เล่มที่ 9 บทที่ 241 สุสานอสุรกายกุ่ยหวัง
หลินเฟยเอื้อมมือออกไปรับคัมภีร์ จากนั้นก็ถอดจิตเข้าไปสำรวจ ทันใดนั้นก็พบว่ามนต์สะกดของคัมภีร์พุ่งสูงถึงสามสิบแปดสายแล้ว เจดีย์ที่เดิมทีสูงสามชั้นก็พลันกลายเป็หกชั้น อีกทั้งรอบบริเวณเจดีย์ก็เกิดลมกระโชกแรงไม่หยุดและมีลำแสงปกคลุมเป็ชั้นบางๆอีกด้วย ส่วนหัวกะโหลกจำนวนมากที่แขวนอยู่ก็มีประกายแวววาวราวกับทำจากหยก โดยทุกครั้งที่มีกระแสลมพัดผ่าน ก็จะเกิดเสียงหวีดร้องออกมาเป็ระยะ...
“ไม่ใช่...” เพียงถอดจิตเข้าไปไม่นาน หลินเฟยก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที
บัดนี้คัมภีร์ก็มีมนต์สะกดสูงถึงสามสิบแปดสายแล้ว แต่กลับยังไม่เกิดมนต์สะกดเทียนกังเสียที...
‘น่าเสียดายจริงๆ...’
เพราะคัมภีร์นี้เกิดโดยวิถีการบำเพ็ญด้วยโครงกระดูกและเส้นทางหยินหยาง หากบำเพ็ญกระทั่งคัมภีร์นี้บรรลุขั้นเซียนเทียน เช่นนั้นโครงกระดูกเหล่านี้ก็จะกลายเป็ดั่งเรือลำน้อยลอยไปถึงฝั่ง และเกิดเป็พลังที่กล้าแกร่งขึ้นมาในที่สุด
แต่ถึงจะบำเพ็ญได้เพียงขั้นศาสตราวุธ มันก็ยังมีพลังกล้าแกร่งถึงขนาดข้ามพิภพไปมาได้ ฉะนั้นก็จะสามารถไล่ตามเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่ที่หนีไปกลับมาได้
‘บัดนี้คัมภีร์ทั้งสองเล่มก็ได้หลอมรวมกันแล้ว แต่ก็ยังไม่เกิดมนต์สะกดเทียนกัง นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็ถอดจิตเข้าสำรวจมนต์สะกดแต่ละสายในคัมภีร์ เป็เวลานาน เขาถึงถอนหายใจออกมา ไม่ง่ายเลยจริงๆที่จะทำให้คัมภีร์เล่มนี้เกิดมนต์สะกดเทียนกังได้...
เพราะคัมภีร์ยังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์...
เจดีย์หกชั้นมีมนต์สะกดสูงถึงสามสิบแปดสายแล้ว แต่กลับยังไม่สมบูรณ์!
แค่คิด หลินเฟยก็ขนหัวลุกขึ้นมาแล้ว...
‘หากคัมภีร์นี้สมบูรณ์ขึ้นมาจริงๆ ละก็ พลังของมันจะร้ายกาจแค่ไหนกันนะ?’
ในตอนนี้คัมภีร์ยังไม่สมบูรณ์ดี มนต์สะกดจึงไม่สมบูรณ์ด้วยเช่นกัน หากเดาไม่ผิดละก็ น่าจะขาดส่วนสำคัญที่สุดไป จึงยังไม่เกิดมนต์สะกดเทียนกัง...
แถมคัมภีร์ยังถูกเ้าอสุรกาย่ชิงไปอีก จึงทำให้มีวิถีการบำเพ็ญที่แปลกออกไป จึงเกิดมนต์สะกดเทียนกังได้ยากขึ้นไปอีก...
“เดี๋ยวนะ ถ้าคัมภีร์เกิดมนต์สะกดเทียนกังด้วยตัวเองไม่ได้ เช่นนั้นก็สร้างมันขึ้นมาเองไม่ได้หรือไง?” คิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็ตาเป็ประกายขึ้นมาทันที
‘นั่นสินะ ตนเองก็มีเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูในมือแท้ๆ แม้จะไม่สามารถหลอมให้เกิดมนต์สะกดเทียนกังขึ้นมาได้จริงๆ แต่ถ้าจะสร้างเพียงมนต์สะกดเทียนกังขึ้นมาชั่วคราว คิดว่าไม่น่าเกิดความสามารถ...
