เพื่อคลายความน่าอึดอัดใจ อี้จื่ออีจึงรีบถาม “ฉิงชางจวิน...นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านพบเจออะไรในจวนของอัครเสนาบดี?”
เจียงเฉิงเยว่จะสามารถเรียบเรียงถ้อยคำอธิบายได้อย่างไร แม้แต่ศีรษะยังไม่กล้ายกขึ้น เขาพึมพำอย่างไม่ชัดเจนสองครั้ง
ผ่านไปเป็เวลานาน แสงรัศมีจางๆ สว่างวาบ เจียงเฉิงเยว่ราวกับถูกลมพัดแ่เบา อารมณ์พลันแจ่มใสขึ้น เขาเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ จึงพบว่าหลี่อวิ๋นหังฟื้นคืนสติจากความตะลึงแล้ว กำลังลุกขึ้นนั่ง จากนั้นร่ายค่ายใจบริสุทธิ์เพื่อช่วยเขาชะล้างความปรารถนาที่เกิดจากกามารมณ์
ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่ยังคงร้อนจัดจนแทบเป็ควัน ผ่านไปนานจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองต้องพูดอะไรสักอย่าง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน “ขอบ ขอบคุณ” จากนั้นเงียบไปก่อนถาม “พวกท่าน...พวกท่าน...พบที่แห่งนี้ได้อย่างไร?”
ในที่สุดบรรยากาศถึงกลับมาเป็ปกติเล็กน้อย ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการกำจัดความน่าอึดอัดใจ อี้จื่ออีกับไป้เอ๋อร์อธิบายด้วยความกระตือรือร้นเกินจริง ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไป้เอ๋อร์บอก “ท่านอาจารย์ พี่ชายคนรวยที่เลี้ยงข้าวพวกเราก่อนหน้านั้นบอกว่าถึงเวลานัดแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แล้วท่านอาจารย์ก็หายไป เขาจึงมอบข้าให้พี่ชายเทพเซียนท่านนี้ พี่ชายเทพเซียนถามว่าอาจารย์ข้าอยู่ที่ไหน...ข้าก็ไม่รู้ ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่กับอาจารย์ที่นี่ อย่างไรย่อมรู้จักเพียงพี่อี้เท่านั้น”
เจียงเฉิงเยว่หายใจไม่ออก
อี้จื่ออีกล่าวต่ออย่างเบิกบานใจ “ฉิงชางจวิน! เป็ข้าจริง เป็ข้าจริงที่มีวาสนาซึ่งบ่มเพาะมาหลายชั่วอายุคน! เป็ข้าจริง!” เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นจนพูดไม่ต่อเนื่องของอีกฝ่ายแล้ว คิดว่าตัวตนของหลี่อวิ๋นหังเป็อย่างไรคงทราบ อี้จื่ออีที่รู้สึกตื่นเต้นพลันนึกถึงธุระขึ้นมาได้ เขารีบกล่าว “จักรพรรดิอู่เสด็จมาพบ ข้าก็...สารภาพทุกอย่างไป ทั้งเห็นว่าฉิงชางจวินไปที่จวนของอัครเสนาบดีแล้วไม่กลับมา จึงไปหาท่านแต่กลับไม่พบ ข้าถึงรับรู้ได้ว่าอาจตกอยู่ในอันตราย ซ่างเซียนจึงตั้งค่ายกลทรงพลังเพื่อเรียกท่าน”
ที่แท้เป็เช่นนี้
อี้จื่ออีคิดอะไรออกอีกครั้งจึงถาม “ฉิงชางจวิน...ท่านพบเจออันตรายอะไรในจวนอัครเสนาบดีหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงเล่าเื่ก่อนหน้านี้โดยย่อให้พวกเขาฟัง แน่นอนว่าไม่ได้พูดถึงอะไรที่เขาเห็นอย่างหลี่อวิ๋นหังที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในภาพมายาแห่งตัณหา
อี้จื่ออีทุบฝ่ามือด้วยความขุ่นเคืองกับความไม่เป็ธรรมนี้ เอ่ยอย่างคาดเดา “ตามที่ฉิงชางจวินบอก...สิ่งที่ท่านพบ...เป็ไปได้อย่างยิ่งว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลสวินซีบนเขาปี้ชื่อของเผ่าปีศาจ แม้ว่าจะเป็ตระกูลเล็กแต่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ว่ากันว่าแท้จริงแล้วพวกเขาคือปีศาจผีเสื้อ แม้ว่าเป็เผ่าปีศาจแต่ใช้พลังิญญาสร้างภาพมายาได้อย่างชำนาญ เขาปี้ชื่อนั้นอยู่ใกล้กับเทือกเขาคุนหลุน เผ่าปีศาจนี้เป็หนึ่งในเผ่าปีศาจที่พึ่งพาพลังิญญาของกระจกคุนหลุน...เพียงแต่พวกเขาออกจากเขาน้อยมาก ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกจัดให้อยู่ในจวนของอัครเสนาบดี แล้วใครจะมีกำลังพอที่จะอยู่เื้ัในการบงการพวกเขาได้กัน?”
