หลังจากชายผิวคล้ำทำความเคารพกว่านซื่อแล้ว จึงปรายตามามองโจวชิงหวาและหนีเจียเอ๋อร์ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด “พวกเ้าสองคน มากับข้า!”
โจวชิงหวากับหนีเจียเอ๋อร์กล่าวขอบคุณกว่านซื่อ และเดินตามหลังบุรุษผิวคล้ำไปอย่างว่าง่าย
ระหว่างทาง หนีเจียเอ๋อร์ลอบถามด้วยความอยากรู้ ว่าเมื่อใดพวกนางจะสามารถสักลายดอกบัวได้ นั่นยิ่งทำให้ชายผิวคล้ำหันมาจ้องเขม็ง
จากการพูดคุย ทำให้พวกเขาได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีเพียงสาวกที่ฝึกฝนการต่อสู้เบื้องต้นมาหนึ่งปีขึ้นไปแล้วเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์สักลายดอกบัวไว้บนร่าง อันเป็สัญลักษณ์ซึ่งบ่งบอกถึงการเลื่อนสถานะ
หากไม่ขวนขวาย เ้าก็จะเป็ได้แค่สาวกขั้นต่ำไปชั่วชีวิต!
ทั้งหนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวา ต่างก็รับรู้ถึงระเบียบข้อนี้ดี จึงไม่คิดจะถือสาหาความกับผู้ที่เข้ามาดูิ่เหยียดหยามั้แ่แรกพบ
เพราะสุดท้ายแล้ว ทั้งสองก็มิได้คิดจะอยู่กับสัญลักษณ์แห่งสาวกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต
…
เจ็ดวันต่อมา
พวกเขาก็ยังคงถูกเยาะเย้ยถากถางจากคนรอบข้างอยู่เช่นเดิม ชายผิวคล้ำและบรรดาสาวกต่างพากันสร้างความอับอายให้คนทั้งสอง นอกจากการฝึกฝนการต่อสู้ขั้นพื้นฐานในสำนักฝูเซิงแล้ว พวกเขายังต้องใช้แรงทำงานหนักทุกวัน
หนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวา ต่างก็มีความอดทนอดกลั้นเหนือธรรมดา จึงมิได้รับผลกระทบจากความลำบากในสำนักแห่งนี้มากนัก ในแต่ละวันทั้งสองเพียงคิดหาหนทางที่จะหลบหนีเท่านั้น
และในวันนี้ หญิงสาวก็ถูกบุรุษผิวคล้ำกลั่นแกล้งให้อับอายท่ามกลางสายตาผู้คน แม้จะค้อมตัวขออภัยจนแทบหมอบราบกับพื้นอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายถูกพวกเขาเตะจนขาแดงช้ำไปหมด
พอนางกลับมาถึงที่พำนัก สีหน้าของโจวชิงหวาก็ยิ่งมืดมน
“ไม่ต้องห่วง ขอแค่ให้ได้เบาะแสมาบ้างก็พอ มิฉะนั้น ก็นับว่าเรามาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์”
ชายหนุ่มหรี่ตาลง ริมฝีปากแดงระเื่ดงามของเขาค่อยๆ แสยะยิ้ม ดูมีแผนการร้าย ทั้งยังพูดเสียงต่ำว่า “ข้าก็ไม่อยากให้แผนล่มเช่นกัน แต่จะปล่อยให้พวกมันรังแกเ้าอีกต่อไปมิได้”
ขาดคำ ร่างสูงก็ยืนขึ้น แล้วเดินออกไปด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย
“นี่... เ้าจะทำอะไร?” หนีเจียเอ๋อร์พยายามเดินกะโผลกกะเผลกตามมา
กระทั่งถึงสนามฝึกยุทธิ์ของสำนัก จึงพบว่าขณะนี้ ชายผิวคล้ำกำลังหมอบราบลงกับพื้น แขนทั้งสองคู้เข้าหากัน ราวกับเต๋าในกระดอง
ส่วนพวกลูกน้อง ที่มักจะติดตามบุรุษผิวคล้ำมารุมรังแกหนีเจียเอ๋อร์อยู่ตลอด ตอนนี้ก็มีสภาพไม่ต่างกัน นั่นคือล้วนลงไปนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
ขณะเดียวกัน โจวชิงหวาที่ยืนตระหง่านสร้างความหวาดกลัวให้กับอีกฝ่าย ก็กำลังจับจ้องไปยังคนเ่าั้อย่างไม่ลดละ
หนีเจียเอ๋อร์เบิกตากว้าง แม้เื่นี้จะเล็กน้อย และคงไม่ทำให้พวกเขาโดนไล่ออก แต่หลังจากนี้ไป โจวชิงหวาจะต้องโดนเอาคืนเป็เท่าตัวแน่!
