บทที่ 2 ตื่นในร่างที่ไร้ชีวิต
ความมืดและแสงใหม่
ในความมืดมิดที่ไร้ซึ่งเวลา หลินเยว่รู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยในห้วงอวกาศอันไร้ขีดจำกัด ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีความรู้สึกใดๆ มีแต่ความว่างเปล่าที่แผ่ขยายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นี่คือความตายหรือ? หลินเยว่คิดในใจ ถ้าเธอตายไปแล้วก็คงจะดี... เพราะเธออาจจะมีโอกาสได้พบกับคุณพ่อของเธออีกครั้ง อยากพบ อยากกอด และอยากจะขอโทษพ่อที่เธอไม่สามารถรักษาชีวิตของท่านไว้ได้ ทั้งที่เธอเป็หมอ... เป็หมอที่เก่งกาจที่สุดในยุค
แต่แล้วความคิดนั้นก็หยุดลง เมื่อจิตสำนึกของเธอยังคงคมชัดและแจ่มใส ความมุ่งมั่นที่เคยจุดประกายในดวงตาคมปานมีดผ่าตัดบัดนี้ก็ยังคงอยู่ แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายที่รองรับจิติญญาอันแข็งแกร่งนี้กลับเปราะบางดุจใบไม้แห้งในวสันตฤดู มันเป็ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง... นี่มันความทรงจำของใครกันนะ?
ภาพมากมายที่ไม่ใช่ของเธอเองเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับเขื่อนที่พังทลาย มู่ชิงเหยียน... เด็กสาวอายุ 16 ปี ผู้บอบบาง ผอมโซ และอ่อนแอ ภาพของครอบครัวที่สิ้นหวัง บ้านไม้ผุพังในหมู่บ้านที่ห่างไกล พ่อที่เคยเป็หมอหลวงที่ยิ่งใหญ่ แต่มาตอนนี้กลับจมอยู่กับสุรา และความรู้สึกผิดและไม่ยินยอมเพราะถูกใส่ร้ายและที่ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก แม่ที่ความจำเสื่อมและมีน้องชายหญิงตัวเล็กๆ สองคน และญาติพี่น้องในตระกูลมู่ที่ต่างก็ถูกไล่ออกมาเพราะความผิดของท่านพ่อของร่างนี้ ใบหน้าของพวกเขาซูบผอมและดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ภาพความทรงจำเ่าั้บีบคั้นหัวใจของหลินเยว่จนเ็ปราวกับถูกกรีดด้วยคมมีด
ในที่สุด... หลินเยว่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่เคยเฉียบคมดุจใบมีดผ่าตัด บัดนี้อยู่ในร่างกายที่บอบบางและอ่อนแอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นอับชื้นของดินและราไม้ที่ฝังตัวในเนื้อไม้ของกระท่อมผุพังเสียดแทงเข้าโพรงจมูกจนน่าเวียนหัว นี่ไม่ใช่กลิ่นที่เธอคุ้นเคย ไม่ใช่ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในโรงพยาบาล
ความรู้สึกแรกไม่ใช่ความโล่งใจที่รอดชีวิต แต่เป็ความตกตะลึงที่สมองไม่สามารถประมวลผลได้... เธอควรจะตายไปแล้ว! อาการหัวใจวายเฉียบพลันในห้องผ่าตัดคือสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น แต่เธอกลับอยู่ที่นี่... ในร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง ในกระท่อมที่ผุพังราวกับหลุดออกมาจากหน้าตำราประวัติศาสตร์
"นี่มันเื่บ้าอะไรกัน!"