เจียงเฉิงเยว่เองก็ไม่อาจรู้ เขาเงียบไป
อี้จื่ออีเอ่ยต่อ “ฉิงชางจวิน หากเป็เช่นนี้ หรือว่าท่านไม่ได้เห็นอัครเสนาบดีผู้นั้นออกมาจากอ่างอาบน้ำอย่างที่้า...”
“แค่กๆๆๆ !” เจียงเฉิงเยว่ไอจนหน้าและหูแดงไปชั่วครู่
อี้จื่ออีเองก็เป็คนฉลาดจึงหยุดพูดโดยพลัน
เจียงเฉิงเยว่ชำเลืองมองหลี่อวิ๋นหังอย่างระมัดระวัง กลับเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาเช่นกัน ทั้งสองคนสบตากัน จากนั้นอีกฝ่ายผินหน้าออกไปด้วยสีหน้าเ็า เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่หัวใจจะจมดิ่ง...แย่แล้ว ร่างเสด็จพี่ของเขาแต่กลับไปทำเื่ไร้สาระเช่นนี้ คงไม่ทำให้ซ่างเซียนผู้นี้ไม่พอใจใช่หรือไม่?
เขากำลังพึมพำจากก้นบึ้งของหัวใจ กลับได้ยินหลี่อวิ๋นหังกล่าวด้วยความถ่อมตนอย่างคาดไม่ถึง “บนตัวของเขา ไม่มีตราคำสาปของคำสาปร้อยผีกลืนใจ”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของหลี่อวิ๋นหังเรียบเฉย ดูไม่มีท่าทีตำหนิจึงรู้สึกยินดีอย่างควบคุมไม่ได้ รีบกล่าวต่อไม่ให้เสียเวลา “ซ่างเซียน...ทราบได้อย่างไร?”
ครั้งนี้เป็อี้จื่ออีตอบแทนหลี่อวิ๋นหัง เขาหัวเราะเสียงดัง “ฉิงชางจวิน ที่จริงแล้ว...ไม่จำเป็ต้องเห็นด้วยตนเอง หากหาคนที่ใกล้ชิดกับเขามากพอและสามารถรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดพูดโกหก...แค่ถามย่อมรู้”
เจียงเฉิงเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ “ต้องไปหาที่ใดหรือ?”
อี้จื่ออีระบายยิ้ม “ฉิงชางจวิน อันที่จริง ยามที่เตรียมจะไปจวนอัครเสนาบดีเพื่อช่วยท่าน กลับช่วยคนผู้หนึ่งได้ก่อนอย่างเหนือความคาดหมาย”
เขายังไม่ทันพูดจบ เจียงเฉิงเยว่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างบริเวณหญ้าที่อยู่ข้างกาย จากความมืดมิดในป่ากลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมาช้าๆ ดวงตากลมโตราวกับลูกเหง ริมฝีปากสีแดงเชอร์รี่...คราวนี้ เขาที่ไม่ได้ถูกค่ายกลปิดกั้นการรับกลิ่นจึงได้กลิ่นหยางเดิมกับกลิ่นอายมนุษย์ที่เป็ของมนุษย์ธรรมดาบนตัวอีกฝ่ายอย่างเฉียบคม
ใบหน้าของหญิงสาวซีดเซียว ดวงตาทั้งคู่แดงและยังคลอไปด้วยน้ำตา ราวกับว่าประสบความทุกข์ยากที่ไม่อาจจินตนาการได้ นางเดินไปตรงหน้าเจียงเฉิงเยว่ ย่อตัวให้อย่างมีมารยาท เอ่ยเรียกอย่างน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย “เซียนจวิน...”
เจียงเฉิงเยว่ยืนขึ้นในทันที ก่อนร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ฮูหยินชี?!”
.............................
