บทที่ 40 ตราคัมภีร์นพคุณยกระดับวิชาเทพยุทธ์ กับเมล็ดพันธุ์โลก
"ได้ผลตอบแทนการลงทุนสามอย่างพร้อมกันเลยเหรอ?"
ศิษย์น้องหลี่ประหลาดใจระคนตื่นเต้น รางวัลที่ได้จากยัยก้อนน้ำแข็งครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่มีคุณภาพสูงเท่านั้น แต่ปริมาณยังน่าพึงพอใจอีกด้วย
พรุ่งนี้คงต้องหาอะไรดีๆ มาปรนเปรอให้เสียหน่อยแล้ว
"มาดูกันทีละอย่าง"
หลี่โม่หันไปมองรางวัลแรกที่ได้มา
[ตราคัมภีร์นพคุณ]: "สามารถยกระดับวิชาเทพยุทธ์ และวิชาการต่อสู้ที่ด้อยกว่าวิชาเทพยุทธ์ได้"
"สามารถยกระดับแม้แต่วิชาขั้นเทพยุทธ์ได้เลยหรือ?"
ศิษย์น้องหลี่ผู้ไม่เคยพบเห็นสิ่งใดเทียบเท่ามาก่อนถึงกับสูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกตะลึง พึงรู้ไว้ว่าสำนักชิงเยวียนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานถึงเพียงนี้ แม้ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งคนแรกจะมาจากจงโจว แต่วิชาการต่อสู้สูงสุดในสำนักก็ยังเป็เพียงแค่วิชาระดับไร้เทียมทานเท่านั้น
ผู้ที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ระดับกลางจนแตกฉานก็ถือเป็ผู้แข็งแกร่งในแคว้นจื่อหยางแล้ว ส่วนผู้ที่ฝึกฝนวิชาระดับสูงจนแตกฉานก็สามารถก่อตั้งสำนักได้
ตอนนี้ ศิษย์น้องหลี่เพียงรักษาระดับขอบเขตให้คงที่ ด้วยวิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพันเพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถเป็ผู้มีชื่อเสียงในดินแดนแล้ว
เกี่ยวกับวิชาระดับเทพยุทธ์...
หลี่โม่เคยได้ยินเพียงแค่เื่เล่าจากนักเล่านิทาน เมื่อร้อยปีก่อนในจงโจว มีผู้แข็งแกร่งนามมหาปราชญ์พันร่าง ได้หลบหนีมายังแดนบูรพาพร้อมวิชาเทพยุทธ์วิชาหนึ่ง ในเวลานั้น มีผู้แข็งแกร่งจากนอกดินแดนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ถึงขนาดที่สำนักท้องถิ่นอย่างสำนักชิงเยวียนไม่มีสิทธิ์เข้าแทรกแซงเลยแม้แต่น้อย กระทั่งหน่วยลาดตระเวน์ต้าอวี้ต้องลงมือเอง สุดท้ายก็ไม่ทราบว่าวิชาเทพยุทธ์นั้นตกไปอยู่ในมือผู้ใด
ตามความเข้าใจของเขา วิชาเทพยุทธ์คือจุดสูงสุดของเก้า์สิบแดนแล้ว เหนือกว่าวิชาเทพยุทธ์งั้นหรือ? มันเกินกว่าจินตนาการของหลี่โม่ไปมาก
"น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้ายังไม่มีวิชาเทพยุทธ์เลย เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน"
หลี่โม่รู้สึกตื่นเต้นราวคนจนที่จู่ๆ ก็เก็บทองคำได้ทั้งหีบ แม้ทองคำจะดี แต่ก็ยังนำไปใช้ในทันทีไม่ได้ วิชาการต่อสู้ที่ดีที่สุดที่เขามีในตอนนี้ก็เป็เพียงวิชาไร้เทียมทานเท่านั้น การนำตราคัมภีร์นพคุณไปใช้กับวิชาไร้เทียมทานจึงเป็การสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
"ในตราคัมภีร์์น่าจะมีสิ่งที่สามารถยกระดับวิชาไร้เทียมทานได้"
"ถึงตอนนั้นก็สามารถยกระดับวิชาไร้เทียมทานให้กลายเป็วิชาเทพยุทธ์ได้ก่อน..."
