เด็กคนนี้น่าจะได้รับยีนที่ดีเลิศจากเชื้อพระวงศ์นอกจากสุขภาพไม่ดีแล้วที่จริงหน้าตาของเขานั้นจัดอยู่ในขั้นดีเลิศเมื่อเขาหัวเราะขึ้นมาราวกับเป็สายลมเย็นสายหนึ่ง อีกทั้งเขาผ่ายผอมเกินไป
เขาควรจะเสริมภูมิต้านทานของร่างกายครั้งต่อไปจะได้ไม่ล้มป่วยโดยง่าย
ในที่สุดเซียวเยี่ยนก็ยอมปริปากพูดจาเสียที “หลินเจาอี๋เ้าคิดจะให้ฝ่าากินน้ำลายของเ้าหรือไร?”
หลินชิงเวยก้มหน้ามองตะเกียบของตนแล้วกล่าวอย่างนึกขึ้นได้ว่า “อ้อตะเกียบนี้ข้ากินแล้ว ฝ่าาถือเื่ความสะอาดหรือเพคะ?”
นางเพิ่งจะหันหน้าไปมองเซียวเยี่ยน ทางด้านเซียวจิ่นกลับคีบเนื้อปลาชิ้นนั้นส่งเข้าปากตนเรียบร้อยทางหนึ่งเม้มปากเพื่อจะลิ้มลองรสชาติ อีกทางหนึ่งกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่เป็ไรชิงเวยเพียงแต่มีเจตนาดี” ต่อมาเซียวจิ่นดื่มน้ำซุปอีกสองคำ“วันนี้น้ำแกงนี้รสชาติสดดีมาก เสด็จอา ท่านช่วยตักน้ำแกงให้นางถ้วยหนึ่งให้นางลองชิมดูนางตักไม่ถึง”
เซียวเยี่ยนมองหลินชิงเวยแวบหนึ่ง “ข้ากำลังคิดจะตักให้นางถ้วยหนึ่งเช่นกัน”พูดแล้วด้วยแขนของเขายาว เพียงยืดกายขึ้นเล็กน้อยก็ตักน้ำแกงใส่ถ้วยน้ำแกงของนาง
หลินชิงเวยมองโต๊ะเสวย “วันหลัง ปรับปรุงโต๊ะเสวยตัวนี้สักหน่อยวางแผ่นกระจกที่หมุนได้สักแผ่นไว้ข้างบน ไม่ว่าจะเป็อาหารที่อยู่ไกลหรือใกล้ล้วนตักได้หมด”
“กระจก?”
หลินชิงเวยทำท่าเท้าค้างของตนและครุ่นคิด “ถูกต้องเพคะ หากไม่มีกระจกเช่นนั้นใช้ไม้กระดานเรียบๆ แทนก็ได้เช่นกันเพคะ” พูดแล้วเซียวเยี่ยนส่งถ้วยน้ำแกงมาให้นางนางรับมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน “ขอบคุณเสด็จอาเพคะ”
น้ำแกงนี้รสชาติดีเลิศจริงๆ รสชาติหวาน สดใหม่ หลินชิงเวยถาม“นี่เป็น้ำแกงอะไร รสชาติดีเช่นนี้?”
เซียวเยี่ยนอธิบายกับนางอย่างมีน้ำอดน้ำทนยิ่งยวด “น้ำแกงหงส์ั”
“ชื่อก็ไพเราะเช่นกัน ทำมาจากอะไรเพคะ?”
ครานี้สีหน้าของเซียวเยี่ยนปรากฎรอยยิ้มบางๆ ทว่ามีน้ำสกปรกเต็มท้องแน่นอน“ไก่และงูตุ๋นด้วยกัน”
“พรืด--”
เซียวเยี่ยนกล่าวต่อ “ต้องตุ๋นไปเรื่อยกระทั่งเนื้อไก่และเนื้องูเปื่อยยุ่ยอยู่ในน้ำแกง สุดท้ายเหลือเพียงกระดูกเพียงแค่เลือกกระดูกออกมา...”
หลินชิงเวยยืนพรวดขึ้นแล้ววิ่งออกไป ยืนค้ำกำแพงเริ่มอาเจียนออกมา
เซียวเยี่ยนหยิบผ้าไหมมาแตะเช็ดมุมปากของตนด้วยกริยาอันสง่างาม เขาลุกขึ้นกล่าวเรียบๆ“ฝ่าาค่อยๆ เสวย”
อาหารเลิศรสที่กินเข้าไปในยามกลางวัน เวลานี้ดียิ่งนักนางอาเจียนออกมาเสียสิ้นไส้สิ้นพุงไม่มีเหลือ
เซียวเยี่ยนเดินออกมาสายตามองตรงไปข้างหน้าไม่ว่อกแว่กเมื่อเขาเดินผ่านร่างของหลินชิงเวยเขาทำทีราวกับมองไม่เห็นนางอย่างไรอย่างนั้นหลินชิงเวยเช็ดมุมปากของตนแล้วยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อของเขา
“ท่านจงใจใช่หรือไม่?” หลินชิงเวยถาม
เซียวเยี่ยนเลิกคิ้ว “ดูจากตรงไหน?”