ในวันพระราชพิธีหมื่นพรรษา อัครเสนาบดีหลิวเป็ประธานในพิธีเซ่นไหว้ด้วยตนเอง กลุ่มคนจากสำนักเต๋าที่เหลืออยู่นั้นไม่ทันเคลื่อนไหว จึงเฉลิมฉลองพระราชพิธีหมื่นพรรษาร่วมกับตระกูลหลิว
ภายใต้แสงจันทร์ อัครเสนาบดีหลิวนำกลุ่มคนไปในลานกว้างของจวนสกุลหลิวเพื่อรอจุดธูปและก้มกราบบูชา
ไม่เสียทีที่เขาเป็อัครเสนาบดีมาหลายปี ถึงได้คุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้
หลังจากพิธีเสร็จสิ้น อัครเสนาบดีหลิวเตรียมสุราที่เจือจางไว้เป็พิเศษ จากนั้นสั่งให้คนรับใช้ในจวนมอบให้ถึงมือของนักพรตสำนักเต๋าที่อยู่ในที่แห่งนี่ ต่างยกดื่มอย่างเคารพซึ่งกันและกันอยู่ไม่ไกล แล้วกล่าวขอบคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ สุดท้ายเอ่ยอย่างจริงจัง “หลิวรู้สึกซาบซึ้งที่ทุกท่านช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ความเมตตานี้จะไม่มีวันลืม”
เมื่อกลุ่มคนได้ยินดังนั้นจึงทยอยตอบ
“อัครเสนาบดีหลิวกล่าวเกินไปแล้ว”
“คำสาปชั่วร้ายเช่นนี้ขัดต่อกฎ์ จึงไม่มีเหตุผลที่จะนิ่งดูดาย”
ไป๋เจ๋อจวินกับหนีรั่วหลียืนในตำแหน่งแรก อัครเสนาบดีหลิวจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะขอบคุณสองคนนี้อีกครั้ง
“ไป๋เจ๋อจวิน นักพรตหนี...ได้ยินว่าพวกท่านทั้งสองเตรียมที่จะกลับพรุ่งนี้หรือ?”
หนีรั่วหลีพยักหน้า
ไป๋เจ๋อจวินยกยิ้ม “สามารถให้เซียนจวินจากแดน์ลงมาได้ อัครเสนาบดีย่อมพักผ่อนได้อย่างไร้กังวลแล้ว”
อัครเสนาบดีประสานมือตอบ “บุญคุณของทั้งสองท่านยิ่งใหญ่จนไม่อาจขอบคุณได้หมด หลิวจะจดจำสลักไว้ในหัวใจ”
หนีรั่วหลีตรงไปตรงมา พูดอย่างเ็า “อัครเสนาบดีเกรงใจแล้ว ความเป็จริงพวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย เป็าาผีจากแดนเหนือที่ก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไป จึงดึงดูดให้์ทนเขาไม่ได้กระทั่งปรากฏตัวออกมา!”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความสามัคคีและยินดี อัครเสนาบดีหลิวยิ้มอวยพรแก่ทุกคน จากนั้นหันกลับไปที่ลานด้านในเพื่อเตรียมดำเนินการเื่เล็กน้อยในการเซ่นไหว้ต่อไป ทิ้งให้ชาวสำนักเต๋าที่พูดคุยกันอยู่เตรียมทยอยกันแยกย้ายออกเดินทาง
ขณะที่ทุกคนเดินล้วนสนทนากันอย่างครึกครื้น “ไม่รู้ว่าเป็เทพเ้าของวังใดที่ลงมายังโลกมนุษย์...”
“น่าเสียดายที่ข่าวคราวจากแดน์ คนธรรมดาอย่างพวกเรายากที่จะได้ยิน”
“ฉิงชางจวินผู้นั้นถูกจับได้อีกครั้งเพราะการกระทำที่ชั่วร้าย เขาอาจได้สลายกลายเป็ขี้เถ้าไปแล้วกระมัง!”
“เขาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเช่นนี้ ควรเป็เช่นนี้นานแล้ว เพื่อทำให้มรรคาแห่ง์ชัดเจนขึ้น”
.............................
