“เ้าอยากจะถามอะไร”
หลิวเฉิงเฟิงทบทวนความคิดและพูดว่า “เ้ารู้ไหมว่าท่านแม่ของเ้าชอบดื่มชาหญ้าหนิงกู่” จิ่งเอ๋อร์พยักหน้า
“ปกติเ้าเป็คนชงชานี้ให้นางหรือ”
คนฟังพยักหน้าอีกครั้ง แต่แล้วก็ส่ายหัว “ไม่ได้ทำเป็ประจำ แค่บางคราวเท่านั้น และทุกครั้งที่เทน้ำชา ข้าไม่ได้แตะต้องหญ้าหนิงกู่ ท่านแม่ไม่เคยให้ข้ายุ่งกับเื่นี้”
“แปลกจริงๆ” หลิ่วเฉิงเฟิงรู้สึกงุนงง “นางจะทำให้ตนถึงแก่ความตายโดยไม่คำนึงถึงเื่นี้เชียวหรือ”
“เป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
จิ่งเอ๋อร์และเหยาเยวี่ยตอบพร้อมกันว่า “ท่านแม่หวงแหนชีวิตยิ่งนัก แล้วจะไม่ระมัดระวังเช่นนี้ได้อย่างไร บางที...”
“บางทีอะไรหรือ”
เหยาเยวี่ยคาดเดาและเอ่ยว่า “ในงานประกวดดอกไม้งามประจำปีเมื่อคืน สตรีที่เพิ่งเข้ามาสองสามคนเรียกแเื่มาพบท่านแม่ไม่น้อย โดยเฉพาะหญิงสาวที่มีนามว่าลั่วจิ่วเอ๋อร์ นางถูกคุณชายรองตระกูลอวิ๋นไถ่ตัวออกไปทันทีที่ปรากฏตัว ค่าไถ่นั้นเยอะมาก แม้ท่านแม่จะเก็บไว้ใช้ชั่วชีวิตก็อาจใช้ไม่หมด บางทีนางอาจจะมีความสุขมากจนนอนไม่หลับ จึงเผลอใส่หญ้าหนิงกู่มากกว่าปกติ”
เื่นี้ฟังดูเป็ไปไม่ได้ หลิ่วเฉิงเฟิงมองไปรอบห้องซึ่งดูปลอดภัยไม่มีสิ่งใดผิดปกติหรือน่าสงสัย เห็นได้ว่าคำพูดของแม่นางเหยาเยวี่ยดูจะสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
เมื่อถึงเวลาอันสมควร เหยาเยวี่ยก็เดินมาส่งหลิ่วไป๋เจ๋อและคนอื่นๆ ดูเหมือนนางจะมีสิ่งที่อยากพูดแต่ก็ไม่กล้าจึงไม่ได้เอ่ยออกมา
“แม่นางเหยาเยวี่ย มีอะไรอีกไหม”
เหยาเยวี่ยเหลือบมองหลิวเฉิงเฟิงและท่านหมอ หลิ่วไป๋เจ๋อพลันเข้าใจและบอกกับทั้งสองคนว่า “เฉิงเฟิง เ้าพาท่านหมอกลับไปก่อน"
เฉิงเฟิงเหลือบมองจิ่งเอ๋อร์ที่ติดตามเหยาเยวี่ยมา เขาอยากจะวิ่งไปบอกนางว่า ‘ข้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด’ แต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาจ้องมองอยู่ ก็รีบหันหลังวิ่งกลับไปทันที
หลิ่วเฉิงเฟิงพูดไม่ออก ทำได้เพียงจากไปพร้อมกับท่านหมอด้วยสีหน้าหดหู่ เขายังคงบ่นในใจว่าจะไม่มายังสถานที่เช่นนี้อีก น่าเศร้ายิ่งนัก!