เื่ราวจะวุ่นวายเกินไปแล้ว...
แต่หลังจากหัวหน้าสังกัดได้รับรายงาน แทนที่จะโมโห กลับเอ่ยชื่นชมอย่างไม่หวงคำพูด ทั้งยังกล่าวว่า หากโจวชิงหวาสามารถเรียนรู้ได้ดี ต่อไปคงได้กลายเป็ดาวเด่นของสำนัก
นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครกล้ารังแกหนีเจียเอ๋อร์ต่อหน้าโจวชิงหวาอีก
แต่หากมีใครหน้ามืดเข้ามากลั่นแกล้ง นางก็จะโต้ตอบ ด้วยการซัดเข็มที่คีบไว้ระหว่างง่ามนิ้ว
ดังนั้น ชื่อเสียงของพวกเขาในสำนักจึงดูร้ายกาจ ทิ้งคราบคนไร้ประโยชน์และโง่งมไปหมดสิ้น... ผู้หนึ่งเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ส่วนอีกคนก็มีฝีมือคลุมเครือจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
...
ห้าวันหลังจากนั้น
ด้วยทักษะที่โดดเด่น จึงทำให้พวกเขาเป็ที่ไว้วางใจ โจวชิงหวาจึงอาศัย่เวลากลางคืน ลอบเข้าไปหาข้อมูล ซึ่งอาจจะใช้เป็หลักฐานมัดตัวคนร้าย ที่พวกเขาเฝ้าไล่ล่ามาตลอด
ค้นหาไปได้สักพัก ก็มีเสียงฝีเท้ามุ่งตรงเข้ามา โจวชิงหวาจึงเก็บทุกอย่างเข้าที่เดิม แล้วะโขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนคานห้อง
แอ๊ด...!
มีเสียงผลักประตูไม้เข้ามาจากภายนอก
จากนั้น ร่างของหัวหน้าสังกัดเฟินและกว่านซื่อก็เดินเข้ามา
“เรียนหัวหน้าสังกัด นี่เป็จดหมายลับจากท่านเ้าสำนักขอรับ” กว่านซื่อหยิบจดหมายขึ้นมา
หัวหน้าสังกัดเฟินรับมา ก่อนคลี่จดหมาย แล้วอ่านออกเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ “อีกสองวัน รองเ้าสำนักจะเดินทางมายังเมืองเย่ นางมีภารกิจสำคัญ คือการจับตัวจวิ้นโส่ว[1] และท่านเ้าสำนักก็้าให้พวกเราสังกัดเฟิน ไปร่วมมือช่วยเหลือนาง”
หลังจากพูดคุยกันถึงรายละเอียดแล้ว ทั้งสองก็เดินจากไป
ทันทีที่ประตูปิดลง โจวชิงหวาก็ร่อนตัวลงมาจากคาน แล้วค้นห้องหนังสืออย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่ได้พบสิ่งใดที่อาจเป็เบาะแสได้ จึงกลับไปแจ้งหนีเจียเอ๋อร์
หนีเจียเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เสนอขึ้นว่า “ชิงหวา หากพวกเราได้รับความสนใจจากรองเ้าสำนัก ก็จะสามารถหาหลักฐานมามัดตัวเว่ยฉีหรานได้ง่ายกว่า มิใช่หรือ?”
