มื้อค่ำจบลง แม้เสนาบดีมู่จะไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก แต่หลายคนก็พอจะมองออก ทัศนคติของเสนาบดีมู่ต่อมู่อวิ๋นจิ่นนั้น ดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว
แม้หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นกินข้าวเสร็จ เขาก็ถามอย่างสบาย ๆ ว่าอิ่มหรือไม่
คำ ๆ นี้ออกมาจากปากของเสนาบดีมู่ ที่แต่ก่อนไม่เคยจะสนใจว่าบุตรสาวผู้นี้จะเป็หรือจะตายด้วยซ้ำ ถือว่าตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนไปมาก
มู่หลิงจูนั่งอยู่ มื้ออาหารมื้อนี้ทำให้นางรู้สึกกินไม่อร่อยเท่าไร สายตามัวจดจ่ออยู่ที่มู่อวิ๋นจิ่น ภายในหัวก็เอาแต่ขบคิดเื่ต่าง ๆ ไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในหัวของนางก็ย้อนคิดถึงสถานการณ์ที่ป้าซูจมน้ำตาย หลังจากนั้นนางก็ไปเรือนมวลบุปผาเพื่อไปหามู่อวิ๋นจิ่น
ในตอนนั้นขณะที่มู่อวิ๋นจิ่นพูดคุยกับนาง ไม่เพียงแต่ไร้ซึ่งความขลาดเขลา แต่ในทางกลับกันก็จงใจเปิดเผยรอยรัดที่ต้นคอ ซึ่งเกี่ยวพันกับการตายของป้าซู
ใช่แล้ว เหตุใดนางถึงได้ลืมเื่สำคัญเยี่ยงนี้ไปจนหมดสิ้นกันนะ
คิดได้ดังนั้น มู่หลิงจูขมเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตากรอกไปพลางบ่นพึมพำในใจ ต้องเป็เพราะฉินไท่เฟยคอยถือหางกระสอบฟางนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นกระสอบฟางใบนี้ที่แต่เดิมไม่มีปากมีเสียง คงไม่กล้าเหิมเกริมเช่นนี้ได้หรอก
‘หึ พวกนางคิดว่า มู่อวิ๋นจิ่นจะได้เป็ชายาองค์ชายหกอย่างราบลื่นงั้นหรือ?’
‘ฝันไปเสียเถอะ!’
หลังจากจบมื้ออาหารทุกต่างพากันแยกย้าย เรือนบุปผาภิรมย์ที่มู่อวิ๋นจิ่นเพิ่งจะย้ายมาอยู่นั้น ห่างจากทางเดินไปยังหอมุกดาที่มู่หลิงจูอยู่ไม่มาก หลังจากเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว มู่หลิงจูก็ร้องเรียกให้หยุด
“ท่านพี่เ้าคะ รอข้าก่อน” มู่หลิงจูตามหลังมา รีบเร่งฝีเท้าให้กระชั้นขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นชะลอฝีเท้าลง เหลือบมองมู่หลิงจูที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ แต่ไม่ได้เอ่ยปาก
“ท่านพี่เพิ่งจะย้ายมาอยู่เรือนบุปผาภิรมย์ อยู่ห่างจากหอมุกดาของข้าไม่มากนัก เดินไปด้วยกันเถอะเ้าค่ะ” มู่หลิงจูคลี่ยิ้มพูดกับมู่อวิ๋นจิ่น
แววตาของมู่อวิ๋นจิ่นวางเปล่า รอยยิ้มที่ดูคลุมเครือยากจะหยั่งรู้ก็ฉายมาบนใบหน้าของนาง “น้องอยากจะพูดสิ่งใด บอกออกมาตามตรงได้เลยนะ”
มู่หลิงจูััได้ถึงความเย็นะเืในน้ำเสียง รับรู้ได้ในทันทีว่าการคาดเดาของนางไม่ผิดเพี้ยนแน่
