“เขา!”
คุณชายเจี้ยนมองเสิ่นเสวียนที่กำลังต่อสู้กับหานเฟิงด้วยแววตาสงสัย
ั้แ่เขาจำความได้ ท่านลุงกู่ไม่เคยชื่นชมใครเช่นนี้มาก่อน เขาได้เห็นพลังยุทธ์ของเสิ่นเสวียนแล้ว แม้จะไม่เลว แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ท่านลุงกู่จะชื่นชมได้
ทางด้านเสิ่นเสวียนที่กำลังต่อสู้ พลันััได้ถึงพลังจิติญญาที่น่ากลัวอีกครั้ง คนผู้นั้นตั้งใจซ่อนตัวจากเขา ทว่าเขาก็ยังสังเกตเห็นอยู่ดี และนี่คือสาเหตุที่เขาไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา
“ท่านพี่!”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยนั่งอยู่บนรถเข็น มือบางกำแน่น กลัวเสิ่นเสวียนจะได้รับาเ็ นางไม่รู้ถึงพลังของเสิ่นเสวียน แต่นางรู้ดีถึงพลังของหานเฟิง เขาเป็ถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองอวี่ฮว่าใน่หลายปีนี้ อายุเพียงยี่สิบปีกลับฝึกฝนถึงขั้นแม่ทัพระดับกลางได้แล้ว
ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน หานเฟิงพบว่าเสิ่นเสวียนแค่หลบหลีกไปมาเท่านั้น ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองว่าต้องชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน จึงลงมือโเี้ยิ่งกว่าเดิม
ส่วนเสิ่นเสวียนก็ยังคงหลบหลีกต่อไป ไม่ได้โจมตีกลับเลยสักครั้ง
ขณะที่การต่อสู้กำลังดุเดือดนั้น
“พอได้แล้ว”
คุณชายเจี้ยนที่นั่งดูอยู่ด้านข้างพลันกล่าวขึ้น ทำให้หานเฟิงที่จิตสังหารกำลังพลุ่งพล่านต้องหยุดโจมตีกะทันหัน จากนั้นถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อทิ้งระยะห่าง
“คุณชาย มีอะไรหรือ”
หานเฟิงถามคุณชายเจี้ยนด้วยความสงสัย เพราะสำหรับเขา ศึกนี้ใกล้จะได้ชัยชนะมาแล้ว แม้เสิ่นเสวียนจะลึกลับแต่กลับมีพลังแค่นี้ เขามั่นใจว่าจะเอาชนะได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณชายเจี้ยน
“สหายผู้นี้ ข้าชื่อเจี้ยนอู๋เฉิน ไม่ทราบสหายมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”
เจี้ยนอู๋เฉินไม่สนใจหานเฟิง แต่หันไปแนะนำตัวกับเสิ่นเสวียนแทน
การกระทำของเจี้ยนอู๋เฉินทำให้หานเฟิงอ้าปากค้าง ในความทรงจำของเขา เจี้ยนอู๋เฉินคือผู้สูงส่ง ทั้งยังเป็ศิษย์ของประมุขสำนักกระบี่อีกด้วย เป็ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกประมุขสำนักในภายหน้า บุคคลที่สูงส่งเช่นนี้เหตุใดจึงให้ความสนใจเสิ่นเสวียน
“เสิ่นเสวียน”
เสิ่นเสวียนหันไปกล่าวกับเจี้ยนอู๋เฉิน เมื่อสักครู่นี้เองที่เขามั่นใจว่า พลังจิติญญานั้นไม่ได้ออกมาจากร่างของเจี้ยนอู๋เฉิน แต่เป็ของคนอื่น เสิ่นเสวียนจึงเลือกหลีกเลี่ยงอันตรายที่แอบแฝงอยู่ไปก่อน
กว่าจะเกิดใหม่ขึ้นมาได้ไม่ใช่เื่ง่าย เขาไม่อยากให้ทุกอย่างจบสิ้นลงั้แ่ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย
“สหายเสิ่นเสวียน ข้าคิดว่าเ้าทั้งสองมีเื่เข้าใจผิดกัน ไม่สู้ให้ข้าเป็คนไกล่เกลี่ยดีหรือไม่ แปรเปลี่ยนจากศัตรูให้เป็มิตร เ้าทั้งสองเห็นว่าอย่างไร”
เจี้ยนอู๋เฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม หากไม่ใช่เพราะท่านลุงกู่บอกให้เขาทำ เขาก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้เลย
ในสายตาของเขา ผู้คนทั่วทั้งเมืองอวี่ฮว่าไม่ต่างอะไรกับมด แค่เป็มดตัวใหญ่กับมดตัวเล็กเท่านั้นเอง
“แปรเปลี่ยนจากศัตรูให้เป็มิตรอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ขัดแย้งอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าคุณชายหานผู้นี้จะเห็นด้วยหรือไม่”
เสิ่นเสวียนผลักคำถามนี้ไปให้หานเฟิงแทน
“เ้า!...”
