บทที่ 140 สวี่จือจือเบิกตากว้างมองชายหนุ่ม
เซียวเจิ้นชวนไม่พูดพร่ำทำเพลง ตบหน้าเซียวจวินสิงไปฉาดหนึ่งโดยไม่รอช้า
นายท่านผู้นี้มีหลานสาวเพียงคนเดียวในชีวิต และั้แ่เด็ก เขาก็รักและทะนุถนอมเธอมาโดยตลอด
หลายปีมานี้ร่างกายของเธอไม่ค่อยแข็งแรง นายท่านยิ่งตามใจเธอมากขึ้นไปอีก
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบครอบครัวของลูกชายคนโต แต่สำหรับหลานสาวคนนี้ เขารักเธอจากใจจริง
“แกยังสมควรเป็พ่อคนอยู่อีกเหรอ?” เซียวเจิ้นชวนะโด้วยความโกรธ “เหวินเหวินเป็ลูกสาวแท้ๆ ของแกนะ”
“ตัวแกเองไม่ใส่ใจ ตอนนี้หาคนที่เหมาะสมได้แล้ว ทำไมถึงไม่ใช้?” เซียวเจิ้นชวนพูดต่อ “เื่นี้ตกลงตามนี้แหละ”
“นั่นน่ะสิ เหล่าเอ้อร์” หวงเหม่ยอวี้พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราทำเพื่อเหวินเหวินทั้งนั้น”
เซียวจวินสิงโมโหจนอยากหัวเราะออกมา
ฟังดูเหมือนเขาเป็พ่อที่ผิดเสียอย่างนั้น
มองไปที่สายตาของเซียวจิ้งเหวินที่มองเขา สายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นราวกับมองศัตรูชั้นยอด มันทิ่มแทงหัวใจของเซียวจวินสิงอย่างลึกซึ้ง
เขาเริ่มไม่เข้าใจ ลูกสาวที่เคยว่านอนสอนง่าย เฉลียวฉลาด และน่ารักในวัยเด็ก ทำไมถึงกลายเป็แบบนี้ไปได้?
“คุณพ่อ” เซียวจิ้งเหวินร้องห่มร้องไห้ “หนูแค่อยากถามว่า หนูเป็ลูกที่พ่อแม่เก็บมาเลี้ยงหรือเปล่าคะ?”
หัวใจของเซียวจวินสิงเหมือนถูกเข็มแทง
มีวินาทีหนึ่งที่เขาเริ่มลังเล เขาวางมือทั้งสองลงบนไหล่ของเซียวจิ้งเหวิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ลูกเอ๊ย อาการของลูกตอนนี้มันยังไม่ถึงขั้นนั้นเลยนะ ถ้าลูกกินยาดีๆ ไปตรวจที่โรงพยาบาลตามกำหนด พ่อสัญญากับลูกว่ามันจะไม่เป็ไรแน่นอน”
“หนูไม่อยากกินยาทั้งชีวิต หนูไม่อยากเป็คนป่วยที่ต้องพึ่งยา” เซียวจิ้งเหวินพูด
“ใครบอกลูกว่าการเปลี่ยนไตจะทำให้หาย?” เซียวจวินสิงถาม “เื่นี้มันยังมีอะไรอีกเยอะ อย่างนี้แล้ว พ่อจะไปเจอคนที่น้าหวงซานของลูกหามาให้ แล้วพรุ่งนี้พวกเราไปถามหมอที่โรงพยาบาลกันอีกที”
ให้เขาไปเจอคนที่หวงซานหามา?
นั่นไม่ได้เด็ดขาด
หวงเหม่ยอวี้รีบพูดขึ้น “เหล่าเอ้อร์ นายจะไปเจอเขาทำไม? ด้วยทัศนคติแบบนี้ของนาย เดิมทีเขาตกลงไว้ดีๆ แล้ว ถ้านายไปเจอเขา แล้วเขาไม่ยอมขึ้นมา ที่พวกเราทุ่มเทกันมาจะไม่เสียเปล่าหรือไง?”
