วันนี้เสี่ยวเฉียวเยว่ดูเซื่องซึมไม่ร่าเริงสดใส เมื่อซาลาเปาน้อยที่มักกระตือรือร้นตลอดเวลาและไม่ชอบนอนหลับเกิดสงบเสงี่ยมขึ้นมากะทันหัน ก็ทำให้คนอดเป็กังวลไม่ได้
ไท่ไท่สามลูบหน้าผากของนาง แล้วเอ่ยว่า "ตัวก็อุ่นปรกติดี ไม่รู้ว่าเด็กไปชงกับอะไรมาหรือเปล่า"
หลันหมัวมัวกล่าวขึ้นทันที "ไท่ไท่ พวกเราไปตามหมอผีมาดีหรือไม่ เด็กเล็กมักขวัญผวาได้ง่าย"
เสี่ยวเฉียวเยว่ฟังมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกต่อต้านขึ้นมาทันที ในความคิดเห็นของนาง ยุคสมัยนี้อะไรก็ดีไปหมด เสียแต่เชื่อเื่งมงายนี่แหละ
เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองสบายดี นางก็ร้องแอ๊ะออกมาคำหนึ่ง แล้วโบกมือน้อยๆ ยิ้มยิงฟัน... อ้อ ตอนนี้ฟันยังไม่มี...
ซาลาเปาน้อยฟันยังไม่ขึ้นเมื่อฉีกยิ้ม ก็รู้สึกว่ามีแต่ลมผ่านเข้ามาเต็มปาก
แค่กๆ
หม่าม้า หม่าม้า [1] หนูสบายดี อย่าไปทำอะไรงมงาย หนูไม่ชอบ!
ในฐานะแม่ผู้ให้กำเนิด มองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจความหมายของนาง ไท่ไท่สามอุ้มเสี่ยวเฉียวเยว่ขึ้นมาเขย่าเบาๆ แล้วเอ่ยว่า "ข้าว่าไม่จำเป็หรอก เด็กคนนี้ยังร่าเริงสดใส เหมือนคนเสียขวัญที่ไหน"
เสี่ยวเฉียวเยว่ฉีกยิ้มอีกครั้ง ราวกับจะอวดฟันซี่เล็กๆ ซึ่งยังไม่มี เห็นแต่น้ำลายที่กำลังจะไหลออกมา ไท่ไท่สามจึงพูดว่า "เด็กคนนี้คงอยากให้ฟันขึ้นแล้วล่ะสินะ"
"เจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราช่างดียิ่ง ดูอย่างบ้านรอง...." หลันหมัวมัวเริ่มเปิดระบบซุบซิบนินทาอีกแล้ว
เสี่ยวเฉียวเยว่เห็นทุกคนไม่เอ่ยถึงเื่หมอผีอีก ก็ค่อยสงบลง แล้วเข้าสู่อารมณ์ซึมเซาของตนเองต่อไป
อ้อ ใช่ว่านางไม่อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถึงก่อเื่เอาแต่ใจหรอกนะ
ทว่าั้แ่กลายเป็เด็กทารก เสี่ยวเฉียวเยว่ก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้ อย่างเมื่อเช้านี้ นางอึใส่ผ้าห่มผืนน้อยโดยไม่รู้ตัว คนที่เป็ผู้ใหญ่แล้วคนหนึ่ง จะยอมรับความจริงที่ตนเองไม่สามารถควบคุมการขับถ่าย ถึงขั้นอึใส่ผ้าห่มได้อย่างไร คนปรกติที่ไหนเขาทำกัน
นางรู้สึกเศร้าใจมาก
นั่น ดูสิ แบบนี้เลย เด็กเล็กมักไวต่ออารมณ์โศกเศร้าและหดหู่เป็พิเศษ นางเบะปาก พยายามข่มความรู้สึกที่อยากร้องไห้โฮออกมา ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่ได้อยากร้องสักนิด แต่ควบคุมร่างกายของตนเองไม่ได้ การตอบสนองตามสัญชาตญาณของเด็กทารกคือสิ่งยากจะฝืนจริงๆ
พูดตามตรง ั้แ่ข้ามเวลามา นี่เป็ครั้งแรกที่เสี่ยวเฉียวเยว่รู้สึกเสียความมั่นใจ ปรกติเมื่ออยากขับถ่าย นางจะร้องตะเบ็งเสียงดัง จนกระทั่งทุกคนรู้สึกว่าผิดปรกติ
แต่เพราะยังอายุน้อย ครั้งนี้ถึงควบคุมตนเองไม่อยู่จริงๆ น่าอึดอัดใจสุดๆ!