ทว่าการทำเช่นนั้นคงต้องใช้ของวิเศษไม่น้อยเลย...
‘ไม่น้อยก็ไม่น้อย เอาเถอะ ค่อยๆหาแล้วกัน’
ขณะที่หลินเฟยเพิ่งจะตัดสินใจได้ไม่นาน จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินกำลังเดินเข้ามา ที่แท้ก็เป็เวินโหว เพราะเขาเห็นหลินเฟยเข้ามานานแล้วแต่ยังไม่ออกไปสักที จึงเดินเข้ามาดูพร้อมกับเหล่าศิษย์น้องคนอื่นๆด้วยความเป็ห่วง
“ศิษย์พี่หลินไม่ได้เป็อะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็ไร เพียงแต่เ้าสิ่งนั้นดันหนีรอดไปได้...”
“ไม่เป็ไรก็ดีแล้วล่ะ...” เวินโหวได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจลง หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ จึงเอ่ยถามขึ้นมา
“จริงสิ ดูเหมือนศิษย์พี่หลินจะาเ็ เช่นนั้นเราพักกันก่อนดีหรือไม่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ?”
“ก็ดีเหมือนกัน...” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงโคจรพลังปราณฟื้นฟูปราณกระบี่ที่เสียหาย
กระทั่งเช้าวันถัดมา หลินเฟยค่อยๆลืมตาขึ้น หลังจากผ่านการบำเพ็ญมาหนึ่งคืน ในที่สุดก็พบว่าปราณกระบี่ทั้งสองนั้นไม่ได้เป็อะไรมาก ทว่าพลังกลับถดถอยลงเล็กน้อย ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อค่อยๆฟื้นฟูกลับมา ส่วนกล่องกระบี่เจิงหนิงและกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่ก็ถูกหลอมใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง และกายเนื้อที่เสียหายไปก็ฟื้นตัวกลับเป็เช่นเดิม
ขณะที่หลินเฟยลืมตาขึ้น ก็เห็นเวินโหวที่เพิ่งกลับจากการลาดตระเวนยามค่ำคืนพอดี เมื่อเวินโหวเห็นหลินเฟยจึงรีบเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง
“ศิษย์พี่หลินดีขึ้นหรือยัง?”
“อื้อ ไม่เป็อะไรมากแล้ว”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน หลินเฟยก็เงยหน้ามองออกไปไกล จากนั้นก็พบว่าที่จุดห่างไกลนั้น มีลำแสงสีหม่นดำกำลังพวยพุ่งขึ้นฟ้า แถมหมอกควันดำรอบๆลำแสงก็กลายเป็หัวอสูรขนาดใหญ่ขึ้น มันกำลังคำรามดังกึกก้อง แม้แต่ไอิญญาก็ยังปั่นป่วนรุนแรง ต่อให้อยู่ห่างนับสิบลี้ ก็ยังรับรู้ได้อย่างชัดเจน...
“ให้ตายเถอะ สำนักโยวิช่างวางอำนาจบาตรใหญ่ไม่น้อยเลย...” เวินโหวเห็นดังนั้นก็ยิ้มเยาะทันที
“หื้อ?” หลินเฟยชะงักชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“นั่นเป็ฝีมือของสำนักโยวิงั้นหรือ?”
“สำนักโยวิกำลังประกาศอาณาเขตอยู่ เพื่อเตือนไม่ให้ใครเข้าไปใกล้...”
“แบบนี้ก็ได้หรือ?” หลินเฟยรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที ก่อนจะดึงเวินโหวให้นั่งลง
“ไหน เ้าลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“สำนักโยวิก็เป็แบบนี้มาตลอด...” เวินโหวถอนหายใจก่อนจะเล่าเื่ทั้งหมดออกมา
“ที่จริง เื่นี้เป็ที่รู้กันแพร่หลายอยู่แล้ว ได้ยินว่าสำนักโยวิได้เจอกับศิลาหินแผ่นหนึ่ง บนศิลาหินได้จารึกชีวประวัติของเ้าของสุสานเอาไว้ ส่วนเนื้อหาก็ประมาณว่าเ้าของสุสานแห่งนั้นร่ำรวยมาก หลังจากตายไปก็ได้สั่งให้นำสมบัติมากมายไปฝังร่วมกัน”
“เดิมทีก็ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเพียงศิลาหินแผ่นเดียวจะทำให้หาสุสานเจอ...”
“กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนหาเจอจริงๆ”
“และคนคนนั้นก็คือฟางจวิ้น ซึ่งเป็ศิษย์สายตรงลำดับที่สองของแถบทะเลอูไห่ที่มาจากสำนักโยวิ...”
“หากพูดถึงสำนักโยวิ ทุกคนมักจะรู้จักแต่จงหยาง น้อยคนนักที่จะรู้จักฟางจวิ้นซึ่งมีพลังเป็รองเพียงจงหยางเท่านั้น ฟางจวิ้นได้ฝึกเคล็ดวิชาอสูรผีดิบมา ซึ่งเป็หนึ่งในเคล็ดวิชาสำคัญของสำนักโยวิเช่นกัน และผีดิบอสูรคู่กายนั้น นอกจากจะโเี้กว่าอสูรทั่วไปแล้ว ยังมีความโดดเด่นของอสูรและผีดิบรวมกันอีกด้วย”
“แม้ชื่อเสียงฟางจวิ้นจะไม่โด่งดังเท่ากับจงหยาง แต่ศิษย์สำนักโยวิต่างก็รู้ดีว่าในงานประลองภายในสำนักแทบทุกครั้ง ฟางจวิ้นก็จะแพ้จงหยางเพียงฉิวเฉียดเท่านั้น...”
“ฟางจวิ้นออกตามหาสุสาน ตามคำบอกกล่าวในศิลาหิน และสุดท้ายเขาก็หามันจนเจอ...”
“ทว่าหลังจากหาเจอแล้ว เ้าตัวก็พบว่าเ้าของสุสานนั้นตายตาไม่หลับ หลังจากตายก็กลายเป็ิญญาร้ายหลอมรวมเข้ากับสุสาน สุดท้ายก็บำเพ็ญจนบรรลุเป็อสุรกายขั้นกุ่ยหวัง ฟางจวิ้นเองก็ใช่ว่าธรรมดาที่ไหน ตลอดหลายวันมานี้ก็เอาแต่บุกโจมตีไม่หยุด ดูจากลำแสงที่พวยพุ่งนั่นสิ คิดว่าน่าจะบุกเข้าไปในสุสานได้แล้วล่ะ ดีไม่ดีอาจจะสะกดเ้าอสุรกายกุ่ยหวังที่อยู่ด้านในได้อีกด้วย ไม่เช่นนั้นละก็ เ้านั่นคงไม่ทำตัวกร่างเช่นนี้หรอก ถึงกับปล่อยไออสูรออกมาเป็ภาพนิมิตผีดิบอสูรกดข่มผู้อื่นเช่นนี้”
“สุสานนั่นมีของวิเศษเยอะมากเลยหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว...” เวินโหวกลืนน้ำลายลงช้าๆ ส่วนสองตาก็ขึ้นสีเล็กน้อยด้วยความอิจฉา
“ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นหรอก แค่สมบัติที่ฝั่งลงไปก็มีค่าควรเมืองแล้ว...”
“อย่างนั้นเลยหรือ?...” หลินเฟยลูบคางน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“จริงสิ แล้วเ้ามั่นใจแค่ไหน ที่จะทำลายค่ายกลซึ่งกักขังอาจารย์อาเ้าเอาไว้ได้?”
“คือว่า... ขอบอกตรงๆเลยละกัน ข้าเองก็ไม่มั่นใจเลยสักนิด แต่อาจารย์อาดีกับข้ามาั้แ่เด็ก ในเมื่อตอนนี้ท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงจำเป็ต้องไปช่วยให้ได้...”
“อันที่จริงข้าก็สามารถทำลายค่ายกลนั่นได้แหละ...”
“หื้อ?” เวินโหวได้ยินดังนั้น ก็ตาเป็ประกายทันที
‘นั่นสินะ ศิษย์พี่หลินร้ายกาจจนไม่อาจคาดเดาพลังที่แท้จริงได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่จับเ้าสิ่งนั้นก็ยังสร้างค่ายกลที่มีพลังไม่ธรรมดาออกมาได้ หากศิษย์พี่หลินยอมช่วยละก็ เกรงว่าจะมีโอกาสเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะทำลายค่ายกลนั่นเลยทีเดียว’
“แต่จำเป็ต้องไปยืมบางอย่างจากฟางจวิ้นเสียหน่อย...”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------