้องทำให้เกิดเื่ขึ้นแน่
อวี้ฉู่จาวพาหลินหร่านเข้ามาในห้องอาบน้ำแล้วช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออก
“มา ยกมือขึ้น”
หลินหร่านยกมือขึ้นอย่างเชื่อฟัง เขาให้อวี้ฉู่จาวช่วยถอดเสื้อตัวนอกของตนเองออก หลังจากนั้นเริ่มถอดเสื้อสวมชั้นใน
ทั้งคู่ลงไปในสระน้ำ อวี้ฉู่จาวดึงหลินหร่านเข้ามาไว้ในอ้อมกอดก่อนกล่าว “อวิ๋นซีมีความคิดเช่นไร อยากให้ข้าปฏิเสธให้หรือไม่?”
“อืม ข้าเป็พระชายาของท่านอ๋อง เื่นี้ข้าควรเป็คนจัดการเอง หลังจากนี้คงต้องมีเื่ราวเช่นนี้อีกมากมาย ข้าไม่ควรให้ท่านอ๋องต้องคอยออกหน้าให้”
“หากเป็เช่นนั้น...อวิ๋นซีอยากไปหรือไม่กัน?”
“ข้า...พร้อมฟังที่ท่านอ๋อกบอกกล่าวพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านไม่ได้อยากไปร่วมงาน เขาแค่อยากรับผิดชอบหน้าที่พระชายาของท่านอ๋องให้ดี ดังเช่นที่ท่านอ๋องได้เอ่ยเอาไว้ว่าเขากำลังค่อยๆ เรียนรู้และเติบโต
แต่ในความเป็จริงแล้ว หลินหร่านจะถือเอาคำแนะนำกับความเห็นของอวี้ฉู่จาววางไว้สูงสุด
“หากเป็เช่นนั้นก็ไปเถิด” เหตุใดอวี้ฉู่จาวจะไม่รู้ถึงความในใจของหลินหร่าน เขา้าให้โอกาสพระชายา เพราะถึงอย่างไรหากเกิดเื่ขึ้นก็ยังมีเขาอยู่
“อื้อ!”
หลังทั้งคู่อาบน้ำเสร็จ อวี้ฉู่จาวก็ใช้ผ้าขนหนูผืนหนึ่งห่อตัวหลินหร่านเข้ามาในห้องบรรทม แล้วบรรจงวางอีกคนบนเตียงช้าๆ
อวี้ฉู่จาวเดินออกไปห้องด้านนอกก่อนหยิบยาบำรุงที่หลานจื่อนำมาส่งให้เข้ามา
นี่คือยาที่เขาบอกให้ซูชิงเฟิงเตรียมไว้สำหรับบำรุงร่างกายหลินหร่าน หลินหร่านอายุสิบเจ็ดย่างเข้าสิบแปดปีแล้ว แต่ยังดูผอมแห้งและตัวเล็กอยู่ เห็นได้ชัดว่าขาดการเลี้ยงดูที่ดี ต้องบำรุงให้มากเข้าไว้
“มา ดื่มยาบำรุงก่อน”
อวี้ฉู่จาวหยิบยามาให้ หลินหร่านไม่ยื่นมือไปรับถ้วยยา แต่ขยับตัวมานั่งที่ขอบเตียงแล้วเงยหน้าให้อวี้ฉู่จาวป้อน
ทุกครั้งจะเป็ท่านอ๋องที่คอยป้อนยาให้เขา จนกระทั่งตอนนี้เขากลับเคยชินเสียแล้ว
่แรกหลินหร่านรู้สึกว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งยังรู้สึกเขินอาย มาถึงเวลานี้กลับรู้สึกสบายใจที่มีท่านอ๋องค่อยช่วยเหลือตนเอง
อวี้ฉู่จาวมองหลินหร่านที่เงยหน้าให้เขาป้อนยาให้ ในใจรู้สึกอบอวลไปด้วยความหวาน
ใบหน้าเขาระบายรอยยิ้มอันอบอุ่น ก่อนนั่งลงข้างเตียงแล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักยาและเป่าเบาๆ จนหายร้อนถึงค่อยป้อนใส่ปาก
ยาบำรุงนั้นอาจไม่ได้รสชาติดีเหมือนกับขนมที่ขบเคี้ยวในยามค่ำคืน แต่หลินหร่านเป็คนที่ไม่กลัวความขม ดื่มยาเข้าไปได้เหมือนไม่รับรู้รสใดๆ
นอกจากนี้ ท่านอ๋องเป็คนป้อนยาให้เองกับมือ ส่งผลให้เขายิ่งดื่มมันเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากดื่มยาบำรุงเรียบร้อย อวี้ฉู่จาวได้เตรียมน้ำผึ้งมาป้อนให้หลินหร่านก่อนยกน้ำเข้ามาให้บ้วนปากสักนิด
-------------------------------------------