“การตายของป้าซูในวันนั้น ท่านพี่เป็คนทำใช่หรือไม่?” มู่หลิงจูพูดเข้าประเด็นทันที พลันชะงักฝีเท้าหยุดนิ่ง ดวงตาทั้งสองจดจ้องอยู่ที่มู่อวิ๋นจิ่น ราวกับไม่อยากพลาดปฏิกิริยาโต้ตอบของนางแม้แต่เสี้ยวเดียวอย่างไรอย่างนั้น
มู่อวิ๋นจิ่นก็หยุดฝีเท้าเช่นกัน เลื่อนสายตามองที่มู่หลิงจู รอยยิ้มจาง ๆ เผยออกมา “ใช่ ข้าเป็คนทำเอง”
“ที่แท้ก็เป็ฝีมือท่าน...” มู่หลิงจูเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นยอมรับ ทันใดนั้นความโกรธก็พุ่งขึ้น “ข้าจะไปแจ้งความให้ท่านพ่อทราบ”
“แจ้งท่านพ่องั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้ว เดินไปด้านหน้าเพียงหนึ่งก้าวประชิดตัวมู่หลิงจู “ไปสิ ไปแจ้งเลย ข้าจะได้พูดกับท่านพ่อได้สะดวก ว่าเพื่อที่จะได้เป็คุณหนูใหญ่สกุลมู่ เพื่อได้แต่งงานกับองค์ชายหก ขนาดส่งป้าซูมาที่เรือนมวลบุปผาเพื่อฆ่าข้า”
“คนตายพูดไม่ได้ ท่านจะมีหลักฐานได้เยี่ยงไรว่าข้าส่งป้าซูไปฆ่าท่าน?” มู่หลิงจูแสยะยิ้มเย็น ก่อนจะสบตากับมู่อวิ๋นจิ่นโดยไร้ซึ่งความตระหนกในแววตา
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนี้ แววตาพร้อมรอยยิ้มของนางก็พลันแข็งกร้าวขึ้นมา สายตาของนางเคลื่อนมองมู่หลิงจูทั่วทั้งร่าง จนมู่หลิงจูรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว
“ก่อนที่ป้าซูจะตายเกิดอะไรขึ้น พูดอะไรบ้าง หรือทิ้งอะไรไว้ เื่พวกนี้เ้ารู้หรือไม่เล่า?”
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น ทำให้สีหน้าของมู่หลิงจูกลับกลายเป็ซีดเผือด นางขบกัดริมฝีปากตนเองโดยไม่รู้ตัว หัวใจพลันเต้นระรัวจนผิดจังหวะ
มู่อวิ๋นจิ่นหมายความว่าเยี่ยงไร นางมีหลักฐานเยี่ยงนั้นหรือ?
“ป้าซูทิ้งอะไรไว้อย่างนั้นหรือ?” แทนทีจะเป็เื่ที่นางเปิดประเด็น มู่หลิงจูกลับกลายเป็กังวล ว่าป้าซูนั้นจะทิ้งอะไรที่ทำให้สาวถึงตัวนางได้หรือไม่
มู่อวิ๋นจิ่นกระตุกยิ้ม ยกแขนขึ้นมากอดอก “เพียงแค่เ้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ข้ารับปากว่าเื่พวกนี้จะไม่มีวันเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน”
“มิฉะนั้น...”
“หญิงสาวมากความสามารถอันดับหนึ่งที่เปี่ยมด้วยชื่อเสียง หากข่าวการลงมือสังหารพี่สาวของตนเองอย่างโเี้กระจายออกไป จวนเสนาบดีมู่อาจจะต้องจบสิ้น เมื่อถึงเวลานั้น องค์ชายหกฉู่ลี่ผู้เปี่ยมดังดวงใจของเ้า จะมองเ้าเยี่ยงไรกันนะ?”
“ฉะนั้น เ้าคิดให้ดีก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินจากไป
มู่หลิงจูที่อยู่เื้ักำหมัดแน่น คิ้วเรียวพลันขมวด หงเซี่ยบ่าวรับใช้ซึ่งยืนอยู่ข้างกายนางเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็เอ่ยปากออกมาแ่เบา “คุณหนู หากคุณหนูสามยังมีไพ่เด็ดที่ยังเหลืออยู่ เช่นนั้นเราจะทำเยี่ยงไรดีเ้าคะ?”
