หลังจากการพูดคุยเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ระหว่างชนชั้นและตำแหน่งอำนาจของทั้งสี่เมือง ไป๋เฉินก็ยังเข้าใจเหตุผลเื้ัที่ฉินเยว่ฉานพยายามจะปกป้องไป๋เฉินและให้ความสำคัญต่อเขาด้วยเช่นกัน
จนไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะปรบมืออย่างชื่นชมให้แก่ไป๋เฉินคนเก่า
[ เ้าไป๋เฉินผู้นี้ช่างหล่อเท่เสียนี่กระไร ยอมลงทุนได้รับาเ็ถึงขั้นเจียนตาย ผลสุดท้ายมันกลับได้สตรีอันงามหยดชดช้อยเป็คู่หมั้นจนได้ ]
[ มันช่างน่าเลื่อมใสอย่างแท้จริง ]
ฉินเยว่ฉานยังคงกล่าวอภิปรายเกี่ยวกับการฝึกฝนพลังบ่มเพาะและการฝึกฝนกล้ามเนื้อเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของไป๋เฉิน เพราะนางเล็งเห็นว่านี่คือจุดอ่อนของเขาในขณะนี้ แต่ทว่าแม้นจะไม่มีรากปราณแต่เขาก็สามารถฝึกฝนทักษะความแข็งแกร่งทางกายาทดแทนได้
ไป๋เฉินมิได้ใส่ใจกับการฝึกฝนกำลังภายในมากนัก เพราะไม่ว่าตนจะดันทุรังฝึกฝนอย่างไร ก็คงมิอาจหวนคืนระดับการบ่มเพาะกลับมาได้อีกต่อไป
ในโลกที่แล้วไป๋เฉินก็สามารถฝึกฝนความรู้และเชี่ยวชาญวิชาทุกแขนงได้โดยไม่จำเป็ต้องมีพลังปราณ เขาเชื่อว่าหากฝึกฝนและหล่อหลอมพลังทางกายภาพจนกล้ามเนื้อตอบสนองโดยอัตโนมัติก็คงจะเพียงพอในการสังหารผู้อื่นและเอาตัวรอดในโลกที่โหดร้ายใบนี้
แม้นว่าจะไร้รากปราณและมิอาจฝึกฝนแต่ตนยังคงมั่นใจในฝีมือลอบสังหารอย่างที่ได้ปลูกฝังมากว่าสามสิบปี!
เมื่อสนทนากันไปตลอดระหว่างทาง ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็เริ่มที่จะแคบลง ความสนิทสนมของฉินเยว่ฉานยังคงเหมือนเดิมในขณะที่ไป๋เฉินมิอาจเดาได้ว่าเขาควรจะทำตัวอย่างไร เพราะไป๋เฉินไม่เคยได้สุงสิงและมีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกับหญิงใดมาก่อนนอกเสียจากการแวะเวียนไปสถานที่ที่ซื้อขายประเวณี นั่นก็เพื่อระบายความอัดอั้นหลังจากการสังหารเพื่อระบายรังสีเข่นฆ่าที่ตกค้างอยู่ ที่ซึ่งนักฆ่าทุกคนก็จะใช้วิธีการนี้ในการระบายอารมณ์ด้านลบที่กดข่มไว้เพื่อที่จะมิได้ตนเสียสติไปเสียก่อน
หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลจนเขาสามารถเรียบเรียงข้อมูลและสถานการณ์โดยรวมได้จนพอสังเขป ไป๋เฉินก้มหน้าต่ำในขณะที่มือเรียวบางลูบคางด้วยคิ้วที่ขมวดเป็ปม
ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับอดีตของไป๋เฉินเขาพอจะทราบคร่าวๆแล้ว แต่เหตุการณ์อุบัติเหตุของไป๋เฉินคนเก่านั้นยังคงเป็ปริศนา นั่นหมายความว่ามีใครบางคนได้วางแผนสังหารตนโดยการทำให้เป็เหมือนว่าเกิดจากอุบัติเหตุ
แต่เขาก็ไม่มีมูลเหตุรวมถึงแรงจูงใจที่มากเพียงพอ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าใน่เวลาที่จะสืบค้นข้อมูลนี้ตนควรอาศัยอยู่ที่ตระกูลฉินไปก่อนสัก่ระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่เขาจะปลีกวิเวกออกจากตระกูลฉินเพื่อทำตามความ้าของเขาภายในโลกใบนี้
แน่นอนความปรารถนาของไป๋เฉินคือแสวงหาความแข็งแกร่งและอำนาจ! สัญชาติญาณอันโเี้ของนักฆ่ายังคงฝังลึกอยู่ในกระดูกดำและมิอาจลบล้างออกไปได้ ดังนั้นแล้วเส้นทางของเขาคงจะมีเพียงแคู่เาสูงเท่ากองกระดูกและสายธารโลหิตเท่านั้น!