เสียงเท้าเดินแว่วมาจากนอกห้อง แม้เสี่ยวเฉียวเยว่จะยังเล็ก แต่กลับหูไวตาไว ทันทีที่ได้ยินเสียง นางก็เตะเท้าทันที เสียงฝีเท้านี้ คล้ายกับบิดาของนางมาก
บิดาของนางรูปงามหล่อเหลาปานหยกยอดมงกุฎ บุคลิกงามสง่า ดูราวกับเทพเซียนบน์
ที่สำคัญนอกจากจะหน้าตาดีแล้ว ยังมีพร์ มีความสามารถ ชาติตระกูลดีเลิศ แค่ชาติตระกูลดีก็จบแล้วหรือ? ไม่ๆๆ อุปนิสัยส่วนตัวก็ไร้ปัญหา ผู้อื่นรักใคร่ภรรยา ไม่เลี้ยงนางบำเรอ การได้แต่งงานกับคนแบบนี้ แม้อยู่ในฝันก็ยังหัวเราะอย่างมีความสุขได้จริงๆ
เฉียวเยว่รู้สึกเป็เกียรติอย่างมากที่ได้มาเป็บุตรสาวของสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันคู่นี้
เมื่อเทียบกับใครบางคนที่ข้ามเวลาไปอยู่ในครอบครัวที่มีบิดากากๆ กับแม่เลี้ยงใจร้าย ชีวิตของนางถือว่าน่าพอใจ โลกสวย ลั้นลา ฟินสุด!
"ว้ายา ลาล่ะ" คนยังไม่ทันเดินเข้ามา แม่หนูน้อยก็ตะกายแขนป้อมๆ ไปทางประตูไม่หยุดแล้ว
ไท่ไท่สามหัวเราะขบขัน ตบบนตัวนางเบาๆ พลางกล่าวว่า "นี่เ้าลิงน้อย รู้ว่าบิดาของเ้ามาใช่หรือไม่"
พอสิ้นคำเท่านั้น ม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มของชายหนุ่มวัยยี่สิบห้ายี่สิบหกปีก็โผล่เข้ามา เรียกได้ว่าเป็ความงามที่หาได้ยากยิ่ง
เขาก้าวเข้ามาอย่างมีพลัง รับซาลาเปาน้อยจ้ำม่ำที่ชูไม้ชูมือวุ่นวายราวกับจะโบยบินมาอุ้ม
"เฉียวเฉียวคิดถึงพ่อหรือ?"
เฉียวเยว่อยากพยักหน้า แต่กลัวว่าผู้อื่นจะเห็นเป็ตัวประหลาดแล้วจะถูกจับไปเผา จึงเพียงร้องอ้อแอ้ออกมา แล้วหัวเราะร่า เพื่อแสดงความสนิทสนมมากขึ้น นางจึงใช้ดวงหน้าเล็กจ้อยถูกับคอเสื้อของบิดาอย่างแรง
ซูซานหลางผงะไปชั่วขณะ พอเห็นคราบน้ำลายเหนียวยืดบนอาภรณ์สะอาดสะอ้าน ก็ทำอะไรไม่ถูก
ไท่ไท่สามหัวเราะ แล้วกล่าวว่า "ซานหลางรักความสะอาดเป็ที่สุด ตอนนี้คงรู้ซึ้งแล้วสิ ว่าบางคราก็หลบเลี่ยงจากบุตรสาวของตนเองไม่ได้"
เฉียวเยว่มองดูน้ำลายของตนเอง ก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะสกปรกเลยนะ
เหมือนที่นางไปดูแลเด็กอ่อนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเ่าั้ทุกวัน ยังไม่เคยรังเกียจเลย
ต้องเกริ่นก่อนว่าเพราะเหตุใดเฉียวเยว่ถึงรู้สึกผูกพันกับซูซานหลางและไท่ไท่สามมากเช่นนี้ แทบจะปรับตัวได้ทันทีว่าพวกเขาคือบิดามารดาของตนเอง นั่นเป็เพราะนางขาดบิดามารดามาั้แ่เล็ก เป็หญิงสาวที่เติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แต่แม้ว่าจะประสบชะตากรรมเช่นนี้ นางก็ยังคงมองโลกในแง่ดีและร่าเริงสดใสเสมอ
"อ๊าลาล่ะ" เสี่ยวเฉียวเยว่โบกมือน้อยๆ ไปมา
ซูซานหลางอมยิ้มกล่าวว่า "อุปนิสัยของเสี่ยวเฉียวเยว่ไม่เหมือนข้าเลยจริงๆ"
ขณะกล่าววาจาก็ชำเลืองไปที่ไท่ไท่สาม ทอยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กน้อย
ไท่ไท่สามประหม่าจนหน้าแดง ก่อนจะแค่นเสียงดุ "ซานหลางกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร บุตรของท่าน ไม่เหมือนท่านแล้วจะเหมือนผู้ใดเล่า?"