"อีกทั้งแค่วิชาเทพยุทธ์นั้น ยัยก้อนน้ำแข็งอาจมอบให้ข้าได้ทุกเมื่อ"
ในชาติที่แล้ว เขาเคยอ่านนิยายมามากมาย ถึงจะไม่เคยประสบกับตัว แต่ก็พอรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็เช่นไรต่อ
หลี่โม่มองไปที่รางวัลชิ้นถัดไป
[เมล็ดพันธุ์โลก] "โลกใบเล็กที่เพิ่งก่อกำเนิดขึ้น อยู่ในสภาพความโกลาหลและยังไม่ก่อร่าง จะเติบโตสมบูรณ์ขึ้นตามความแข็งแกร่งของเ้าของร่าง ในอนาคตมีโอกาสพัฒนาไปสู่โลกอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง!"
ได้โลกยิ่งใหญ่หนึ่งใบ!
แค่ห้าคำนี้ก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าแล้ว ครั้งนี้หลี่โม่ถึงกับตกตะลึงจริงๆ
ไม่ใช่สิ นี่เราเพิ่งจะเริ่มฝึกยุทธ์เองนะ มาตรฐานในอนาคตจะเริ่มไปในทิศทางของเทพผานกู่ผู้สร้างโลกแล้วหรืออย่างไร?
เมล็ดพันธุ์โลกจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามความแข็งแกร่งของเขา และเมื่อโลกใบเล็กแข็งแกร่งขึ้น ก็จะส่งผลย้อนกลับมายังตัวเขาเอง ท้ายที่สุด โลกก็คือเขา
ในโลกของเขา แิเื่ความแข็งแกร่งอ่อนแอไม่สำคัญอีกต่อไป เขาคือวิถีแห่ง์ เขาคือผู้ปกครอง เพียงแค่คิด ก็สามารถบันดาลให้โลกพลิกผัน เปลี่ยนดวงดาวเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้
"เก้า์สิบแดนกว้างใหญ่ไพศาลก็เริ่มต้นจากเมล็ดพันธุ์โลกเช่นกัน"
"มันขยายตัวตามธรรมชาติ หรือมันเติบโตขึ้นโดยอาศัยใครบางคนกันแน่?"
ความคิดของหลี่โม่พลุ่งพล่าน เขาอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยง
เอาเถอะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถค้นคว้าได้ในตอนนี้ จากการรับรู้ โลกใบเล็กของเขายังไม่นับเป็ต้นกล้าด้วยซ้ำ
"รับเลย"
ทันทีที่ความคิดในใจของหลี่โม่ปรากฏขึ้น ในชั่วพริบตา สภาพแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนไปราวกับคลื่นน้ำ ในความสับสน เขาเห็นสีสันนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหว จัดเรียงตัวใหม่ และแปรเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์
ชั่วพริบตา ทุกสีสันก็พลันหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขต เมื่อเขากลับมามีสติ ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ ทุกทิศทางปกคลุมด้วยหมอกสีขาวไร้ขอบเขต
พื้นที่ใต้เท้าของเขามีขนาดเท่าสนามบาสเกตบอลเท่านั้น เล็กกว่าศาลาชิวสุ่ยสองสามเท่า ทว่าพื้นที่นี้เป็ของเขาโดยสมบูรณ์
"กระบี่มา!"
หลี่โม่มีสีหน้าเคร่งขรึม โบกมือเรียก พลันกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็บินมาจากที่ใดไม่รู้ ััได้ถึงพลังอันแหลมคม เขาในชุดขาวหิมะ แลดูราวกับจอมกระบี่ผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
จู่ๆ เขาก็ะโเสียงดังว่า
"กระบี่เปิดประตู์!"