มู่ชิงเหยียน... ชื่อนี้ผุดขึ้นในห้วงความคิดของเธอพร้อมกับภาพความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างรุนแรง... ความจริงอันโหดร้าย ที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจจะรองรับได้กำลังตอกย้ำว่าเธอไม่ได้ฝันไป... เธอได้ตายลงแล้วในโลกใบเดิม และได้มาเกิดใหม่ในร่างของเด็กสาวคนนี้จริงๆ! แม้ว่าจะไม่อยากจะยอมรับเพราะการฟื้นในร่างคนอื่นนั้นมีเพียงในนิยายเท่านั้น แต่ทว่าความจริงไม่อาจจะปฎิเสธ ได้อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนไหลลงมาอาบแก้ม เป็น้ำตาของใครกัน? เป็ของหลินเยว่ที่สิ้นหวังกับความตายของบิดา หรือเป็ของมู่ชิงเหยียนที่ต้องเผชิญกับความยากจน? หญิงสาวถอนหายใจออกมาแ่เบา เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็ของใคร ตอนนี้ร่างกายนี้ก็เป็ของเธอแล้ว เธอจะหยุดจมอยู่กับความเศร้าไม่ได้อีกต่อไป
มู่ชิงเหยียนกำหมัดแน่น พลังใจที่เคยถูกหล่อหลอมในฐานะศัลยแพทย์ผู้ไม่เคยยอมแพ้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง ไม่ว่าโชคชะตาจะนำพาเธอมาที่ใด เธอจะใช้ทุกความสามารถที่มีเพื่อเปลี่ยนความจริงอันโหดร้ายนี้ให้ได้! เธอจะไม่มีวันยอมแพ้ให้แก่ความตาย... เป็ครั้งที่สอง!
สติสัมปชัญญะของศัลยแพทย์กลับมาทำงานโดยอัตโนมัติ เธอลองขยับนิ้วมือที่ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ความรู้สึกเชื่องช้าและไร้เรี่ยวแรงบ่งบอกถึงภาวะขาดสารอาหารรุนแรงและกล้ามเนื้อฝ่อลีบจากการนอนป่วยมานาน ลมหายใจที่ตื้นและแ่เบา พร้อมกับไอเย็นที่เกาะกุมอยู่ปลายมือปลายเท้า ชี้ชัดว่าร่างนี้มีไข้ต่ำๆ และระบบไหลเวียนโลหิตย่ำแย่ถึงขีดสุด
“พี่ใหญ่… ท่านฟื้นแล้วหรือ?”
เสียงเล็กๆ ที่แหบพร่าดังขึ้นจากข้างเตียง มู่ชิงเหยียนหันไปมองช้าๆ ดวงตาปรับโฟกัส ในความสลัวเสียงใสเหมือนเสียงนกของเด็กน้อยตัวเล็กๆ ดังขึ้น หลินเย่วค่อยๆ หันไปมองตามเสียง และสิ่งที่เธอเห็นก็คือ เด็กน้อยคนหนึ่ง เธอไล่ตามความคิดและนึกให้ออกว่าเด็กคนนี้เป็ใครกัน…ไม่ถึง5นาที ภาพความทรงจำเกี่ยวกับเด็กคนนี้ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ มู่เจ๋ออวี่กำลังขยี้ตาจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ทั้งดีใจและไม่เชื่อสายตา แม้ใบหน้าจะมอมแมม แต่แววตาของเด็กน้อยกลับฉายประกายแห่งความเฉลียวฉลาดเกินวัย
“มู่เจ๋ออวี่…” เธอเอ่ยชื่อนั้นออกมาตามสัญชาตญาณจากความทรงจำของร่างเดิม เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้งราวกับกระดาษทราย
“พี่ใหญ่! ท่านฟื้นแล้วจริงๆ!”
เด็กชายโผเข้ามากอดแขนเธอ น้ำตาหยดเล็กๆ คลอหน่วย
“ข้ากลัว… ข้ากลัวว่าท่านจะทิ้งข้ากับน้องเล็กไป พี่ใหญ่นอนหลับนานมาก”
หัวใจของมู่ชิงเหยียนกระตุกวูบ ความรู้สึกรักและหวงแหนน้องชายที่มาจากเ้าของร่างเดิมเอ่อท้นขึ้นมา เธอฝืนยกมือที่สั่นเทาขึ้นลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยฝุ่นของเขาเบาๆ
“พี่ไม่ไปไหน… พี่อยู่นี่แล้ว…ขอโทษนะที่พี่ใหญ่หลับนานไปหน่อย”
เสียงคุยกันเบาๆ ปลุกคนอื่นๆ ในกระท่อมให้ตื่นขึ้น สตรีชราผู้หนึ่งหลิวซื่อ, ย่าของเธอ นางรีบปรี่เข้ามาดวงตาฝ้าฟางของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นหลานสาวลืมตาขึ้น
“์เมตตา! เหยียนเออร์ของย่าฟื้นแล้ว!”