“พูดกันตรงๆ นายก็แค่ไม่ยอมให้เหวินเหวินเปลี่ยนไต” หวงเหม่ยอวี้กลอกตา “ไม่ยอมก็บอกมาเลย ไม่ต้องอ้อมค้อมแบบนี้”
เซียวจวินสิงโมโหจนแทบตายแล้ว
ความไม่รู้มันน่ากลัวจริงๆ
หวงเหม่ยอวี้ไม่มีการศึกษาจะคิดแบบนี้ก็ไม่แปลก แต่เซียวจิ้งเหวินก็เคยเรียนหนังสือมา แถมหมอยังวิเคราะห์ให้เธอฟังแล้วว่า อาการของเธอดีมาก แค่กินยาควบคุมก็เพียงพอ
ทำไมคนสองคนถึงคิดว่าการไปตัดไตของคนอื่นมาให้เธอคือสิ่งที่ดีล่ะ?
“พ่อไม่ได้คิดแบบนั้น” เซียวจวินสิงพูด
แต่เซียวจิ้งเหวินกลับไม่เข้าใจ เธอส่ายหน้าด้วยความผิดหวังแล้วพูดว่า “พ่อคะ หนูไม่คิดเลยว่าพ่อจะเป็แบบนี้”
พูดจบเธอก็เป็ลมล้มลงไป
ตระกูลเซียวเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
เซียวจวินสิงถูกทุกคนในบ้านตำหนิ เขาได้แต่มองลูกสาวถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลต่อหน้าต่อตา เขาอยากตามไปด้วย แต่ถูกชายชราปฏิเสธอย่างเ็า
“เดี๋ยวเหวินเหวินตื่นมาเห็นนายแล้วจะแตกตื่น” หวงเหม่ยอวี้พูด “นายอย่าไปเลยจะดีกว่า”
พูดจบ เธอกลับขึ้นรถตามไปด้วย
ระหว่างทางเจอเซียวจั่นเฟิงผู้เป็ลูกชาย หวงเหม่ยอวี้ด่าว่า “แกไปตายที่ไหนมา ไม่เห็นเหอว่าพี่สาวแกเกิดเื่?”
เซียวจั่นเฟิงขดตัว “แล้ว…ผมต้องทำอะไร?”
ั้แ่เด็กจนโต พี่สาวคือดอกไม้ประจำบ้าน ส่วนเขาคือกากเต้าหู้
ทุกครั้งที่เซียวจิ้งเหวินถูกลมพัดหญ้าไหว คนทั้งบ้านก็ต้องคอยตื่นตระหนกห่วงใย แต่พอเป็เขา กลับเหมือนเด็กในป่าที่ไม่มีใครสนใจ
หวงเหม่ยอวี้ยังพูดจาน่าฟังว่า ‘เลี้ยงลูกชายแบบยากจน เลี้ยงลูกสาวแบบร่ำรวย’
แต่ปัญหาคือ เขาเป็ลูกชายคนเดียวของบ้านใหญ่นะ มีใครปฏิบัติกับลูกชายคนเดียวของบ้านแบบนี้บ้าง?
เทียบกับเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของเขาแล้ว เขาแทบไม่เหมือนหลานตระกูลเซียวเลยสักนิด มันไม่มีระดับเกินไป แต่เขาก็ไม่กล้าขัดขืน
ถ้าเขาพูดอะไรออกไป แม่ของเขาตัดเงินค่าขนมเขาได้ครึ่งปีเลย
“ไม่รู้จักดูสถานการณ์เสียบ้างเลย” หวงเหม่ยอวี้ด่าทอประโยคหนึ่งแล้วรีบขึ้นรถไป
ทิ้งเซียวจวินสิงที่ยืนสับสนอยู่หน้าประตู และเซียวจั่นเฟิงที่ยืนงุนงงไว้ในลานบ้าน
“อารอง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ?” เซียวจั่นเฟิงถาม
เซียวจวินสิงยิ้มเยาะตัวเอง
เขาเองก็อยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำไมเขาแค่วิเคราะห์จากมุมมองทางการแพทย์เื่การเปลี่ยนไตกับการกินยาต่อไปว่าอะไรดีต่อเซียวจิ้งเหวิน คำพูดยังไม่ทันจบ ลูกสาวก็เป็ลมไป แล้วทั้งบ้านก็เริ่มโทษเขา
ทำไมถึงไม่มีสักคนที่ใช้เหตุผลบ้าง?