หากสามารถเข้าใกล้รองเ้าสำนักได้ พวกเขาก็จะอยู่ห่างจากเว่ยฉีหรานเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
โจวชิงหวายอมรับว่านี่เป็วิธีการที่เร็วที่สุดในการบรรลุเป้าหมาย แต่เขาก็อดมิได้ที่จะโน้มน้าวให้นางหาวิธีอื่น “ข้าคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป คงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้”
สายตาของหนีเจียเอ๋อร์หนักแน่น น้ำเสียงเฉียบขาด “ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสือหรือ?”
จากนั้นพวกเขาก็เงียบไป หญิงสาวรู้ดี ว่าโจวชิงหวามิได้พรั่นพรึงหรือครั่นคร้ามต่อความตาย แต่เป็ห่วง เกรงว่านางจะาเ็เพราะไร้วรยุทธ์
พอนึกถึงเื่นี้ ท่าทีของนางก็พลันอ่อนลง
นางเม้มปาก มือเรียวดึงแขนเสื้อเขา แล้วสุ้มเสียงอันอ่อนหวานละมุนละไมที่เขาหลงใหล ก็เริ่มเอ่ยวาจาออดอ้อน “อาหวา...”
เสียงเรียก ‘อาหวา’ ของนาง สั่นะเืไปถึงดวงใจของโจวชิงหวา เขาชำเลืองมองไปยังนิ้วเรียวยาวที่จับชายเสื้อของตน จากนั้นจึงไล่สายตาขึ้นมา จนไปหยุดอยู่ที่ใบหน้างดงาม ซึ่งเขาตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่นาน ชายหนุ่มก็หันไปบีบจมูกรั้นๆ ของอีกฝ่ายอย่างอดมิได้ แล้วพูดเสียงอ่อน “เอาละ ก็ได้! ข้ายอมแล้ว ฮึ่ม… ข้าไม่เคยขัดใจเ้าได้เลยจริงๆ!”
...
วันต่อมา
หนีเจียเอ๋อร์ก็เริ่มแผนด้วยการเลือกงานกำจัดวัชพืช ซึ่งผู้คนพากันหลีกหนี เพื่อฉวยโอกาสไปค้นหาสมุนไพรที่สามารถนำมาทำเป็ยาพิษได้ เมื่อพบแล้ว นางก็สกัดพิษออกมาเก็บใส่ขวดใบเล็กเอาไว้
ตกดึก โจวชิงหวาก็ลอบออกจากสำนัก ตรงไปที่จวนของจวิ้นโส่ว แล้วทายาพิษลงไปบนคมกระบี่ยาว
...
วันรุ่งขึ้น
หนีเจียเอ๋อร์ใช้ประโยชน์จากการออกไปทำธุระให้กว่านซื่อ แอบนำปาโต้ว[2] กลับมาด้วย
พอรู้เวลาแน่นอนที่รองเ้าสำนักจะเดินทางมา หนีเจียเอ๋อร์ก็ใส่ปาโต้วลงไปในแกงจืดเต้าหู้กะหล่ำปลีล่วงหน้า ครึ่งชั่วยามต่อมา จึงมีเพียงสาวกที่ไม่ชอบกินแกงจืดเท่านั้น ที่ไม่มีอาการท้องเสีย
ในเมื่อแผนการตัดกำลังคนดำเนินไปอย่างราบรื่น สาวกระดับต่ำอย่างโจวชิงหวาและหนีเจียเอ๋อร์ย่อมมีโอกาสที่จะถูกเรียกตัวไปใช้งาน
พอเห็นสาวกไม่ถึงยี่สิบคนยืนเรียงรายในสนามฝึก ใบหน้าของหัวหน้าสังกัดเฟินและกว่านซื่อก็มืดครึ้ม
หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวามองหน้ากัน แววตาของทั้งสองเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้ม
ตอนนั้นเอง ก็มีสตรีในชุดกระชับร่างสีขาวอย่างชาวยุทธ์ควบม้าเข้ามา ผมยาวสีดำขลับมัดรวบสูงเป็หางม้า ประดับด้วยกวานหยกสีเขียว คิ้วเรียวโค้งรับกับดวงตาและจมูก ริมฝีปากมิได้แต้มชาดเฉกเช่นสตรีคนอื่นๆ กระนั้น ก็มิได้ทำให้ความงามของนางลดลงแต่อย่างใด
ทว่า คงจะเป็เพราะท่าทีอันเยือกเย็นของนางเสียมากกว่า ที่ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเลยสักคน
หญิงสาวเดินเข้าใกล้ พลางไล่สายตามองพวกเขาไปทีละคน...