อัครเสนาบดีหลิวไม่สนใจพวกเขาอีก เตรียมการเซ่นไหว้บริเวณลานด้านใน เขาถือถาดด้วยตนเองพลันรู้สึกคันที่ลำคออย่างไม่มีเหตุผล ในมือที่ถือสิ่งของอยู่ไม่สะดวกเล็กน้อยจึงยักไหล่แล้วเอียงศีรษะเพื่อถูเบาๆ
หลังจากบูชาแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อใส่เครื่องบูชาอย่างเชื่องช้า อาการคันนั้นยังไม่ทุเลาลง เขาเริ่มเกาไปตามเสื้อผ้า
อาการคันที่ลำคอยิ่งรุนแรงขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพลางอดทน สุดท้ายแล้วด้านหลังยังมีเหล่าคนทุกวัยที่พำนักในจวน ขณะนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขา จึงเป็เื่ยากที่จะยื่นมือออกไปโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์
หลังจากที่เขาถวายเสร็จอย่างยากลำบาก เดิมทีเขาควรต้องพูดกำชับผู้คนด้านล่าง ทว่าขณะนี้อาการคันที่มากขึ้นทำให้เขาไม่สนใจ จึงกล่าวสองประโยคเพื่อให้ทุกคนแยกย้าย
เมื่อไปยังสถานที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะจับปกเสื้อของตนเองแน่น ถูแรงๆ ที่กระดูกไหปลาร้าด้านซ้าย สุดท้ายจึงบรรเทาอาการคันที่ทำให้ทรมานจนแทบคลั่งได้เล็กน้อย เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เรียกพ่อบ้านที่อยู่ข้างกายมาก่อนเอ่ยด้วยความโกรธ “ลากผู้รับผิดชอบการรีดกับซักเสื้อผ้าออกไปโบยให้ตายเสีย!” ขณะที่เอ่ยก็คลายปกเสื้อเปิดออกจนกว้าง แล้วยื่นมือไปเการาวกับจะขาดใจพร้อมเอ่ยกับพ่อบ้าน “ดูให้ข้าทีสิ มีผื่นจากการซักเสื้อผ้าไม่สะอาดหรือไม่?!”
พ่อบ้านยิ้มแล้วตอบกลับ “ขอรับ ขอรับ” ด้วยแสงไฟสลัวในที่เปลี่ยวยามค่ำคืน พ่อบ้านจึงต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ทันใดนั้นเขากลับตกตะลึง ใบหน้าขาวซีด ดวงตาเบิกกว้างมองด้วยความหวาดผวา น้ำเสียงเปลี่ยนไปด้วยความใ “นาย นายท่าน นี่...”
หัวใจของอัครเสนาบดีหลิวพลันกระตุก จากนั้นก้มศีรษะมองตามสายตาของอีกฝ่ายลงไปที่กระดูกไหปลาร้าของตนเองด้วยความลำบาก ซึ่งปรากฏแผลเป็สีดำที่แปลกประหลาดกระจายอยู่บนิั
กลุ่มนักพรตเต๋าที่กำลังหัวเราะพูดคุย เตรียมแยกย้ายกันออกจากลานบ้านของอัครเสนาบดี ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากลานด้านใน คนทั้งหมดใสะดุ้ง ราวกับว่าถูกร่ายเคล็ดวิชาหยุดนิ่งเอาไว้ ต่างสบตากันอย่างงุนงง
เสียงนี้...เป็ของอัครเสนาบดีที่เพิ่งแยกออกไปเมื่อครู่แน่นอน!
