“ฝ่าา ท่านว่าควรทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” อูเสียนอ๋องลุกขึ้นและคำนับให้ชายผู้ยืนหันหน้าไปทางหน้าต่างทิศของแคว้นหนานเยวี่ย เพียงคำว่า ‘ฝ่าา’ คำสองคำนี้ ทำให้รับรู้ถึงฐานะของเขาได้อย่างชัดเจนทันที
‘ฉางหลิงเกอ’ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห่งหนานเยวี่ย!
ฉางหลิงเกอจ้องมองผู้คนบนถนนหนทางข้างล่างที่เดินผ่านไปมา ราวกับไม่ได้ยินคำถามของอูเสียนอ๋อง
เงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศภายในห้องยิ่งดูแปลกประหลาดขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
หญิงสาวในชุดสีแดงร่างระหงที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ครั้นเมียงมองบุรุษด้านข้าง และเห็นว่าเขามิได้้าเอ่ยสิ่งใด สายตานางพลันเบนมองอูเสียนอ๋อง เห็นเพียงความหวาดกลัวอันเลือนรางบนใบหน้าอูเสียนอ๋อง
ยามที่ฮ่องเต้จิ้นผู้นี้ยังคงเป็องค์ชาย เป็ที่รู้โดยทั่วกันว่าเขาคือคนที่เงียบนิ่งผู้หนึ่ง มิมีผู้ได้มองออก อูเสียนอ๋องผู้นี้ทำตัวเองให้อับอายเสียแล้ว!
“ฝ่าาทรงรับสั่งให้อูเสียนอ๋องดูแลเื่นี้ ก็คือฝ่าา้าให้อูเสียนอ๋องเป็ผู้แก้ไขจัดการปัญหา ยามนี้ยังจะมาเอ่ยหาคำตอบอะไรจากฝ่าาอีก หึ…” ฉางหงเยียนหัวเราะเสียงแ่ ยกยิ้มงดงามพราวเสน่ห์ กวาดตามองรอบข้างคล้ายตั้งตารอคอยอย่างมีเสน่ห์
ใบหน้าของอูเสียนอ๋องมืดมน ปรายตาเขม็งมองฉางหงเยียน “องค์หญิงทรงขอพบท่านอ๋องมู่ทุกวัน มิใช่เพราะว่าองค์หญิงเองก็อยากพบเขามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ราวกับถูกเหยียบย่ำตรงจุด สีหน้าของฉางหงเยียนพลันแข็งทื่อ ถอนหายใจเบาบาง ไม่้าเสวนาอะไรกับอูเสียนอ๋องอีก
ในใจฉางหงเยียนเองก็รู้สึกไม่พอใจ ั้แ่วันนั้นหลังจากงานเลี้ยงฉีเฉี่ยว นางสั่งให้คนไปส่งจดหมายอวยพรทักทายที่ตำหนักมู่อ๋อง ทั้งยังสั่งให้คนไปสืบหาร่องรอยที่อยู่ประจำของมู่อ๋องจ้าวอี้เป็การส่วนตัว เป้าหมายคือเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันกับเขาตามลำพัง
ในงานเลี้ยงวันนั้น เหนียนยวี่และอวี่เหวินหรูเยียนหัวเราะยิ้มแย้มจนจบการแข่งขัน ส่วนนางนั้นได้สูญเสียโอกาสไปเสียแล้ว ทว่าหลายวันมานี้ นางนั้นยังคงไร้ซึ่งโอกาสใดๆ ในการเข้าหาเขา
“อย่างไรเสีย จนถึงตอนนี้ไทเฮาที่อยู่ในวังเป่ยฉีผู้นั้นยังคงไร้ซึ่งอำนาจ ประพฤติตนเ็า แม้แต่กับพวกเราก็ยังปฏิบัติใส่อย่างเ็า มาดูคนที่พักอยู่เรือนรับรองฝั่งตะวันออกเสียจะดีกว่า...ทุกวันนี้ที่ถูกเรียกเข้าวังหลวง มิใช่เพราะว่าฮองเฮาอวี่เหวินที่เป็เ้าของวังหลังหรืออย่างไร?” ฉางหงเยียนเอ่ยชัด
คำพูดของฉางหงเยียนเอ่ยชัดตรงจุด
คิ้วของฉางหลิงเกอประหนึ่งพลันผูกปมแน่นขึ้นทันใด ทว่าเขากลับยังคงจ้องผู้คนย่างก้าวบนถนนหนทางอย่างเงียบงันไม่เอ่ยคำใดออกมา
ทันใดนั้น ดวงตาของบุรุษพลันแข็งค้าง ประกายประหลาดบางอย่าง พาดผ่านั์ตาคู่นั้น เพราะความใจจดใจจ่อจ้องไปที่ร่างเขาของฉางหงเยียน ทำให้นางสังเกตเห็นท่าทีผิดแปลกบางอย่างแม้เพียงเล็กน้อย นางจึงเบนสายตาหันมองไปตามทิศทางสายตาของเขา บนถนนหนทางเบื้องล่าง ภาพของคนสองคนบนหลังม้า หนึ่งนำหน้า หนึ่งตามหลัง ภาพที่เห็นนั้นทำให้นางขมวดคิ้ว
“แม่ทัพหลวงแห่งเป่ยฉี?”