มู่หลิงจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันตัวเดินกลับไปที่หอปี้ลั่ว
หลังจากเดินไปเพียงสองก้าว ก็หยุดชะงักอีกครา พลันแววตาชั่วร้ายก็ฉายผ่านดวงตาของนาง ก่อนจะกระซิบกับหงเซี่ยว่า “ไป เรียกเฉาผานมาให้ข้าที”
“เ้าค่ะ คุณหนู”
…
ทันทีที่ก้าวเข้าไปยังเรือนบุปผาภิรมย์ จื่อเซียงเร่งปิดประตูทันทีก่อนจะเปิดปากเอ่ยถามอย่างสงสัย “คุณหนู แม่นมซูทิ้งหลักฐานที่บ่งบอกถึงคุณหนูสี่หรือเ้าคะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะกล่าวด้วย ว่า “ข้าพูดมั่วไปเอง เพียงแค่อยากขู่นางก็เท่านั้น พอนางกลัวขึ้นมาหน้าก็ซีดเผือดเลยทีเดียว”
“แค่มองก็รู้ว่าเพียงทำใจดีสู้เสือ มู่หลิงจูคนนี้อายุยังน้อยนัก จิตใจของนางเปรียบดั่งยาพิษ น่าเสียดายที่นางอ่านหนังสือมามาก แต่กลับเอาใจไปผูกไว้ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่เสียอย่างนั้น”
จื่อเซียงได้ฟังคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น ก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มพลางชี้ไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “คุณหนู ยิ่งนับวันท่านยิ่งร้ายกาจนะเ้าคะ”
“เ้าชมเกินไปแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นคำนับ พลางแสดงสีหน้ายินยอมไม่ถ่อมตน
จื่อเซียงเปล่งเสียงขบขัน นายบ่าวถกเถียงกันไปมาอยู่ภายในเรือนบุปผาภิรมย์
…
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นถูกจื่อเซียงปลุกจากการหลับใหลอย่างอ่อนโยน เปลือกตาที่ดูง่วงเหงาหาวนอนก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าและเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะเห็นจื่อเซียงอยู่เบื้องหน้าและกำลังพูดกับตน “วันนี้คุณหนูสี่จะต้องออกไปเพื่อเข้าร่วมการประชันขันแต่งคำกลอน หนำซ้ำยังจงใจขอนายท่านให้พาคุณหนูไปด้วย และนายท่านเองก็เห็นด้วยเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นหาววอดใหญ่ ก่อนกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ประชันขันแต่งคำกลอนบ้าบออะไรกัน”
“บ่าวก็ไม่ทราบเ้าค่ะ ทว่าคุณหนูรีบตื่นเถอะเ้าค่ะ คนของคุณหนูสี่เพิ่งจะมาแจ้งเมื่อครู่ หากเราทำให้พวกเขารอนาน จะไม่ดีนะเ้าคะ” จื่อเซียงพูดพลางเลือกเสื้อผ้าให้กับมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า แม้นางจะไม่ได้ใส่ใจงานแต่งกลอนอะไรนี่มาก แต่การออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง ก็ถือว่าไม่ได้แย่อะไรนัก
รอจนกระทั่งมู่อวิ๋นจิ่นจัดแจงอะไรเสร็จเรียบร้อย และเดินมาถึงห้องโถงด้านหน้า มู่หลิงจูก็รออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าก่อนแล้ว เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นนางก็คลี่ยิ้มบา งๆ “วันนี้ขอรบกวนท่านพี่ ไปกับข้าหน่อยนะเ้าคะ”
“ได้” มู่อวิ๋นจิ่นกระตุกมุมปากพลางเหลือบมองมู่หลิงจู เพียงเพื่อจับภาพที่ดูไม่เป็ธรรมชาติในดวงตาของมู่หลิงจู