วันนี้เป็วันที่ไร้แสงแดด ท้องฟ้า้าถูกบดบังด้วยเมฆดำมืดหลายชั้น เหมือนว่าเร็วๆ นี้จะมีฝนตกหนัก
คนทั้งสองยืนอยู่ใต้ต้นหลิวริมถนน หลิ่วไป๋เจ๋อหันหน้าไปทางูเาชุ่ยอวิ๋น สีหน้าไม่แยแสต่อสิ่งใด เหยาเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังหุบๆ อ้าๆ ปากแต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามอย่างไรดี
“แม่นางเหยาเยวี่ย เ้าอยากถามเกี่ยวกับคุณชายรองอูใช่ไหม”
“ใช่!” เหยาเยวี่ยยอมรับอย่างกล้าหาญ ในเมื่อหลิ่วไป๋เจ๋อเดาถูกแล้วว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วไป๋เจ๋อพูดอะไรไม่ออก เื่ที่เขาและอูิโยวพูดคุยหยอกเย้ากันบนูเาชุ่ยอวิ๋นเมื่อสองสามเดือนก่อนกลายเป็จริงแล้วในวันนี้ เขาได้แต่ยิ้มในใจและเอ่ยว่า
“ไม่ทราบว่าหลังจากนี้แม่นางเหยาเยวี่ยตั้งใจจะทำอย่างไร”
ไม่ว่ากับใครหลิ่วไป๋เจ๋อก็มักจะเ็าและพูดโต้ตอบด้วยเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องนึกถึงว่าเขาจะไปไต่ถามเื่ราวของใคร การเอ่ยถามเมื่อครู่นี้จึงสร้างความประหลาดใจให้เหยาเยวี่ยเป็อย่างมาก
“หลายปีที่ผ่านมาข้าไร้หนทางอื่น จนต้องมาอยู่ในหอนางโลมเช่นนี้ วันนี้ท่านแม่ตายจาก เหยาเยวี่ยคิดว่าอาจถึงเวลาออกจากดินแดนแห่งดอกไม้ไฟนี้”
หลิ่วไป๋เจ๋อหันกลับมาพูดว่า “แม่นางเหยาเยวี่ย เ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาทางฝั่งิโยวหรือไม่ หากยังยืนกรานในสิ่งที่ใจเ้า้า”
หลังจากทอดสายตามองออกไปไกล เหยาเยวี่ยก็หันกลับมาทางบุตรชายคนโตตระกูลหลิ่ว ผู้ซึ่งสุขุมเยือกเย็นเช่นเขาก็สามารถเอ่ยคำที่ทำให้คนฟังเ็ปเช่นนี้ได้
เขารู้ว่าตนคิดเผื่อไกลเกินไป แต่หลิ่วไป๋เจ๋อไม่เสียใจที่กล่าวออกมา
“แม่นางเหยาเยวี่ย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะก้าวก่าย แค่อยากให้เ้าพิจารณาให้ถ้วนถี่ แม้ว่าเ้าจะมองว่าตนเองบริสุทธิ์ใสซื่อเหมือนเมื่อก่อน แต่ผู้อื่นอาจไม่คิดเช่นนั้น เ้าควบคุมความคิดตัวเองได้ แต่ไม่สามารถบังคับความคิดของผู้อื่น”
เหยาเยวี่ยกัดริมฝีปากแล้วถามว่า “แม้แต่คุณชายหลิ่วก็ยังมองข้าแบบนั้นหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อหันหลังให้อีกฝ่าย “แม่นางถามผิดคนแล้ว ข้าไม่มีความเห็นใดเกี่ยวกับเื่นี้ เื่ราวของหญิงสาวผู้หนึ่งเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร”