ตามมาด้วยสตรีร่างสูงโปร่งแต่ซูบผอม ใบหน้ามีเค้าความงามแต่แฝงความเหนื่อยล้าและกร้านโลก อาสาวคนโต มู่หลิวเอ๋อร์ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย มองมาที่เธอด้วยสายตาซับซ้อน
“ฟื้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่เปลืองยาต้มเปล่าๆ”
แม้คำพูดจะฟังดูเ็า แต่ในน้ำเสียงกลับมีความโล่งอกเจือปนอยู่จางๆ และในมือของนางคือชามบิ่นๆ ที่มียาสีดำ ที่นางได้ต้มสำหรับให้หลานสาวนั้นเอง
“พี่ใหญ่พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร!” อาสาวคนกลาง มู่ซินเหยา ผู้มีใบหน้าอ่อนโยนเดินตามมาติดๆ พร้อมกับผ้าชุบน้ำในมือ
“เหยียนเออร์เพิ่งฟื้น อย่าพูดจาแบบนี้กับหลานนะ”
และอาสาวคนเล็กมู่ฮุ่ยจู ร่างเล็กผอมบางที่ดูขี้อายแต่แววตากลับมีความแข็งแกร่งซ่อนอยู่ ยืนมองเงียบๆ จากมุมห้อง หลิวซื่อยื่นชามข้าวต้มที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น้ำซาวข้าวร้อนๆ มาจ่อที่ปากเธอ
“มา เหยียนเออร์ ดื่มเสียหน่อย หลานป่วยหนักไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว ดีเหลือเกินที่วันนี้หลานฟื้นเสียที ดื่มหน่อยจะได้มีแรง”
มู่ชิงเหยียนมองของเหลวใสๆ ที่มีเม็ดข้าวลอยอยู่เพียงไม่กี่เม็ดในชาม เธอกลืนน้ำลายที่ฝืดเฝื่อนลงคออย่างยากลำบาก ในโลกเดิมของเธอ อาหารเช่นนี้แม้แต่คนจรจัดก็อาจเมินหน้าหนี แต่นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ครอบครัวนี้จะหาให้เธอได้ในยามนี้ เธออ้าปากรับข้าวต้มนั้นอย่างว่าง่าย พลังงานอันน้อยนิดแล่นเข้าสู่ร่างกายที่ว่างเปล่าราวกับน้ำทิพย์ชโลมหัวใจที่แห้งผาก
ขณะเดียวกัน มู่เฉิงเฟิง บิดาของร่างนี้ ก็ขยับตัวตื่นขึ้นเพราะเสียงจอแจ เขาลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย กลิ่นสุราเหม็นเปรี้ยวลอยคละคลุ้งไปทั่วกระท่อมที่แคบอยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นว่าบุตรสาวคนโตฟื้นแล้ว แววตาที่เคยขุ่นมัวก็มีประกายวาบขึ้นชั่วครู่ ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็ความละอายใจและสิ้นหวังเช่นเดิม
“ฟื้น… ฟื้นแล้วรึ”
เขาพึมพำเสียงแ่เบาแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ราวกับไม่กล้าสบตาบุตรสาวที่ป่วยหนักเพราะความไร้ความสามารถของตน
แต่ในวินาทีที่มู่ชิงเหยียนสบตาเขา หัวใจของเธอก็เหมือนถูกค้อนหนักทุบอย่างจัง ใบหน้านั้น.... ใบหน้าของมู่เฉิงเฟิง ชายผู้ล้มเหลวและจมอยู่กับความสิ้นหวังคนนี้ เหตุใดถึงได้เหมือนกับใบหน้าของ หลินเจิ้ง พ่อของเธอในโลกปัจจุบันราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน...
ภาพของบิดาในโลกเดิมที่สิ้นลมหายใจตรงหน้าเธอผุดขึ้นในสมองทันที ความเ็ปและความรู้สึกผิดที่กัดกินเธอมาตลอดบัดนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้าเดียวกันนี้ในโลกใหม่ ใบหน้าของคนที่เธอรักและไม่สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้ บัดนี้กลับมีโอกาสที่จะช่วยเขาได้อีกครั้ง...
น้ำตาของมู่ชิงเหยียนไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความเศร้าโศก แต่เป็ความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความเ็ปและความหวังอันริบหรี่ เธอพยายามยื่นมือที่สั่นเทาไปหาเขา ราวกับจะยืนยันว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือความจริง...
นี่ไม่ใช่แค่การย้อนเวลา... แต่มันคือ โอกาสที่์มอบให้ เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต และทำในสิ่งที่เธอไม่สามารถทำได้ในโลกใบเดิม!
****