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ มู่อวิ๋นจิ่นก็เข้าใจอะไรบางอย่าง หันไปหาจื่อเซียงและกล่าวว่า “วันนี้เ้าอยู่ที่เรือนก็แล้วกัน เพิ่งจะย้ายมาที่เรือนบุปผาภิรมย์ เ้าจัดการอะไรให้เรียบร้อยเถอะ ข้าจะไปร่วมงานประชันขันกลอนกับน้องสี่เอง”
จื่อเซียงชะงักงัน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ขณะกำลังจะอ้าปากพูด นางก็เห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นขยิบตาให้นาง ดังนั้นนางจึงต้องปิดปากลงและพยักหน้า
มู่หลิงจูเมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นออกปากไม่นำบ่าวคนสนิทไปด้วย ใบหน้าของนางก็แต้มด้วยรอยยิ้มกว้างยิ่งขึ้น แสร้งแสดงท่าทีรักใคร่ ก่อนจะคว้าแขนของมู่อวิ๋นจิ่นดึงออกจากประตูไปพร้อมกัน
ราวกับว่า นางลืมบทสนทนากับมู่อวิ๋นจิ่นเมื่อคืนนี้ไปอย่างหมดสิ้น
บนรถม้าที่มุ่งหน้าออกจากจวน มู่หลิงจูและมู่อวิ๋นจิ่นนั่งใกล้กันมาก นางหรี่ตาลงก่อนจะเปิดปากพูดกับมู่อวิ๋นจิ่น “ท่านพี่ ข้าไปคิดมาแล้ว เื่ราวก่อนนี้เป็ข้าเองที่ผิด ข้าอยากจะขอโทษท่าน ท่านเป็คนจิตใจดี ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นไม่รู้จะอาเจียนกับคำพูดของมู่หลิงจูเช่นไรดี เพียงแค่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เหตุใดถึงได้เล่นละครเก่งกาจยิ่งนัก!
แม้ว่านางจะคิดเช่นนั้น ทว่ายังคงร่วมแสดงบทละครของมู่หลิงจูต่อ นางเอื้อมมือไปจับมือของมู่หลิงจูมากอบกุมเอาไว้
“เ้ากับข้าเป็พี่น้องร่วมสายเืเดียวกัน ข้าจะไปถือโทษโกรธเ้าได้เยี่ยงไรเล่า”
“ขอบน้ำใจท่านพี่ยิ่งนักที่ไม่ถือโทษโกรธข้า” มู่หลิงจูตอบมู่อวิ๋นจิ่นด้วยรอยยิ้ม
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า มือเอื้อมไปเปิดผ้าม่านของรถม้าพลางมองออกไปด้านนอก ในเวลานี้รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านเมืองเตี๋ยฮวา มุ่งหน้าขึ้นทางเหนือและไม่มีท่าทีว่าจะหยุด “น้องสี่ สถานที่จัดงานประชันกลอนที่ว่า อยู่ที่ใดงั้นหรือ?”
“จัดที่ศาลาสุ่ยซี เขตชานเมืองเ้าค่ะ”
“อืม” แววตาของมู่อวิ๋นจิ่นสั่นไหว จากนั้นก็ลดม่านลงเช่นเดิม
อีกด้านหนึ่ง ภายในโรงน้ำชาิเซียงใจกลางเมือง มีเงาของคนสองคนกำลังพิงบานหน้าต่างของชั้นสอง เฝ้ามองจับจ้องที่รถม้าทำจากไม้จันทร์สีแดง ซึ่งเพิ่งจะออกไปห่างไกลเมื่อครู่
“ฝ่าา เมื่อครู่ในรถม้าคันนั้น มิใช่คุณหนูสามสกุลมู่หรอกหรือพะยะค่ะ?” ติงเสี่ยนนึกถึงภาพเมื่อครู่ที่ม่านรถม้าเปิดขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปพูดกับฉู่ลี่ในชุดอันงดงามราวกับหยกขาว
ดวงตาของฉูลี่ยังคงมองตามรถม้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆ พลันนึกถึงใบหน้าที่คุ้นเคย ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจมากนัก “มุ่งหน้าขึ้นเหนือ คือที่ไหน?”
“ทางทิศเหนือเป็เส้นทางมุ่งไปยังเขตชานเมือง เป็ส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของเมืองเตี๋ยฮวาพะยะค่ะ” ติงเสี่ยนกล่าว
ฉู่ลี่พยักหน้าแต่ไม่ได้พูดต่อ
…
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่บนรถม้า ไม่รู้ว่านานเท่าใด จนกระทั่งรถม้าค่อย ๆ ชะลอหยุดลง เสียงของหงเซี่ยซึ่งก่นด่าคนขับรถดังก้องอยู่ด้านนอก...