ช่างเป็คนที่โหดร้าย เห็นได้ชัดว่าเขากังวลยิ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเฟิ่งเทียน แต่ทำไมถึงไม่ใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์สักนิด เหยาเยวี่ยดีใจที่นางไม่ได้มีใจให้บุรุษผู้นี้ น่าสงสารสาวๆ ที่ชมชอบคนตรงหน้า ทุ่มเทเพียงใดก็อาจไม่ได้รับการตอบกลับจากคนคนนี้
ก่อนจะแยกตัวไป หลิ่วไป๋เจ๋อก็เอ่ยกับเหยาเยวี่ยว่า “เวลานี้อูิโยวอยู่ที่หุบเขาไป่หลิง”
หญิงสาวอยู่ที่ิเยวี่ยฟางมาหลายปี เห็นบุรุษมาก็มากมายหลากหลาย แต่ชายหนุ่มอย่างหลิ่วไป๋เจ๋อนี้ นางไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ ก่อนหน้าเขามักจะกันไม่ให้นางเข้าใกล้อูิโยว เหตุใดยามนี้ถึงบอกนางว่าอูิโยวอยู่ที่ใด
“สิ่งที่แม่นางเลือกไป๋เจ๋อไม่อาจยุ่มย่าม เพียงแต่อยากขอความช่วยเหลือจากแม่นางสักอย่างก็เท่านั้น”
“เื่อันใดหรือ”
“หากจะเดินทางไปยังหุบเขาไป่หลิง ไป๋เจ๋อ้าให้แม่นางหาวิธีการใดก็ได้ ป้องกันไม่ให้อูิโยวออกจากหุบเขาจนกว่าจะผ่านพ้นวันคัดเลือกศิษย์ของสำนักมิ่งเก๋อซึ่งจะเสร็จสิ้นในปีหน้า”
เดิมทีเป็ชายหนุ่มที่มีจิตใจเ็า เหยาเยวี่ยรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างที่แผ่ออกมาจากด้านหลังของเขา
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าคุณชายหลิว้าอะไร แต่ตราบใดที่สิ่งนั้นไม่เป็อันตรายต่อคุณชายอู เหยาเยวี่ยก็จะเห็นด้วย”
“ขอบคุณ”
สิบวันต่อมา ในขณะที่หลิ่วไป๋เจ๋อกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้ให้กับหลิ่วเฉิงเฟิง ได้มีผู้ใต้บัญชาวิ่งเข้ามาเพื่อนำจดหมายมาส่งให้
“คุณชายใหญ่ แม่นางเหยาเยวี่ยจากิเยวี่ยฟางมีจดหมายถึงท่าน”
เมื่อหลิ่วเฉิงเฟิงได้ยินว่ามาจากคนของิเยวี่ยฟางก็หดหู่ใจ นี่ทำให้เขานึกถึงจิ่งเอ๋อร์อีกครั้ง นางคือผู้ที่มองเขาราวกับเป็สัตว์ร้าย
หลิ่วไป๋เจ๋อหยิบจดหมายมา แล้วส่งให้หลิ่วเฉิงเฟิง
“อ่าน”
หลิ่วเฉิงเฟิงเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ให้ข้าอ่านให้ฟังแบบนี้จะดีหรือ หากอีกฝ่ายเขียนความในใจถึงท่าน...”
“ไร้สาระ อ่าน!”
หลังถูกเคาะศีรษะไปหนึ่งที หลิ่วเฉิงเฟิงก็ยอมอ่านแต่โดยดี แต่ไม่วายแอบพึมพำอยู่ในใจว่า ‘ถึงเ้าจะมองไม่เห็น อ่านจดหมายไม่ได้ แต่ปล่อยให้คนอื่นอ่านจดหมายที่หญิงสาวเขียนถึงเ้าเช่นนี้จะดีหรือ?’