[ ชาติที่แล้วข้าได้รับมอบหมายงานในฐานะมือสังหารครั้งแรกครั้นเมื่ออายุ 15 ปี และในชีวิตนี้ข้าก็จะใช้ทักษะที่มีเดินตามรอยเท้าเก่านั้นอีกครา ]
เมื่อเห็นว่าไป๋เฉินเงียบงันไป ฉินเยว่ฉานอดไม่ได้ที่จะมองดูไป๋เฉินด้วยสีหน้าประหลาดใจ นางไม่เคยเห็นไป๋เฉินในแง่มุมที่แลดูจริงจังเช่นนี้มาก่อน
ไป๋เฉินตรงหน้าของนางนั้นเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่แปลกประหลาด อนึ่งว่าเป็กลิ่นอายที่เย็นะเืและกลิ่นอายที่ห่างเหินโดดเดี่ยวโดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงโลกของเขาได้ สภาวะทางอารมณ์รวมถึงรัศมีที่ปรากฏบนร่างของไป๋เฉิน ส่งผลให้ฉินเยว่ฉานรู้สึกใจเต้นแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ
[ เขา...ไฉนเขาจึงแลดูหล่อเหลาถึงเพียงนี้? ]
[ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเป็เช่นนี้เลยสักครั้ง ]
ความประทับใจของฉินเยว่ฉานที่มีต่อไป๋เฉินก็ยิ่งพรั่งพรูสูงขึ้นอย่างฉงน นางมิอาจตระหนักได้ว่าไฉนจิตใจของนางจึงได้อ่อนไหวถึงเพียงนี้
เมื่อตระหนักได้ว่าตนเริ่มจินตนาการไปไกล ใบหน้าอันผ่องใสของนางแต่งแต้มไปด้วยรอยแดงจางๆราวกับแอปเปิ้ลสุกลามไปถึงต้นคอ
แต่ทว่าก่อนที่นางจะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ ไป๋เฉินที่ััได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติพลันรีบโบกมือส่งสัญญาณแก่นาง "ชู่ว! ช้าก่อน...มีใครบางคนนอกจากพวกเรากำลังหลบซ่อนอยู่เบื้องหน้า"
ไป๋เฉินเปิดม่านไม้ไผ่สานบนรถม้ากะทันหันโดยปล่อยให้ฉินเยว่ฉานแสดงสีหน้าที่สงสัย เขาสอดส่องสายตาไปมาประดุจดั่งว่ากำลังจับััถึงความผิดปกติใดๆรอบๆอาณาบริเวณ
เวลาต่อมาสายตาของเขาจับจ้องไปยังผืนป่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่กว่าสิบฟุตในระยะสิบลี้อย่างถมึงทึง 'มีใครบางคนหลบซ่อนอยู่ที่มุมนั้นจริงๆ'
สัญชาตญาณแห่งความระมัดระวังของเขายังคงใช้งานได้เป็อย่างดีแม้นว่าเขาจะไม่มีพลังปราณก็ตามที
ไป๋เฉินปิดม่านพร้อมดึงร่างกลับมา เขาหันไปหาฉินเยว่ฉานด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและออกคำสั่ง "บอกคนขับให้หยุดรถม้าเสียก่อน ข้าััได้ว่ามีบุคคลอยู่สี่คนกำลังซุ่มโจมตีอยู่ไม่ไกล และข้าเชื่อว่าพวกนั้นคงจะมิได้มาด้วยจุดประสงค์ที่ดีอย่างแน่นอน"
น้ำเสียงของไป๋เฉินแฝงไปด้วยความเร่งรีบและเร่งด่วน แม้นว่าเขาจะไม่อยากจะเป็จุดสนใจ แต่ขณะนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างยิ่งยวด เขาเชื่อว่าหากมิได้มีการเตรียมการรับมือคงจะไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดออกไปจากผืนป่าแห่งนี้ได้แม้แต่ผู้เดียว