“เ้ามันไร้ประโยชน์ มาทำงานได้เยี่ยงไร แม้แต่เส้นทางก็ไม่รู้!”
“แม่นางหงเซี่ย ขอโทษด้วยขอรับ ข้าไปผิดทาง ไปทางเส้นรองเสียได้ ข้าจะกลับไปอีกทางแล้วกัน” คนขับพร่ำคำขอโทษขอโพย
มู่หลิงจูยกผ้าม่านขึ้น ก่อนขะขมวดคิ้วแน่นมองออกไปหาหงเซี่ยที่ด้านนอก “เกิดอันใดขึ้น?”
“เรียนคุณหนูสี่ คนขับรถพามาผิดทางเ้าค่ะ ทำให้เราเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์” หงเซี่ยกระทืบเท้า
มู่หลิงจูได้ฟังก็หันกลับมา ยิ้มและเอ่ยกับมู่อวิ๋นจิ่น “มาผิดทางน่ะเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็กลับไปทางเดิมสิ หากไม่ทันงานประชันขันกลอนของเ้าจะแย่เอา” มู่อวิ๋นจิ่นกระตุกยิ้ม “มีด” ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนาง ใกล้จะได้ออกโรงแล้วสินะ
วินาทีต่อมา เป็ไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ ภายนอกปรากฏเสียงฝีเท้าของม้า ทันทีหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องของหงเซี่ยก็ดังขึ้นจากภายนอก
“ฮ่าฮ่าฮ่า วันนี้โชคดีชะมัด มาบังเอิญเจอกับรถม้าไม้จันทน์แดงเช่นนี้ ต้องมีสมบัติล้ำค่ามากมายอยู่ในนั้นเป็แน่!”
เมื่อได้ยินนำเสียงที่หยาบคายนี้ มู่หลิงจูก็ถอยครูดด้วยความใ และพูดอย่างประหม่ากับมู่อวิ๋นจิ่น “ท่านพี่ ดูเหมือนเราจะเจอโจรเข้าเสียแล้ว เราควรทำเยี่ยงไรดี?”
มู่อวิ๋นจิ่นไม่แม้แต่จะลืมตา ในใจสบถคำออกมาสารพัด ‘โจรที่ว่านี่ก็เ้าเป็คนจัดเตรียมมามิใช่หรอกหรือ? เสแสร้งอันใดอยู่ได้!’
“แม่สาวน้อยนางนี้หน้าไม่เลว เอากลับไปฝากพี่น้องเราให้สำราญกันเถอะ” ภายนอกรถ เสียงกรีดร้องของหงเซี่ยและเสียงหัวเราะของพวกโจรก็ดังขึ้นอีกครา
มู่อวิ๋นจิ่นเมื่อเห็นฉากนี้ ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ ตรงข้ามกับมู่หลิงจูที่ซุกตัวอยู่ด้านข้างอย่างตื่นตระหนก ราวกับว่าโจรเหล่านี้เป็นางที่เรียกมาเสียเองก็ไม่ปาน
ขณะที่ครุ่นคิด ผ้าม่านของรถม้าก็ถูกดึงเปิดออกทันที และจากนั้นก็ได้ยินเสียงะโลั่น “พี่ใหญ่ ที่นี่ยังมีสาวงามสูงส่งอยู่อีกสองคนด้วย!”
“เร็วเข้า รีบลงมาให้พี่ใหญ่ของข้าเชยชมเสียสิ” ขณะที่พูดอยู่ มู่อวิ๋นจิ่นและมู่หลิงจูก็ถูกพาลงมาจากรถม้า
หลังจากนั่งอยู่ในรถม้าเป็เวลานาน เมื่อได้ลงจากรถม้า รูม่านตาของมู่อวิ๋นจิ่นกระทบกับแสงสว่างสาดส่องจากภายนอก พลันรู้สึกแสบตาเล็กน้อย นางขยี้ตาแล้วมองไปรอบทิศ
ก่อนจะถอนหายใจอีกครา คราวนี้มู่หลิงจูช่างเขียนบทได้ดีเสียจริง หาคนมานับสิบ ๆ คนเพื่อมาจัดการนางแค่คนเดียว