พอหลิ่วเฉิงเฟิงอ่านจดหมายจบก็พูดกับหลิ่วไป๋เจ๋อด้วยความประหลาดใจ
“ผู้หญิงคนนี้ช่างมีอำนาจ นางถึงกับยุบิเยวี่ยฟางได้”
หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยถาม “ในจดหมายบอกว่าอย่างไร”
หลิ่วเฉิงเฟิงก้มหน้าดูจดหมาย “ในนี้บอกว่าหลังจากจัดการเื่แม่เล้าแล้ว นางก็แจกจ่ายเงินให้กับหญิงสาวทุกคนในิเยวี่ยฟาง นอกจากนี้ยังคืนใบสัญญาการขายตัวทั้งหมดให้พวกเขา และยุติกิจการ นางยังบอกด้วยว่าเดิมที้ามอบโฉนดของิเยวี่ยฟางให้เ้า แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนมาขอซื้อไปก่อน ส่วนผู้ซื้อคือใครนางไม่อาจรู้ เพราะฝั่งนั้นไม่เผยตัว”
หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง หลิ่วเฉิงเฟิงก็กล่าวต่อ “นางยังบอกอีกว่าจู่ๆ ก็จำอะไรบางอย่างได้ ในคืนที่มีการประกวดดอกไม้งามประจำปี ตอนที่ได้พบกับหญิงสาวนามลั่วจิ่วเอ๋อร์ ขณะนั้นมีบางอย่างที่ผิดสังเกต ทว่านางไม่ได้คิดให้ละเอียดถี่ถ้วน ยามนี้เมื่อพินิจดูถึงรู้ว่ามันแปลก นางบอกว่าตอนนั้นนางเห็นดวงตาของลั่วจิ่วเอ๋อร์มีแสงสีม่วงส่องประกาย แล้วก็หายไปในชั่วพริบตา จึงคิดว่าตนเองอาจจะตาฝาด”
“แสงสีม่วงหรือ” หลิ่วไป๋เจ๋อพลันมีท่าทีเคร่งขรึม ไม่ว่านางจะตาฟาดหรือไม่ แต่เมื่อกล่าวถึงแล้วเขาก็จำต้องไปตรวจสอบ ทว่าลั่วจิ่วเอ๋อร์อยู่ในคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานแล้ว การจะเข้าไปตรวจสอบคนผู้นี้อย่างละเอียดคงไม่ใช่เื่ง่าย และเขาก็ไม่รู้ว่านางใช้กลอุบายใดในการทำให้ฟูเหรินรองตัดสินใจเก็บนางเอาไว้ เพราะนี่ถือเป็สิ่งที่ทำให้ฝั่งนั้นขายหน้าเป็อย่างมาก ไม่รู้ว่าหากผู้นำตระกูลหลานอย่างอวิ๋นหลานเฟิงกลับมา เขาจะจัดการเื่นี้อย่างไร
หลิ่วไป๋เจ๋อถามน้องชายว่า “ในนั้นกล่าวอะไรอีกไหม”
หลิ่วเฉิงเฟิงตอบ “แม่นางเหยาเยวี่ยบอกว่า นางจะออกจากเมืองหลวงเฟิ่งเทียนพร้อมทั้งพาเด็กสาวคนสนิทและจิ่งเอ๋อร์เดินทางไปยังหุบเขาไป่หลิง”
สุดท้ายนางก็เลือกเส้นทางนี้ หลิ่วไป๋เจ๋อก็หวังว่าอีกฝ่ายจะทำในสิ่งที่สัญญากับเขาได้ ไม่ว่าจะต้องทำอย่าง แม้อาจรวมไปถึงการพลีชีพก็ตาม
…
ค่ำคืนอันมืดมิด ทุกสรรพสิ่งในหุบเขาไป่หลิงเงียบสงบ เรือนหลังหนึ่งยังคงมีแสงสว่างจากเปลวเทียนพลิ้วไหวอยู่ภายใน บ่งบอกว่าคนในห้องยังไม่หลับ
อูิโยวนั่งขัดสมาธิบนเตียง ด้านหน้ามีหนังสือลับสีเหลืองวางอยู่ เขาหลับตา รอบร่างโอบล้อมด้วยรัศมีสีเขียวเข้ม ครู่ต่อมาเหงื่อก็เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผาก คิ้วพลันขมวดแน่น สีหน้าเ็ปแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขารู้สึกเช่นไร
“ยังแย่กว่านิดหน่อย อูิโยว ยังแย่กว่านั้นอีกนิดหน่อย…” เขายืนกรานอยู่ในใจ แต่ความเ็ปเฉียบพลันในทรวงอกได้หยุดยั้งความตั้งใจของเขาเสียก่อน กลิ่นหอมหวานพลันโชยออกมาจากอกและพุ่งตรงไปที่ฟัน