ฉินเยว่ฉานตกตะลึงในสิ่งที่เขาเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน นางหันไปส่งสัญญาณต่อคนขับรถม้าชะลอลง ก่อนจะถามย้ำเพื่อความแน่ใจ "ไป๋เฉิน เ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีใครบางคนซุ่มโจมตีอยู่? เหตุใดข้ามิอาจััได้ถึงสิ่งมีชีวิตแม้แต่น้อย"
เมื่อตระหนักได้ว่าตนกล่าวสิ่งใดออกไป เหงื่อเย็นๆไหลผ่านหน้าผากอาบใบหน้าอย่างตื่นตระหนก ไป๋เฉินกลอกตาไปมาก่อนกล่าว "ข้าแค่คาดเดาเท่านั้น เ้าไม่สังเกตหรืออย่างไรว่าสถานการณ์ในละแวกนี้เงียบงันจนเกินไป ไม่มีแม้แต่เสียงของสัตว์ขนาดเล็กเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นมีเพียงเหตุผลเดียวคือมีใครบางคนกำลังหลบซ่อนอยู่ใกล้เคียงกับสัตว์ภายในผืนป่าแห่งนี้จนสัตว์พวกนั้นอาจจะหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของบุคคลก็เป็ได้"
"โอ้?" ฉินเยว่ฉานเพียงแค่อุทานและเหม่อมองไปยังใบหน้าของไป๋เฉินที่กำลังแก้ต่าง จนนางสงสัยว่าบุคคลเบื้องหน้าของนางยังเป็ไป๋เฉินที่นางรู้จักอยู่หรือไม่?
แต่ไม่ว่านางจะซักไซ้เขาอย่างไร ไป๋เฉินก็พูดออกมาเพียงแค่คำเดียวว่า "ข้าแค่คาดเดาเอาเท่านั้น"
แต่ถึงแม้นจะเป็เพียงแค่การคาดเดา แต่เมื่อฉินเยว่ฉานมองลึกลงไปในดวงตาของเขาก็กลับมีร่องรอยของความเคร่งขรึมแอบแฝงอยู่
ฉินเยว่ฉานพยักหน้าและเอื้อมมือไปเปิดม่านรถม้า ก่อนจะกระซิบถามในขณะที่สายตากำลังเหม่อมองไปยังทิศทางรอบๆอย่างไร้จุดหมาย "เ้ารู้หรือไม่พวกมันอยู่ที่ใดกันบ้าง?"
ไป๋เฉินลูบคางด้วยคิ้วที่มุ่น และกล่าวราวกับว่าไม่แน่ใจว่าจะกลบเกลื่อนความสงสัยที่นางมีต่อเขาก่อนหน้านี้ได้อย่างไร "หากข้าคาดเดาไม่ผิดมีทิศสิบนาฬิกาหนึ่งคน ทิศสองนาฬิกาหนึ่งคนและทิศสามนาฬิกาอีกสองคน"
แต่ทว่าคำพูดคำจาของเขายิ่งทำให้ฉินเยว่ฉานสงสัยยิ่งกว่าเก่า "ไป๋เฉิน ทิศสิบนาฬิกาที่เ้าพูดถึงหมายถึงอะไร? เหตุใดเ้าจึงพูดพิลึกพิลั่นเช่นนี้?"
ไป๋เฉินสะดุ้งตัวโหยงอย่างกะทันหัน
[ เวรแล้ว! ข้าลืมตัว! ]
วินาทีต่อมาเขาจึงรีบแก้ต่างโดยพลัน "อะแฮ่มๆ ทิศสิบนาฬิกาคือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศสองนาฬิกาคือทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศสามนาฬิกาคือทิศตะวันออกหากมองตรงไปยังเส้นทางเบื้องหน้า...ข้าเคยอ่านเจอทิศทางแขนงนี้ในตำราเล่มหนึ่ง ที่ซึ่งบ่งชี้ถึงทิศทางได้อย่างแม่นยำที่สุดในการสื่อสารภายในกลุ่มเฉพาะ"
[ ข้าเผลอติดปากการอ่านทิศทางของหน่วยทหารในประเทศไทยมามากเกินไป...หวังว่านางคงจะไม่สงสัยข้า ]
ฉินเยว่ฉานผงกศีรษะอย่างสับสนก่อนจะตัดสินใจเปิดม่านของรถม้าเบื้องหน้าออกไปมองยังทิศทางที่เขากล่าว
และแล้วนางก็สามารถััได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติอย่างแท้จริงหากแต่ต้องจดจ่ออยู่กับตำแหน่งนั้นอยู่สักระยะหนึ่ง!