ทันใดนั้น พลังกระบี่ไร้ขอบเขตก็พุ่งทะลุฟ้า ปกคลุมทั่วหล้า
แม้ 'ท้องฟ้า' และ 'แผ่นดิน' นี้มีขนาดเพียงสิบกว่าจ้าง ดาบเล่มนี้ก็ยังคงดูเท่มาก
"เป็จอมกระบี่นี่มันสบายจริงๆ"
"ถ้าสามารถใช้กระบวนท่านี้ข้างนอกได้คงจะดี"
ศิษย์น้องหลี่ถอนหายใจ
พร์ด้านวิถีกระบี่ของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพียงแต่บุคลิกที่ชอบแสดงออกได้ปรากฏชัดขึ้น และโลกใบนี้ก็กำลังร่วมมือกับเขาในการแสดงเท่านั้น
"ที่นี่ดูว่างเปล่าเกินไป"
"ตกแต่งเสียหน่อยดีกว่า"
หลี่โม่เริ่มสนใจที่จะจัดระเบียบพื้นที่ส่วนตัวของเขา
สิบนาทีต่อมา
ศิษย์น้องหลี่ได้ใช้จินตนาการทั้งหมดที่สั่งสมมาจากการอ่านนิยายเพื่อปรับแต่งพื้นที่นี้ บนพื้นดินที่ว่างเปล่า มีศาลาและอาคารปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ ดูใสราวคริสตัล ให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรสนิยม
ภายในศาลาและอาคาร มีบ่อน้ำโบราณ กระดานหมากรุก เตาหลอมโอสถ... และของวิเศษอื่นๆ อีกมากมาย หลี่โม่ถึงกับอยากจะหาดอกไม้วิเศษและสมุนไพรแปลกๆ มาประดับ
"ตอนนี้ดูเหมือนข้ายังสร้างสิ่งมีชีวิตไม่ได้"
หลี่โม่เพิ่งตระหนัก
แม้ว่าเขาจะเป็ผู้ปกครองของโลกใบนี้ แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เขาทำไม่ได้
"สามารถนำสิ่งมีชีวิตจากภายนอกเข้ามาได้"
"ทว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะต้องไม่แข็งแกร่งกว่าข้า"
"และสิ่งที่สร้างขึ้นภายในตอนนี้ก็ยังนำออกไปข้างนอกไม่ได้"
หลี่โม่ลองเล่นอยู่พักหนึ่ง และก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบเล็กเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ยามค่ำคืน
จิตสำนึกถอนออกจากเมล็ดพันธุ์โลก หลี่โม่มองดูดวงจันทร์ภายนอก
เขาประมาณว่าตัวเองอยู่ในนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม และเวลาภายนอกก็ผ่านไปพอๆ กัน อืม… ในตอนนี้ อัตราการไหลของเวลาในโลกทั้งสองดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน
"จริงสิ ยังมีรางวัลอีกอย่างด้วย"
เมื่อครู่เขาสนุกจนเพลิน หลี่โม่เกือบจะลืมรางวัลชิ้นสุดท้ายไปแล้ว
[หน้ากากแก้วไร้ลักษณ์]: "เปลี่ยนแปลงได้นับพัน ปิดกั้นการตรวจจับทุกรูปแบบ"
คำอธิบายสั้นกระชับได้ใจความ
หลี่โม่หยิบมันออกมาทันที มันคือหน้ากากโลหะสีแก้ว
หลังจากสวมมัน เขามองตัวเองในกระจก และพบว่าออร่าของเขาทั้งหมดเปลี่ยนไป หากเปลี่ยนชุดอีกด้วย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังจำคนที่อยู่หลังหน้ากากไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น คนเราต่างก็มีออร่าเป็ของตัวเอง ทว่าตราบใดที่เขา้า เมื่อสวมหน้ากาก เขาก็สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกได้ถึงความลึกล้ำที่ไม่อาจหยั่งถึง ไม่เพียงแต่ออร่าที่สามารถเปลี่ยนได้ รูปลักษณ์ภายนอกของหน้ากากก็เช่นกัน
ฉัวะ!
หน้ากากแก้วไร้ลักษณ์ก็กลายเป็หน้ากากหัวั
ฉัวะ!
หัวัก็เปลี่ยนเป็หน้ากากหัวหมูที่ดูซื่อสัตย์น่ารัก
"เสียงพูดก็เปลี่ยนได้ด้วย..."