เมื่อเอียงตัวเล็กน้อยราวกับมีสายลมพัด ร่างอวบอ้วนของอัครเสนาบดีที่เดินคล้ายกับบินมาอย่างล้มลุกคลุกคลานโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ เหมือนว่าด้านหลังมีฝูงหมาป่าที่หิวโหยไล่ตามมา เขาน้ำตาคลอเบ้า ะโออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “ไป๋เจ๋อจวิน...ปรมาจารย์ทุกท่าน! อา! นักพรตหนี! ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!” เมื่อเขาคว้าใครได้ก็เรียกคนนั้น เท้าอ่อนแรงจนแทบจะกลิ้ง หลังจากคว้าหนีรั่วหลีที่อยู่ใกล้เขาที่สุด เสียง ‘ตุ้บ’ ดังขึ้น อัครเสนาบดีคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง
แม้แต่ใบหน้าที่เคร่งขรึมและเ็าของหนีรั่วหลีที่เกือบไม่เผยอารมณ์ใดยังตกตะลึง
ภายหลังทุกคนเห็นว่าเกิดเื่แล้วจึงรีบเข้ามารายล้อม
ไป๋เจ๋อจวินรีบมาอยู่ด้านข้างของอัครเสนาบดี ก่อนประคองอีกฝ่ายขึ้นมา “ท่านอัครเสนาบดี! มีเื่อะไรที่อยากจะพูด...เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
อัครเสนาบดีหลิวถูกไป๋เจ๋อจวินฉวีซูประคองขึ้นมา ทว่าทั้งร่างสั่นราวกับตะแกรงร่อน ไม่นึกเลยว่าจะไม่อาจพูดได้อย่างสมบูรณ์ เขาปลดเข็มขัดออกอย่างตัวสั่นงันงก ทุกคนพลันตกตะลึง จ้องเขาตาไม่กระพริบเมื่อเห็นว่าเขาตื่นตระหนกจนกางเกงแทบหลุด แต่บางคนคิดว่าไม่ค่อยเหมาะสมจึงหันหนีไปด้านข้าง อัครเสนาบดีกลับไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง หลังจากถอดเข็มขัดแล้วดึงออก เปิดเสื้อผ้าออกทั้งหมด เผยให้เห็นรอยแผลเป็สีดำขนาดใหญ่ที่ยังคงกระจายออกทีละนิดจากลำคอไปจนถึงไหปลาร้า ไล้ไปจนถึงหน้าอก
ทุกคนอ้าปากค้างในทันที ใช้เวลานานกว่าจะมีใครตอบสนอง กลับเป็หนีอิ๋นเสวี่ยศิษย์น้องเล็กของหนีรั่วหลีที่ะโออกมาเป็คนแรก “ตราคำสาปร้อยผีกลืนใจ?!”
ทุกคนเงียบงัน
“ช่วย...ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!!” อัครเสนาบดีหลิวร้อนใจ เขารั้งหนีรั่วหลีอย่างไม่อาจสงบใจ ฝ่ามืออีกข้างคว้าไป๋เจ๋อจวินฉวีซู ราวกับคนจมน้ำที่้าจะคว้าทุกสิ่งทุกอย่างในมือแต่ไม่สามารถทำได้ “ช่วยด้วย! ไป๋เจ๋อจวิน! พวกท่าน...พวกท่านออกไปไม่ได้! ยังออกไปไม่ได้!!!”
หนีอิ๋นเสวี่ยอายุยังน้อย เมื่อคิดอะไรได้จึงโพล่งออกมา “ตราคำสาปยังคงเติบโต? ทำไมตราคำสาปถึงเพิ่งเติบโตในเวลานี้?”
ไป๋เจ๋อจวินคว้าที่ข้อมือของอัครเสนาบดีพลางออกแรง อัครเสนาบดีหลิวดูเหมือนจะได้รับการปลอบโยนเล็กน้อยจากท่าทีอันมุ่งมั่นและเฉยเมยของเขาจึงสงบลงบ้าง
ไป๋เจ๋อจวินกล่าว “อัครเสนาบดีวางใจเถิด มีคนจากสำนักเต๋าอยู่ พวกเราตั้งค่ายกลเหล่านี้ในจวนของท่านอีกครั้ง...ก่อนหน้านี้ิญญาชั่วร้ายเ่าั้ไม่สามารถทำร้ายท่านได้ ยามนี้ก็ยังคงทำไม่ได้”
เขายังไม่ทันพูดจบ จุดที่ถูกตั้งค่ายกลเ่าั้บนกำแพงจวนอัครเสนาบดีพลันมีเสียงอิฐกับกระเบื้องที่แตกร้าวจนกระทั่งเกิดเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ทีละชิ้น ก่อนพุ่งเป้ามาที่ใบหน้าเขา
ทุกคนภายนอกจวนของอัครเสนาบดีตกตะลึง ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงของการแตกร้าวอย่างคุกคามชีวิตที่ดังอยู่เรื่อยๆ กำลังค่อยๆ ปะทุขึ้นจนเต็มไปด้วยควันสีดำ พลังหยินชั่วร้ายที่รุนแรงในเมฆควันนั้นทำให้ชาวสำนักเต๋าทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับพลังหยินชั่วร้ายมาเกือบทั้งชีวิตยังอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ ครั้งนี้สถานการณ์รุนแรงยิ่งกว่าก่อนที่เซียนจวินจะลงมายังโลกเสียอีก
“เกิด...เกิดอะไรขึ้น?”
ไม่รู้ว่าใครเปิดปากพูดก่อน แต่น้ำเสียงนั้นกลับสั่นเครือไม่หยุด
“เมื่อเซียนจวินจากแดน์ลงมาบนโลก ไม่ใช่ว่า...ไม่ใช่ว่ากวาดล้างจนเกลี้ยงแล้วหรอกหรือ หรือว่าฉิงชางจวินไปและกลับมา?”