เมื่อรถม้าจอดลงกลางทางสัญจร จู่ๆ ฉินเยว่ฉานลงจากรถม้าโดยไม่ลังเล อาภรณ์สีฟ้าอ่อนไสวปลิวไปกับสายลม สายตาและรอยยิ้มอันอ่อนหวานในยามที่อยู่กับไป๋เฉินพลันแปรเปลี่ยนเป็สายตาที่จริงจังและเคร่งขรึม
พลังปราณสีฟ้าอ่อนกำลังไหลเวียนไปทั่วเส้นลมปราณอย่างราบรื่นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในทุกชั่วยาม นางมองไปยังผู้คุ้มกันทั้งห้าก่อนจะกล่าวกระตุ้นด้วยเสียงทุ้ม "เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้!"
ฉินิหยวนที่ติดตามอยู่เื้ัเอ่ยถามอย่างสับสนในการตอบสนองของฉินเยว่ฉานที่ปรากฏ "คุณหนูน้อย พวกเรากำลังจะต่อสู้กับผู้ใดกัน? ข้าไม่เห็นมีผู้ใดอยู่ในละแวกนี้แม้แต่ผู้เดียว"
ฉินเยว่ฉานกวาดหางตาเปี่ยมด้วยแสงแห่งความเ็า "ิหยวน ข้ามีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเ้า และข้ามีประสาทััที่เฉียบแหลมมากกว่าเ้า หากเ้าไม่เชื่อเ้าสามารถลองเดินทางโดยม้าของเ้าต่อไปได้"
เมื่อััได้ว่าอารมณ์ของฉินเยว่ฉานจริงจังเพียงใด ฉินิหยวนมิได้กล่าวอันใดต่อก่อนที่ทวนยาวสีทองสามเมตรพลันปรากฏในมือด้วยเสียงสะท้อน "หว่อง!"
รวมถึงชายหนุ่มในอาภรณ์สีเหลืองทั้งสี่ที่แต่ละคนได้ดึงเอาศาสตราวุธออกมาตระเตรียมสำหรับการเผชิญหน้าที่กำลังจะเกิด
ฉินเยว่ฉานย่างฝีเท้าไปข้างหน้าสามก้าว นางสอดส่องสายตาไปยังทิศตะวันออกก่อนจะะโด้วยน้ำเสียงเ็า "พวกเ้าตรงนั้นไม่จำเป็ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป โผล่หัวออกมาซะ!"
เสียงของนางก้องกังวานสะท้อนหมุนเวียนภายในผืนป่า แต่ทว่าหลังจากที่นางตวาดลั่นออกไป กลับไม่มีสิ่งใดตอบสนองแม้แต่น้อยนิด แม้นว่าจะผ่านไปเกือบสิมลมหายใจก็ตามที
ฉินหมองหยวนเริ่มสงสัยว่าฉินเยว่ฉานเพียงแค่หวาดระแวงไปเองหรือไม่ "คุณหนูน้อย ดูเหมือนว่าท่านแค่คิดฟุ้งซ่านไปเองเท่านั้น ข้าไม่เห็นจะมีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อย"
ฉินเยว่ฉานยังคงขมวดคิ้ว แต่สายตาของนางมิได้หันเหออกจากตำแหน่งนั้นแม้แต่ลมหายใจเดียว
แต่จู่ๆกลับมีเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำใบไม้แห้งกรำดังขึ้นในทิศทางนั้น มาพร้อมเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกของบุคคลหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ร่างสองร่างจะปรากฏขึ้นในลักษณะราวกับภูตพราย "ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่ น่าสนใจ"
ร่างทั้งสองนั้นสวมใส่อาภรณ์สีดำขลับที่ซึ่งปกปิดใบหน้าไว้อย่างมิดชิด หนึ่งในนั้นที่มีร่างผอมบางกล่าวอย่างชมเชย "สมกับเป็สตรีศักดิ์สิทธิ์อันเลื่องชื่อ แม้แต่พวกข้าที่มั่นใจในทักษะการพรางตัวก็มิอาจหลีกหนีจากประสาทััของแม่นางไปได้จริงๆ"
ขณะนี้ฉินเยว่ฉานก็เข้าใจโดยพลันว่าสิ่งที่ไป๋เฉินบอกกล่าวนั้นเป็ความจริงอย่างคาดไม่ถึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้