เมื่อหลี่โม่เอ่ยปาก เสียงของเขาก็กลายเป็ทุ้มลึกและหนักแน่น
พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาดึงสติกลับมาและเริ่มฝึกฝน
่บ่ายของอีกวัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หลี่โม่กำลังจะทะลวงเส้นชีพจรที่สิบเอ็ด แต่มีแขกมาเยือนศาลาชิวสุ่ย
ผู้าุโหานเฮ่อ ซึ่งเป็คนคุ้นเคยกันดี ชายชราก้าวเข้ามาพร้อมขมวดคิ้วถามซางอู่
"หลี่โม่กับอิ๋งปิง ไฉนวันนี้จึงไม่ไปที่ยอดเขาศาสตราวุธ?"
ซางอู่กำลังนอนสบายๆ บนเก้าอี้โยกอาบแดด และแคะหูอย่างไม่ใส่ใจ
"ไปยอดเขาศาสตราวุธทำไม?"
"'พวกเขาคือสามอันดับแรกของการทดสอบสำนัก!”ผู้าุโหานเฮ่อกล่าวอย่างหงุดหงิด
เหตุใดศิษย์ชั้นในทุกคนจึงสามารถไปที่ถ้ำเพื่อเลือกอาวุธได้? เพราะการได้เข้าสู่ศิษย์ชั้นในนั้น โดยพื้นฐานแล้วก็คือการสามารถทำผลงานได้ดี จึงจะได้รับโอกาสหนึ่งครั้งในการเข้าสู่ถ้ำเทพศาสตราวุธเพื่อเลือกอาวุธ
"แน่นอนว่าสำหรับสามอันดับแรก รางวัลมิได้มีเพียงแค่นี้ ทว่าเนื่องจากสำนักในตอนนี้วุ่นวาย จึงยังไม่มีเวลาแจกจ่ายรางวัลบางอย่าง"
"'รู้สึกเหมือนมีเื่เช่นนี้อยู่เหมือนกันนะ”ซางอู่เอียงศีรษะ พลางนึกขึ้นได้
ผู้าุโหานเฮ่อไม่อยากกล่าวอะไรกับนางอีก เมื่อเห็นอิ๋งปิงและหลี่โม่ก็อยู่ตรงนั้นจึงกล่าวว่า
"ไปเถอะ ตามข้าไปที่ยอดเขาศาสตราวุธ"
"'ผู้าุโหานเฮ่อ ศิษย์มีเื่อยากร้องขอ“
อิ๋งปิงเอ่ยปากขึ้นมาทันที
"'อืม เ้ากล่าวมา”หานเฮ่อที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็หยุดฝีเท้า
การแจ้งข่าวศิษย์เช่นนี้โดยปกติแล้วไม่จำเป็ต้องเป็เขาซึ่งเป็ผู้าุโประจำยอดเขา เหตุผลที่เขามาด้วยตัวเองก็เพราะอิ๋งปิงเป็สมบัติล้ำค่าของสำนักนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาความคิดเห็นของนาง
อิ๋งปิงกล่าวว่า “ศิษย์อยากจะเลื่อนการไปถ้ำศาสตราวุธออกไปสองสามวัน”
"เพราะเหตุใด?"
อิ๋งปิงมองหลี่โม่แล้วกล่าวว่า
“ศิษย์รู้สึกว่าวิชาดาบยังสามารถพัฒนาได้อีก เมื่อถึงตอนนั้นก็จะได้รับอาวุธที่ดีขึ้น”
"'เช่นนั้น...ก็ไม่น่าเป็ปัญหา” หานเฮ่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่ประหลาดใจกับความก้าวหน้าในวิชาดาบของนาง
"แน่นอนว่าทำได้ เพียงแต่เลื่อนได้ไม่เกินสามวัน หลังจากสามวัน ยอดเขาศาสตราวุธจะเข้าสู่ฤดูที่ไฟใต้พิภพปะทุรุนแรงที่สุดในรอบปี จะไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถ้ำเทพศาสตราวุธได้"
"ศิษย์ทราบแล้ว"
สามวัน อิ๋งปิงมั่นใจว่าจะยกระดับความสามารถด้านวิชาดาบของหลี่โม่ขึ้นไปอีกขั้นได้ เชื่อว่าเมื่อถึงตอนนั้น การได้รับการยอมรับจากศาสตราวุธชั้นดีก็ไม่ใช่เื่ยาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้