แม้ว่าเวลานี้ อัครเสนาบดีหลิวจะถูกรายล้อมไปด้วยนักพรตเต๋าผู้ทรงพลังไว้ตรงใจกลาง แต่ยังคงใจนิญญาแทบหลุดออกจากร่าง ตับและดีแตกสลาย “ไป๋เจ๋อจวิน ช่วยข้าด้วย...ไป๋เจ๋อจวิน” อัครเสนาบดีหลิวร้องไห้ด้วยความขมขื่นอย่างอับจนหนทาง
ฉวีซูจำเป็ต้องตอบสนอง รีบสั่งการกับชาวสำนักเต๋า “สหายเต๋าทุกท่าน...ทุกคนต่างเป็นักพรตสำนักเต๋า มีความสามารถที่แท้จริงอยู่กับตัว...ฉิงชางจวินหวนกลับมาแล้วอย่างไร? หากคืนนี้เราทุกคนร่วมมือกันจัดการเขาได้ย่อมมีชื่อเสียงดีงามแพร่ออกไป”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตาเป็ประกาย ถูกต้องแล้ว แม้จะเป็าาผีแล้วอย่างไร? สุดท้ายแล้วก็ราวกับสิ่งชั่วร้าย หากร่วมมือกันเพื่อปราบอีกฝ่าย การต่อสู้ครั้งนี้จะโด่งดังไปตราบนานเท่านาน เื่ดีๆ เช่นนี้ใครจะไม่อยากแบ่งน้ำแกงกัน[1] ”
ไป๋เจ๋อจวินฉวีซู “ตั้งค่ายกล!”
เมื่อกล่าวจบ คนกลุ่มแรกสุดที่บินออกไปคือองครักษ์ในชุดคลุมแม่น้ำรั่วภายใต้บังคับบัญชาของไป๋เจ๋อจวิน คนทั้งสิบสองหมุนร่างไปทุกทิศทาง เส้นิญญาในมือวาดเป็วงกลมขนาดใหญ่เพื่อปิดล้อมทุกคนไว้ในวงนี้
ชาวสำนักเต๋าที่เหลือต่างมิได้อยู่เฉย ผู้ที่ต้องเข้าไปในลานของจวนอัครเสนาบดีในวันนี้เป็บุคคลสำคัญในสำนักเต๋าเช่นกัน ไม่ต้องสั่งย่อมรู้ว่าควรร่วมมือกันอย่างไร ต่างช่วยศิษย์ทั้งสิบสองคนโดยใช้พลังทางิญญาเสริมความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลนี้ ่เวลานี้จึงทำให้ ‘กำแพง’ นี้แข็งแกร่งจนไม่สามารถทำลายได้
คนอื่นๆ ที่อยู่ในตำแหน่งปกป้องด้านในค่ายกล ต่างเหินดาบิญญาในมือแล้วบินไปในอากาศ เตรียมพร้อมที่จะบินออกไปฟาดฟันิญญาชั่วร้ายทุกเมื่อ
ด้วยการจู่โจมและการตั้งรับ ทุกคนมุ่งมั่นที่จะไม่แสดงความอ่อนแอต่อหน้าาาผีผู้นี้
เพียงไม่นาน เสียงรองเท้าหุ้มส้นดังตึงตังเข้ามาใกล้เมฆควันที่ล่องลอย ย่างก้าวค่อนข้างเป็จังหวะ กลับเหมือนว่าจะก้าวไปตามจังหวะหัวใจของทุกคนที่ราวกับรัวกลอง พวกเขาอดไม่ได้ที่หัวใจจะกระเด็นขึ้นมาถึงลำคอ
หมอกหนาค่อยๆ กระจายตัวคล้ายกับแหวกเป็ทางออก ร่างเพรียวบางร่างหนึ่งเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ใบหน้าไร้เดียงสาและจิ้มลิ้มราวกับเด็กหนุ่ม มุมปากมีรอยยิ้มที่เผยความหมายไม่ชัดเจน เมื่อเห็นผู้ที่มาแล้ว หัวใจของทุกคนกลับจมดิ่งลงอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง
เป็ไปดังคาด
“ฉิงชางจวิน?!” มีคนะโด้วยความหวาดผวา
------------------------
[1] แบ่งน้ำแกงกัน เป็การอุปมา หมายถึง การแบ่งปัน