ซูซานหลางรับผ้าเช็ดหน้าของนางมา แล้วเช็ดน้ำลายบนมุมปากให้เสี่ยวเฉียวเยว่เบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้ากระจ่างพร่างพรายยิ่งกว่าเดิม "บุตรไม่ได้ถือกำเนิดจากข้าคนเดียวเสียหน่อย ร่าเริงสดใสอย่างนี้... ดูละม้ายกับใครบางคนอยู่นะ"
เหล่าสาวใช้อยู่กันครบเช่นนี้ ไท่ไท่สามก็ยิ่งขัดเขิน ก้มหน้าบ่นพึมพำ "ท่านเนี่ย ชอบพูดเหลวไหลอยู่เรื่อย"
ซานหมัวมัวรีบพาเหล่าสาวใช้ถอยออกไปจากห้องอย่างรู้กาลเทศะทันที ผู้อื่นจะเกี้ยวพาราสีกัน หากพวกนางยังอยู่ก็ไร้มารยาทแล้ว
ซูซานหลางอุ้มเสี่ยวเฉียวเยว่ไปนั่งบนเตียงเตา [2] เขามองไปทางบุตรชายของตนเอง ยามนี้เสี่ยวฉีอันยังหลับปุ๋ยอยู่ ดูว่าง่ายน่ารักยิ่ง
"บ้านอื่นบุตรชายร่าเริงซุกซน บุตรสาวเรียบร้อยอ่อนโยน แต่ของพวกเรากลับกันโดยสิ้นเชิง"
ไท่ไท่สามซบไหล่ซูซานหลาง อมยิ้มเอ่ยว่า "ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงเด็กๆ สุขภาพแข็งแรงคือดีที่สุด หากพวกเขาสองคนมีอนาคตสดใสเช่นเดียวกับซูซานหลาง ข้าคงจะมีความสุขมาก"
ซูซานหลางกุมมือภรรยา กล่าวว่า "ข้ากลับปรารถนาให้พวกเขาเหมือนเ้ามากกว่า"
เสี่ยวเฉียวเยว่เริ่มมองซ้ายทีขวาที สองคนนี้บังคับป้อนอาหารสุนัข [3] ให้ผู้อื่นอีกแล้ว
ซูซานหลางบังเอิญก้มหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นบุตรสาวตัวน้อยของตนกำลังจ้องแป๋ว เขาทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ใช้นิ้วเขี่ยแขนขาวอวบราวกับหัวไชเท้าของซาลาเปาน้อยแล้วเอ่ยว่า "มองอะไร หืม?"
เสี่ยวเฉียวเยว่กลัวว่าผู้อื่นจะเห็นความผิดปรกติของตนเอง จึงเลื่อนสายตาไปทางอื่นทันควัน ก่อนยกเท้าน้อยๆ ของตนเองขึ้นมาอมเสียเลย
แม้ว่าจะเป็ผู้ใหญ่ แต่นางควบคุมอากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ของตนเองไม่ได้จริงๆ ตอนทำครั้งแรกรู้สึกขัดเขินมาก พอครั้งที่สองเริ่มชิน หลายครั้งเข้าก็ไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไป
ต้องบอกว่าการอมนิ้วเท้าเป็วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ซูซานหลางหัวเราะ "ยายหนูคนนี้นี่"
ไท่ไท่สามเอ่ยว่า "ชีเจี่ยเอ๋อร์เฉลียวฉลาดหัวไวมาก"
"บุตรสาวของข้า จะเป็คนโง่งมได้อย่างไร" ซูซานหลางพูดมาถึงตรงนี้ ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ "วันนี้ข้าเจอพี่ิ่หวาย เขากลับมาเมืองหลวงแล้ว"
พอเอ่ยถึงคนผู้นี้ ไท่ไท่สามก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ช้านางก็เริ่มละล้าละลัง "ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?"