หานเฟิงต้องไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ทว่าหลังจากเขาได้เห็นสีหน้าเย็นะเืของเจี้ยนอู๋เฉินแล้ว ทำให้เขาต้องกลืนคำที่เหลือลงคอไปอย่างยากเย็น เขามิอาจล่วงเกินเจี้ยนอู๋เฉินได้ หากอีกฝ่ายไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อย ตระกูลหานก็อย่าหวังว่าจะได้กลายเป็ส่วนหนึ่งของสำนักกระบี่
“ตามแต่คุณชายเจี้ยนปรารถนา” หานเฟิงก้มหน้าลง กล่าวกับเจี้ยนอู๋เฉิน
“ใช่ไหมล่ะ ยุทธภพคือมิตรภาพ หาใช่การเข่นฆ่าสังหาร”
เจี้ยนอู๋เฉินยิ้มน้อยๆ ขณะกล่าว ให้ความรู้สึกเหมือนกับตนเองคือพี่ใหญ่
“ในเมื่อเ้าทั้งสองไม่มีปัญหากันแล้ว มาร่วมกินอาหารดื่มสุรากันดีไหม”
เจี้ยนอู๋เฉินกล่าวต่อ
“ฮ่าๆ ขอบคุณน้ำใจของคุณชายเจี้ยน ดื่มสุราคงไม่จำเป็ ข้ายังมีธุระต้องขอตัวก่อน หากคุณชายเจี้ยนยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจให้ถามหานเฟิง”
หลังจากเสิ่นเสวียนกล่าวจบ ก็เข็นรถเข็นของเสิ่นเสี่ยวเม่ยออกไปจากโรงเตี๊ยมทันที
องครักษ์ที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างหันมองเสิ่นเสวียนราวกับกำลังมองคนตาย
ในใต้หล้า ผู้ที่หักหน้าคุณชายเจี้ยนได้มีอยู่ไม่มาก แต่เสิ่นเสวียนกลับกล้าที่จะหักหน้าเขา
เจี้ยนอู๋เฉินมองเสิ่นเสวียนที่เข็นรถเข็นเดินออกไป รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงปรากฏชัด ทว่าหลังจากนั้นกลับกลายเป็รอยยิ้มที่ดูอึดอัด
“ดูเหมือนมีบางคนที่ถูกลิขิตให้ไม่ได้เดินในเส้นทางเดียวกัน ไปกันเถอะ”
“ขอรับ ขอรับ คุณชายเชิญทางนี้”
หานเฟิงรับคำของเจี้ยนอู๋เฉินในทันที เขาปรายตามองแผ่นหลังของเสิ่นเสวียนที่เดินห่างออกไปแล้ว ลึกเข้าไปในแววตาของเขาปรากฏร่องรอยเคร่งขรึม
เสิ่นเสวียนเข็นรถเข็นของเสิ่นเสี่ยวเม่ยออกจากโรงเตี๊ยมตระกูลซูแล้ว เขาไม่ได้รีรออยู่บนถนนนานนัก รีบเร่งฝีเท้ากลับไปยังตระกูลเสิ่น เมื่อส่งเสิ่นเสี่ยวเม่ยกลับเข้าเรือนเรียบร้อย เสิ่นเสวียนก็ขังตนเองไว้ในเรือน
มาถึงที่นี่เป็วันที่สองแล้ว เขารู้สึกได้ถึงความสำคัญของพลัง แม้พลังฟ้าดินของที่นี่จะหนาแน่นมาก แต่ก็มิอาจทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นได้ตามที่เขา้า ยิ่งได้รับรู้ถึงพลังจิติญญาของคนผู้นั้นในวันนี้ เขามีลางสังหรณ์ว่าอีกฝ่ายต้องมาหาเขาอย่างแน่นอน
ด้วยพลังของอีกฝ่าย หากเขามาเยือนถึงที่ ตนเองก็ไม่มีพลังจะตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย
เสิ่นเสวียนเอาแผนที่ที่เสิ่นจางให้ไว้ออกมา เมื่อรวมเข้ากับความทรงจำที่คละเคล้าอยู่ในหัว ทำให้เขาจดจำได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากดูแผนที่อยู่สักพักก็ยอมแพ้ มีหลายจุดบนแผนที่ที่ทำสัญลักษณ์เอาไว้แต่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่มีอยู่ในความทรงจำเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตามหาคนที่สามารถเข้าใจแผนที่นี้ได้ ทั้งยังต้องเชื่อถือได้อีกด้วย
เป้าหมายแรกก็คือ ผู้าุโใหญ่เสิ่นล่าง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเสวียนจึงไปที่เรือนของเสิ่นล่าง
ณ เรือนของเสิ่นล่าง เสิ่นเสวียนนั่งอยู่ข้างหนึ่ง เสิ่นล่างถือแผนที่อยู่ในมือพลางขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็กล่าวกับเสิ่นเสวียน “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับหลินจือโมรามาก่อน แต่เ้า้าไปเก็บมันจริงๆ หรือ”