“ท่านรู้ว่าข้าไม่กินเนื้องู”
“เปิ่นหวางไม่เคยได้ยินเ้าพูดมาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าเ้ากินอะไรไม่กินอะไร?”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมอง เห็นสีหน้าท่าทีแกล้งโง่ที่เขาเสแสร้งออกมาจึงเช็ดริมฝีปากของตน “อาศัยแค่ท่าน จะมาข่มขู่ให้พี่สาวใได้? ท่านดูท่านสิหางตาของท่านแทบจะชี้ขึ้นฟ้าอยู่แล้วในใจท่านคงยินดีแทบแย่กระมัง หา?”
เซียวเยี่ยนลูบหางตาของตนอย่างเป็ธรรมชาติ “มีหรือ? เ้าคิดไปเองกระมัง”เขาหันกายด้านข้างให้เรือนร่างบอบบางของหลินชิงเวย ก้มหน้าลงมองนาง “อายุของเปิ่นหวางอย่างน้อยก็มากกว่าเ้าถึงเก้าปีถือเป็ผู้มีาุโกว่าเ้า เ้าเรียกตัวเองว่าพี่สาวต่อหน้าเปิ่นหวาง?อายุน้อยเท่านี้ ใครสั่งสอนให้เ้ากระทำการข้ามหน้าข้ามตา กำเริบเสิบสานเยี่ยงนี้?”
หลินชิงเวย “มารดาของท่าน”
“...” เซียวเยี่ยนคิดว่าพูดกับนางมากอีกหนึ่งประโยคล้วนเป็เื่เปลืองน้ำลายโดยใช่เหตุเขาจึงหันกายกล่าวว่า “ทางด้านฝ่าา้าให้เ้าดูแลเปิ่นหวางยังมีเื่อื่นต้องทำ ขอตัวก่อน หากเ้าดูแลไม่ละเอียดถี่ถ้วนเปิ่นหวางจะให้ห้องเครื่องตุ๋นน้ำแกงหงส์ัให้เ้าดื่มทุกวัน”
หลินชิงเวย “มารดาท่านน่ะสิ”
รอกระทั่งหลินชิงเวยนั่งพักอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง คลายจากความผะอืดผะอมแล้วจึงกลับเข้าไปในห้องของเซียวจิ่นเวลานี้เขาดูเหมือนจะกินอิ่มแล้วนั่งมองนางด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างสงบ
“เสด็จอาทำให้เ้าโมโห? เ้าไม่กินน้ำแกงหงส์ั?” เซียวจิ่นกล่าว“เช่นนั้นต่อไปเจิ้นจะสั่งลงไปไม่ให้ห้องเครื่องทำอาหารจานนี้มาขึ้นโต๊ะอีก”
หลินชิงเวยคิดว่าโมโหส่วนโมโห แต่นางย่อมไม่พาลพาโลเช่นนี้จึงกล่าวว่า “ฝ่าาเสวยเรียบร้อยหรือเพคะ?”
เซียวจิ่นกล่าว “เจิ้นกินอิ่มแล้ว เ้ากินอิ่มแล้วหรือไม่ กับข้าวเย็นชืดหมดแล้วเจิ้นเรียกให้พวกเขาขึ้นอาหารร้อนๆ ให้เ้าได้”
หลินชิงเวยไหนเลยจะกินอะไรลงอีกเล่านางเพียงแต่เข็นเก้าอี้ของเซียวจิ่นไปที่ริมหน้าต่างตามที่เขาร้องขอ
เหล่านางกำนัลเข้ามาเก็บกวาดโต๊ะเสวยต่อมาภายในตำหนักบรรทมอันกว้างใหญ่กลับเข้าสู่ความเงียบสงบดังเดิมเซียวจิ่นนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง เงาร่างนั้นดูโดดเดี่ยว อ้างว้างทว่าทุกครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองหลินชิงเวยมักจะมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนประดุจความอบอุ่นในฤดูวสันต์ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาเสมอ
หลินชิงเวยคิดว่าที่จริงเด็กน้อยคนนี้ก็มิง่ายดายเช่นกัน มีสภาพร่างกายพิการมาจนถึงบัดนี้สภาพจิตใจยังมองโลกในแง่ดีได้ถึงเพียงนี้
เซียวจิ่นกล่าว “ชิงเวย เ้าชอบอ่านหนังสือหรือไม่ในตำหนักซวี่หยางมีห้องสมุดอยู่แห่งหนึ่งเ้าชอบหนังสือประเภทใดไปเลือกมาอ่านได้ตามใจชอบ”
หลินชิงเวยกล่าว “ข้าชอบอ่านหนังสือนิยายสีเหลือง[1]ในตำหนักฝ่าาที่นี่มีหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ยังถามอีกว่า “อะไรคือหนังสือนิยายสีเหลือง?”