เมื่อเทียบกับความโกลาหลของตระกูลเซียว ฝั่งสวี่จือจือก็ไม่น้อยหน้า
รถคันหน้าขับไม่เร็วมากในตอนแรก แต่ไม่นานพวกเขาก็สังเกตเห็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งตามมาด้านหลัง
ในยุคนี้คนที่มีรถเก๋งไม่เยอะ แถมยังโผล่มาในเวลานี้
ทันใดนั้น ชายร่างใหญ่ก็สั่งว่า “ขับเร็วอีก พวกมันตามมาแล้ว”
สวี่จือจือได้ยินคำนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมา พูดกับคนขับข้างหน้าว่า “พี่ชาย พี่ยังหนุ่มแน่น ถ้าต้องเข้าคุก พ่อแม่พี่จะให้ใครดูแลล่ะ?”
คนขับรถชะงักมือ
ชายร่างใหญ่ด่าเสียงดัง “นังแพศยา แกหุบปากให้ฉันซะ”
“ดูสิ พี่จะดุขนาดนี้ไปทำไม?” สวี่จือจือพูด “ไม่ใช่แค่เขา พี่ก็เหมือนกัน รู้ไหม? พวกพี่ยังหนุ่มแน่น มีอนาคตดีๆ รออยู่ ทำไมต้องมาทำเื่ผิดกฎหมายแบบนี้?”
“รู้ไหม นโยบายของชาติกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่ขยัน ทำงานอะไรก็ได้เงิน ชีวิตดีกว่าตอนนี้แน่นอน”
“ฉันมีไอเดียเยอะเลย ถ้าพวกพี่ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ถามฉันได้นะ”
“เช่น ไปทางใต้ค้าขายของเล็กๆ น้อยๆ กลับมา ฉันบอกเลย อย่าดูถูกของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้…”
“หุบปาก แกได้ยินที่ฉันบอกไหม ฉันบอกให้หุบปาก” ชายร่างใหญ่พูดอย่างหงุดหงิด
“อ๊า…”
แต่ในขณะนั้น รถคันหลังเร่งความเร็วขึ้นกะทันหัน ส่วนคนขับรถคันหน้าเผลอวอกแวก ไม่เห็นก้อนหินใหญ่บนถนน พอเห็นแล้วจะหลบก็สายไป
แรงกระแทกมหาศาลขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่ สวี่จือจือกรีดร้องออกมา
และในตอนนั้นเอง รถคันหลังพุ่งเข้ามาอย่างแรง
หลังจากแซงรถของสวี่จือจือไป รถคันนั้นก็ขวางถนนไว้ คนขับรถของสวี่จือจือเหยียบเบรกตามสัญชาตญาณ
ตอนที่รถเก๋งคันสีดำแซงรถของเธอไป สวี่จือจือมองผ่านหน้าต่าง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
ชายหนุ่มคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่แน่วแน่และเต็มไปด้วยความกังวลผ่านกระจก เมื่อรถหยุดลง สวี่จือจือเห็นเขายิ้มให้เธอด้วยความรู้สึกผิด
“สวี่จือจือ ผมมารับคุณกลับบ้านแล้ว” สวี่จือจือเห็นปากของเขาขยับพูดแบบนั้น
แล้วศีรษะของเธอก็กระแทกเข้ากับพนักพิงของเบาะหน้าด้วยความไม่ตั้งใจ
จากนั้นรถหยุดลง ประตูรถถูกเปิดออก
ดวงตาผลซิ่งของสวี่จือจือเบิกกว้าง มองชายหนุ่มคนนั้นด้วยความตกตะลึง
.............................