มีความสงสัยอยู่ในน้ำเสียงของเสิ่นล่าง ขณะเดียวกันก็เคร่งขรึมด้วย
“ใช่แล้ว ข้าจำเป็ต้องใช้”
เสิ่นเสวียนพยักหน้าแสดงความมุ่งมั่นออกมา
“เ้ารู้ไหมว่าตอนนี้ตำแหน่งในแผนที่เปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว”
“ไม่รู้เลย แต่ข้าคิดว่าน่าจะไม่เกินความสามารถของผู้าุโใหญ่หรอก!” เสิ่นเสวียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ นายน้อยอย่าได้ยกยอข้านักเลย ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะส่งเ้าไปถึงที่นั่นได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะที่ปล่องูเาไฟนั้น” เสิ่นล่างส่ายหัว จากที่ได้คุยกับเสิ่นเสวียนมาหลายครั้ง เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เยาว์วัยเหมือนกับที่เห็นภายนอก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็ชายชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน
“ูเาไฟลูกนั้นยังปะทุอยู่ตลอดเวลา ครั้งก่อนที่ปะทุเพิ่งจะเมื่อสองปีก่อนนี้เอง ทั้งยังด้วยพลังยุทธ์ของข้าในตอนนี้ ทำได้เพียงปกป้องเ้าไปถึงปากปล่องูเาไฟเท่านั้น ยากที่จะเข้าไปในนั้นได้”
“ผู้าุโใหญ่พาข้าไปที่นั่นได้ก็พอ เื่อื่นข้ามีวิธีจัดการแล้ว”
เสิ่นเสวียนกล่าวขึ้นทันทีเพราะกลัวผู้าุโใหญ่จะไม่ยินยอม ขอเพียงได้หลินจือโมรามาครอง เขาก็สามารถเลื่อนไปถึงขั้นหยวนก่อกำเนิดได้ใน่เวลาสั้นๆ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว การสร้างหยวนก่อกำเนิดไม่ได้ด้อยไปกว่าการเกิดใหม่อีกครั้งเลย แม้ร่างกายจะถูกทำลายไปแล้ว แต่หยวนก่อกำเนิดก็ยังเก็บรักษาไว้ในโลกได้
“ได้ แต่ต้องไปหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งตั้งผู้นำตระกูลแล้ว เป็อย่างไรบ้าง เ้ามีความเห็นอย่างไรต่อพิธีแต่งตั้งในครั้งนี้”
“คิดเห็นอย่างไร ฟังบัญชาจาก์แล้วกัน! อย่างไรก็ตาม ข้ามีเื่อยากจะถามผู้าุโใหญ่สักหน่อย”
“วันนี้ข้าไปเจอหานเฟิงพาคนผู้หนึ่งที่เรียกตนเองว่าเจี้ยนอู๋เฉินแห่งสำนักกระบี่มายังเมืองอวี่ฮว่า ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักกระบี่ไหม”
“อะไรนะ! สำนักกระบี่มาเร็วขนาดนี้เลยหรือ”
เมื่อเสิ่นเสวียนกล่าวจบ เสิ่นล่างผุดลุกขึ้นยืนทันที แววตาของเขามีแต่ความสงสัย และอาจมีความหวาดกลัวผสมผสานอยู่ด้วย เขาไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวเื่ภายนอกนัก เขารู้เพียงว่าสำนักกระบี่จะมาที่นี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะรวดเร็วเช่นนี้
“นายน้อย ไม่ว่าจะเมื่อไรเวลาใด อย่าล่วงเกินคนจากสำนักกระบี่เด็ดขาด” เสิ่นล่างกล่าวกับเสิ่นเสวียนอย่างร้อนรน เกรงว่านายน้อยผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดคนนี้จะล่วงเกินอีกฝ่ายเข้า
“อืม แน่นอนอยู่แล้ว ข้าน้อยยังแยกแยะเื่สำคัญได้อย่างชัดเจน แต่สำนักกระบี่มีที่มาอย่างไรหรือ” เสิ่นเสวียนถามต่อ หากเสิ่นล่างรู้ว่าวันนี้เสิ่นเสวียนแสดงทีท่าอย่างไรต่อหน้าเจี้ยนอู๋เฉิน คงจะใจนยืนไม่ไหวอย่างแน่นอน
“สำนักกระบี่ คือหนึ่งในสามอำนาจสูงแห่งแคว้นชิงหยุนของพวกเรา มีอำนาจแผ่กระจายไปทั่วทั้งแคว้น”
เสิ่นล่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ หากต้องเผชิญหน้ากับสำนักกระบี่คงรู้สึกเหมือนตนเองเป็มดตัวหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้