หลินชิงเวยกระพริบตาปริบๆ ใส่เขา หัวเราะจนหน้าอกกระเพื่อม“ก็คือหนังสือประเภทที่ทั้งลามกทั้งทะลึ่ง”
เซียวจิ่นกระแอมกระไอในคอครั้งหนึ่ง “เจิ้นไม่รู้เหมือนกัน หนังสือที่เจิ้นอ่านล้วนเป็หนังสือที่เสด็จอาหยิบให้ทั้งสิ้นเจิ้นเดินเหินไปมาไม่สะดวก ครั้งหน้าเ้าถามเสด็จอาได้”
หลินชิงเวยกล่าว “ช่างเถิดดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันไม่อ่านดีกว่า เื่ชั้นสูงเช่นการอ่านหนังสือเก็บไว้ให้คนเช่นฝ่าาอ่านจะดีกว่าหม่อมฉันทำอาชีพที่หม่อมฉันถนัดจะดีที่สุดเพคะ”นางพูดแล้วเดินมาหยุดเบื้องหน้าเซียวจิ่น ย่อกายนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าเก้าอี้รถเข็นของเขายังดีที่บนพื้นกระดานนี้ได้ปูพรมเอาไว้แล้ว จึงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกแข็งกระด้างนางยื่นมือไปปัดอาภรณ์สีเหลืองสว่างของเขา
เซียวจิ่นไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับประสบการณ์หลายครั้งที่ได้พบหน้ากันมาเขาได้กลายเป็เช่นสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกอีกแล้ว เขากล่าวว่า“เ้าคิดว่าคนเช่นเจิ้น เป็คนประเภทใดกัน?”
หลินชิงเวยตอบอย่างเป็ธรรมชาติว่า“ย่อมต้องเป็คนที่รักการอ่านหนังสือเพคะ” ในฐานะที่เป็ฮ่องเต้ของแผ่นดินจะไม่อ่านหนังสือได้อย่างไรกันต่อให้ไม่ใช่คนรักการอ่านก็ต้องบังคับตัวเองให้อ่านสักเล็กน้อยอย่างน้อยก็ต้องเป็คนที่พอจะมีน้ำหมึกอยู่ในท้องบ้างจึงจะใช้ได้“ฝ่าาอ่านหนังสือของฝ่าาต่อไปเถิดเพคะ หม่อมฉันจะช่วยนวดขาทั้งคู่ของฝ่าา”
พูดแล้วปลายนิ้วก็นวดขึ้น-ลงบนขาของเซียวจิ่นแม้กล้ามเนื้อขาของเขาจะเล็กลีบไปบ้าง แต่มิได้เป็กล้ามเนื้อตายไปทั้งหมดขาของเขายังคงมีกระแสโลหิตไหลเวียนสม่ำเสมอ ดูเหมือนจะเป็เพราะกระดูกบางส่วนได้รับความเสียหายจึงส่งผลให้เขาไม่อาจลุกขึ้นมายืนได้
หลินชิงเวยใช้กำลังได้อย่างเหมาะสมและจับตำแหน่งชีพจรได้แม่นยำบีบนวดเสียจนเซียวจิ่นส่งเสียงร้องครางออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาไม่อาจอ่านหนังสือได้อย่างมีสมาธิได้อีกต่อไป
เซียวจิ่นกล่าวด้วยความรู้สึกถอดใจเล็กน้อย “ชิงเวยเ้าไม่ต้องนวดแล้ว ก่อนหน้านี้หมอหลวงนวดให้เจิ้งบ่อยๆ แต่ผ่านมาหลายปีเช่นนี้เจิ้นยังคงยืนขึ้นมาไม่ได้อยู่นั่นเอง”
“ฝ่าาจะทรงทราบได้อย่างไรว่าตลอดชีวิตนี้ฝ่าาจะลุกขึ้นมายืนไม่ได้เพคะ?อย่างน้อยฝ่าายังมีความรู้สึกถูกต้องหรือไม่เพคะ?” หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขารอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าและหว่างคิ้ว นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเฉกเช่นนางปฏิบัติต่อซินหรู“รู้สึกเสียวอย่างมากใช่หรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นรู้สึกกระดากใจยิ่งยวดจึงเลือกที่จะเงียบ “...”
หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “หากรู้สึกเสียวฝ่าาก็ร้องออกมาอย่างไรที่นี่มีเพียงหม่อมฉันที่ได้ยิน คนข้างนอกล้วนไม่ได้ยินทั้งสิ้นไม่ต้องกลัวพี่สาวไม่เปิดโปงท่านหรอก”
[1]หวง โดยปกติแปลว่าสีเหลืองมีอีกความหมายหนึ่งก็คือแปลว่าอะไรที่ทะลึงๆ โจ๋งครึ่ม ลามก ดังนั้น 小黄书 จึงแปลว่านิยายสีเหลืองหรือ นิยายโป๊