อั้ก! เืกระอักออกมาจากปาก ร่างกายของเขาชุ่มโชก เืสีแดงฉานซึมหายเข้าไปในชุดสีดำ เขาชอบสีดำก็เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าร่างกายจะมีกี่รอยโลหิต คนอื่นก็มองไม่เห็น
อูิโยวคุ้นเคยกับสิ่งนี้แล้ว เขายกมือเช็ดคราบเืที่มุมปากและดูหนังสือลับตรงหน้าต่อไป
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงติดอยู่ตรงนี้ทุกครั้งนะ” อูิโยวรู้สึกสับสนและหงุดหงิดใจเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะเบาๆ ด้านนอกหน้าต่าง อูิโยวลุกขึ้นเดินไปเปิดบานหน้าต่างทันที อิ๋นซิงจึงบินเข้ามา จะงอยปากก็คาบผลไม้เรืองแสงสีแดงไว้ด้วย
อูิโยวหยิบผลไม้นั้นออกจากปากของอิ๋นซิงและลูบขนสีเงินพร้อมรอยยิ้ม “อิ๋นซิง ขอบใจเ้ามาก ขอบใจที่คอยช่วยเหลือ มิเช่นนั้นหากท่านแม่และคนอื่นๆ รู้ถึงอาการาเ็นี้ล่ะก็ข้าต้องตายแน่ๆ !”
อิ๋นซิงเกาะอยู่บนไหล่ของอูิโยว ถูไถหัวกลมไปที่แก้มเขาแล้วส่งเสียงร้องออกมาสองครั้ง
อูิโยวยิ้มและพูดว่า “ขอบใจเ้ามาก ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ขีดจำกัดของตนเองดี”
เมื่อนำผลไม้สีแดงเข้าปากก็รับรู้ได้ถึงรสนมที่ขมปร่า แต่อูิโยวกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด หลังจากกินเข้าไปแล้ว เขาก็เลียริมฝีปากและพูดกับตัวเองว่า “ข้าอยากกินผลขู่เล่อ ไม่รู้ว่าเมล็ดทั้งสองที่ปลูกเอาไว้ทีู่เาชุ่ยอวิ๋นจะงอกเป็ต้นกล้าหรือยัง ไป๋เจ๋อได้ไปดูแลบ้างหรือเปล่า”
ค่ำคืนมืดมิดราวกับสีของน้ำหมึก ดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าไกลเกินเอื้อมถึง บนหน้าผาของูเาชุ่ยอวิ๋นมองเห็นชุดสีขาวราวกับหิมะพลิ้วไหวในสายลมยามราตรี ในมือของหลิ่วไป๋เจ๋อถือขลุ่ยดินเผา ขับกล่อมเป็เสียงบรรเลงทุ้มต่ำ ไม่ไกลจากด้านหลัง มีต้นกล้าเล็กๆ สองต้นขนาดเท่านิ้วหัวแม่มืองอกงามเคียงข้างกัน ใบไม้เขียวขจีเปล่งประกายระยิบระยับ
สายลมยามค่ำคืนหยุดพัดกะทันหัน เหลือเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่ดังก้อง บรรยากาศช่างเงียบสงัดยิ่งนัก
“มาแล้วหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อหันกลับไป ไม่ไกลจากตรงนั้นมีชายสวมชุดสีดำคล่องตัว ใบหน้ามีหน้ากากสีดำปกปิดอยู่
“ข้าขอชื่นชม สมกับเป็บุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วจริงๆ หลิ่วไป๋เจ๋อ แม้แต่ฝีเท้าไร้เสียงของิซิ่นถังก็ไม่สามารถรอดหูของคุณชายหลิ่วไปได้”
หลิ่วไป๋เจ๋อโยนห่อผ้าสีน้ำตาลใส่มือของชายคนนั้น
“บอกนายของเ้าว่าข้าให้เวลาแค่เจ็ดวันเท่านั้น หลังจากเจ็ดวัน ข้าจะมารอฟังข่าวที่นี่!”
—-------------------------------