นางจำเขาได้ ในตำหนักฉวินฟางวันนั้น แม้แม่ทัพหลวงผู้นี้จะไม่ได้เป็ที่รู้จักกันทั่วไป แต่ถึงกระนั้น ความรู้สึกแข็งแกร่งทรงพลังที่แฝงอยู่ในตัวของเขานั้น ทำให้ผู้คนมิอาจละสายตาได้
โดยเฉพาะหน้ากากเงินใบนั้น ได้ยินคำเล่าลือมาว่า เขาเคยได้รับการยกย่องว่าเป็เด็กอัจฉริยะแห่งแคว้นเป่ยฉี ทว่าเป็เพราะตอนเด็ก เขาได้รับาเ็ในเหตุการณ์เพลิงไหม้ ทำให้ใบหน้าแลดูน่าหวาดกลัว จึงทำได้เพียงใส่หน้ากากต่อหน้าผู้คน
ทว่ากู่ฉินที่เขาบรรเลงในวันนั้น...
แม้ว่าฉางหงเยียนจะเล่นกู่ฉินไม่เก่ง แต่อย่างไรเสียนางก็เชี่ยวชาญในการร่ายรำ ทั้งยังเคยเล่าเรียนทำนองจังหวะของดนตรี
ทักษะกู่ฉินของเขาไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดที่เล่นกู่ฉินในตอนนั้น บุรุษผู้กายชุดสีดำและมีท่าทางสง่างาม เห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะเป็ชายหนุ่มรูปงาม ช่างน่าเสียดายที่ใบหน้าของเขาเสียโฉมไปเสียแล้ว
ความรู้สึกเสียดายพลันฉายแววขึ้นในดวงตาของฉางหงเยียน และบนหลังม้าที่ตามหลังแม่ทัพหลวงผู้นั้น...
ครั้นฉางหงเยียนเห็นสตรีผู้นั้น แม้เห็นเพียงแผ่นหลัง ทว่านางกลับยังคงมองหญิงสาวผู้นั้นออกได้ทันที
เหนียนยวี่ คุณหนูรองสกุลเหนียน!
เล่าลือกันว่า นางกับมู่อ๋องจ้าวจี้ใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างมาก และนางยังเป็ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มู่อ๋องจ้าวอี้ปฏิบัติด้วยอย่างแตกต่าง
ปฏิบัติตัวกับนางแตกต่างไปจากผู้อื่น?
คนที่ท่านอ๋องมู่ให้ความสำคัญปฏิบัติด้วยอย่างดีผู้นี้ เหตุใดถึงอยู่กับแม่ทัพหลวง
สายตาของฉางหงเยียนมองตามแผ่นหลังนั้น จนกระทั่งร่างนั้นลับหายไปจากสายตา ทว่าวงคิ้วงดงามยังคงมิคลายออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ครั้นนางหันไปมองฮ่องเต้ที่อยู่ด้านข้างนางอีก นางเห็นเขายังคงเฝ้ามองเส้นทางที่แผ่นหลังทั้งสองลับหายไป แววตาประหนึ่งลุ่มลึกดำมืด ยิ่งทำให้ผู้คนมองความคิดของไม่ออก ทว่านางกลับมั่นใจว่าเพราะคนสองคนที่เดินผ่านไป ทำให้ในใจของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ผู้นี้ไหวติงไปด้วยคลื่นอารมณ์ซัดสาด
ทว่าเป็เพราะผู้ใดกันแน่ที่เป็สาเหตุของความแปรปรวนในใจของเขา?
แม่ทัพหลวง ‘ฉู่ชิง’ ผู้นั้นหรือ?
ฉางหงเยียนไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่าสำหรับเหนียนยวี่ผู้นั้นแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ในใจนางกลับเตรียมป้องกันตั้งรับขึ้นมาก่อนอย่างแปลกประหลาด
คนสองคนบนหลังม้ามิรู้เลยว่าตนเองเข้าไปอยู่ในสายตาของผู้อื่น ยิ่งไม่รู้เลยว่า ยามที่พวกเขาผ่านร้านค้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง คนผู้หนึ่งที่เดินออกมาครั้นเห็นสตรีที่อยู่บนหลังม้า ฝีเท้าที่ก้าวเดินของเขาพลันหยุดชะงัก
ชุดสีฟ้าครามรับกับผ้าโปร่งบางสีขาว ด้ามพัดในมือโบกสะบัดเกิดแรงลมพลิ้วไหว ทว่าทันใดนั้น การกระทำแทบทั้งหมดของเขาพลันหยุดลง ครู่หนึ่งในดวงตาของเขาลุกวาวฉายประกายอารมณ์มากมายที่ยากคาดเดา
“คุณชายรองขอรับ ร้านต่อไปที่พวกเราจะไปเยี่ยมชมคือร้านขายของชำที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองขอรับ เ้าของร้านหลิวรออยู่ที่นั่นแล้ว ท่าน…” เด็กรับใช้ด้านข้างมิทันเห็นความผิดปกติของนายตัวเอง เอ่ยอธิบายแนะนำอย่างระมัดระวัง ทว่ายังมิทันกล่าวจบ บุรุษผู้เป็เ้านายของตนพลันพุ่งตัวรีบเร่งจากไปทันที
เด็กรับใช้คนนั้นตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบก้าวฝีเท้าวิ่งออกจากร้านตามไปทันที ครั้นวิ่งตรงออกไปยังทิศของประตูเมืองได้ไม่กี่ก้าว และเห็นเ้านายของตนกำลังซักถามอะไรบางอย่างอยู่ท่ามกลางฝูงผู้คน ทว่าไม่นานบุรุษผู้เป็นายพลันโบกสะบัดเก็บใบพัดของตน พร้อมกับสะบัดชายแขนเสื้อ พลางเอ่ยขึ้นมาอย่างเสียงดังก้องกังวานว่า “กลับจวน ไม่สิ ไปจวนเหนียน”
ครั้นเอ่ยจบ หนานกงฉี่จึงรีบก้าวเท้าขึ้นรถม้าทันที
ยามปกติแล้ว คุณชายรองมิค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้านัก ทว่ายามนี้บนใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับฉายให้เห็นความร้อนใจอย่างชัดเจน ผู้คนที่พบเห็นล้วนต่างมิกล้าเฉยเมยเลยแม้แต่น้อย
รถม้าแล่นไปตลอดทาง สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากจวนเหนียนนัก ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าก็มาจอดอยู่หน้าจวนเหนียนแล้ว
ครั้นรถม้าหยุดนิ่ง หนานกงฉี่รีบะโลงมาจากรถม้าทันที และวิ่งเข้าไปในประตูด้วยฝีเท้าเร็วรี่ มิรอร่ำไห้เด็กรับใช้เฝ้าประตูจวนออกมาต้อนรับ มุ่งหน้าวิ่งตรงไปยังทิศทางของลานเซียนหลาน
ณ ลานเซียนหลาน
บรรยากาศตื่นเต้นระทึกใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ยามนี้ได้หวนคืนสู่ความเงียบสงบ เหลือเพียงบุรุษชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะหินเพียงคนเดียว เขายืนหันหลังให้ประตู สายตามิรู้ว่ามองไปยังที่ใด ทั้งยังไม่เห็นอารมณ์ใดๆ ในตัวเขาแม้แต่น้อย
ยามที่หนานกงฉี่พุ่งเข้ามาในลานเซียนหลาน ครั้นเขาเห็นคนผู้หนึ่งในจวน ในใจพลันรู้สึกแปลกประหลาดอย่างอดมิได้ “ท่านอ๋องหลี?”
บุรุษในชุดสีขาวบริสุทธิ์ค่อยๆ หันหลังกลับไปมอง ครั้นเห็นหนานกงฉี่ จึงยกยิ้มเบาบางให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนแลเงียบสงบ ราบเรียบประหนึ่งเทพเซียนที่จุติลงเบื้องล่าง “คุณชายรองหนานกงมาหาคุณหนูใหญ่เหนียนหรือ”
ไม่ เขามาหาเหนียนยวี่ แต่...
ครั้นนึกถึงร่างนั้นที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ ในใจหนานกงฉี่พลันอดรู้สึกขบขันไม่ได้
ถ้าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้คือเหนียนยวี่จริง เช่นนั้นเหนียนยวี่จะอยู่ที่ลานเซียนหลานในยามนี้ได้อย่างไร เขามาที่นี่เพื่ออะไรกัน?
แต่ไหนแต่ไรเขาเฉลียวฉลาดมาตลอด ครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างชัดเจน ทว่าเหตุใดเขาถึงได้สับสนมากถึงเพียงนี้?!
“ทูลหลีอ๋อง ท่านกล่าวถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงฉีได้สติอย่างรวดเร็ว มีคำถามมากมายที่เขา้าจะยืนยันให้มั่นใจ ซึ่งมันยังคับคั่งอยู่ในใจของเขา อีหลานบอกว่าเหนียนยวี่ถูกขังอยู่ในสวนร้อนสัตว์มิใช่หรือ?
เหตุใดเขากลับเห็นเหนียนยวี่บนถนนเมื่อครู่นี้ได้เล่า?
อารมณ์ของเขาในยามนี้ซับซ้อนอย่างสุดจะพรรณนา เหนียนยวี่ยังไม่ตาย หญิงสาวผู้นี้จะโชคดีได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ?
จิตใต้สำนึกของเขา้าให้นางมีชีวิตอยู่ หากเป็เช่นนี้ เขาก็จะสมหวัง ได้เห็นฝีมือในการขี่ม้าของสตรีผู้นั้น
ขณะที่เขาคิดถึงเื่นี้ หนานกงฉี่มิได้ทันสังเกตเห็นความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นมาในใจของตนเองเลย
แต่แล้ว คำพูดของจ้าวเยี่ยนกลับประหนึ่งแอ่งน้ำเย็นที่สาดรดลงมาบนตัวเขา