จากนั้นก็หมุนตัว แล้วเอ่ยขึ้นโดยมิได้กล่าวตำหนิหรือชื่นชมอันใด
“ไปได้!”
----------------------------------------
[1] จวิ้นโส่ว (郡守) หมายถึงผู้ว่าราชการแขวง ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบทั้งด้านการทหารและพลเรือนของแขวง ในโครงสร้างการปกครองส่วนภูมิภาคของจีนในสมัยโบราณ ที่ใช้ระบบ ‘จวิ้น-เสี้ยน’ และ ‘ห้าบ้าน’
โดย ‘ระบบห้าบ้าน’ ถือเป็หน่วยการปกครองท้องที่ซึ่งเล็กที่สุด มี ‘อู๋จ่าง’ หรือหัวหน้ากลุ่มห้าบ้าน เป็ผู้รับผิดชอบทำหน้าที่จัดเก็บภาษี และรักษาความสงบเรียบร้อยของห้าบ้าน
ซึ่งหลายๆ ‘ห้าบ้าน’ ในบริเวณใกล้เคียง ก็จะรวมตัวกันกลายเป็ ‘เสี้ยน’ หรืออำเภอ ที่มีอาณาเขตพอๆ กับ ‘ฝู่’ หรือจังหวัดของไทยหลายจังหวัดรวมกันเลยทีเดียว โดยแต่ละเสี้ยน จะมี ‘เสี้ยนลิ่ง’ หรือนายอำเภอเป็ผู้ดูแลรับผิดชอบ
และเมื่อหลายๆ เสี้ยนมารวมตัวกัน ก็จะกลายเป็ ‘จวิ้น’ หรือแขวง ซึ่งมี ‘จวิ้นโส่ว’ หรือผู้ว่าราชการแขวง เป็ผู้ดูแลรับผิดชอบนั่นเอง
[2] ปาโต้ว (巴豆) หมายถึงสลอด ซึ่งเป็ผลสุกแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Croton tiglium L. วงศ์ Euphorbiaceae
มีลักษณะภายนอกเป็ผลรูปไข่ผิวหยาบสีเหลืองอมเทา ขนาดราว 1x2 เิเ มีเส้นตามแนวยาว 6 เส้น แบ่งออกเป็ 3 พู แต่ละพูมีเมล็ดเดี่ยวรูปรีแบน ซึ่งมีเปลือกหุ้มสีน้ำตาลหรือน้ำตาลอมเทา ส่วนเนื้อในเป็สีขาวอมเหลือง มีน้ำมันกลิ่นอ่อนๆ ให้รสเผ็ด
เวลาทำยาจะเอาเปลือกออก และนำเฉพาะส่วนเนื้อในเมล็ดมาบดเป็ผง ถือเป็ยาฤทธิ์ร้อนตามตำราแพทย์แผนจีน นำไปใช้โรย หรือห่อผ้าประคบาแภายนอก เพื่อเร่งให้หายเร็วขึ้น แต่จะมีความเป็พิษสูง เมื่อเข้าสู่เส้นลมปราณกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการถ่ายท้องอย่างรุนแรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้