ด้วยความตื่นตระหนก จึงผลุนผลันจับมือของซูซานหลางโดยไม่รู้ตัว เสี่ยวเฉียวเยว่ที่นอนอมนิ้วเท้าอยู่หูผึ่งทันใด
นับั้แ่นางข้ามภพมา หม่าม้าของนางผู้นี้มักวางตัวสุขุม และเก่งกาจสามารถอยู่เสมอ ท่าทางลนลานเหมือนอย่างวันนี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน
พี่ิ่หวายคนนี้ไม่รู้ว่าเป็ใคร ถึงสามารถทำให้มารดาของนางใจนเป็แบบนี้ได้
แม้ไท่ไท่สามจะร้อนรนกระวนกระวาย แต่ซูซานหลางกลับสงบนิ่ง เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็น "ไม่ต้องกังวล าชายแดนสิ้นสุดแล้ว เขาย่อมจะกลับมา อาอิ่ง เ้าอย่าวิตกเกินไป เขากลับมาครานี้ ได้พาฮูหยินกับบุตรชายกลับมาด้วย"
ซูซานหลางปลอบโยนภรรยา และตบหลังมือของนางเบาๆ เพียงแต่การปลอบประโลมเช่นนี้ก็ไม่อาจทำให้ไท่ไท่สามใจสงบลงได้ นางยังคงนิ่วหน้า "ข้ากลัวว่า..."
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกซูซานหลางตัดบท "เ้ารู้สึกว่าข้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ภรรยาของตนเอง? หรือคิดว่าพี่ิ่หวายเป็ตัวอันตรายที่น่ากลัว?"
พูดมาถึงตรงนี้ มุมปากก็ค่อยๆ โค้งขึ้น "วันมะรืนเขาจะจัดงานเลี้ยงในจวน ส่งเทียบเชิญมาให้ครอบครัวของพวกเรา เชื้อเชิญให้ไปเยี่ยมเยือนจวนสกุลิ่ และข้าก็รับปากไปแล้ว"
พอได้ยินซูซานหลางเอ่ยขึ้นมาแบบนี้ ไท่ไท่สามซึ่งพยายามสงบจิตใจของตนเองอย่างมากก็กลอกตาใส่เขา พลางตัดพ้อต่อว่า "ท่านนี่น่าชังยิ่ง รู้ทั้งรู้ว่าข้ากังวลด้วยเหตุใด ยังไปรับปากผู้อื่นอีก"
แม้จะว่ากล่าวเช่นนี้ แต่หาได้มีเจตนาจะตำหนิติเตียนแต่อย่างใด
นางรู้ว่าเื่นี้อาศัยเพียงการตัดสินใจของสามีฝ่ายเดียวคงไม่พอ คิดว่าผู้มีอำนาจในบ้านน่าจะตัดสินใจไปแล้ว ถึงมาแจ้งพวกเขาเสียมากกว่า
"แล้วท่านคิดว่า เขาจะไม่มีเจตนาร้ายจริงหรือ? ปีนั้นข้ากับเขาเคยมีสัญญาหมั้นหมายกัน ไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากับภรรยาของเขาติดหรือไม่สิ" ไท่ไท่สามเอ่ย
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ภายในใจไท่ไท่สามก็ยังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยความวิตก
ซูซานหลางยิ้ม แล้วก้มลงไปใช้นิ้วเขี่ยพวงแก้มป่องๆ ของบุตรสาวตนเองต่อ พลางเอ่ยว่า "หากเขากล้าหาเื่ ข้าก็จะจับเสี่ยวเฉียวเฉียวของเราไปวางใส่ตัวเขา ให้เสี่ยวเฉียวเฉียวสั่งสอนด้วยการอึรดใส่เสียเลย ช่วยบิดามารดาระบายความแค้น ดีหรือไม่?"
เสี่ยวเฉียวเยว่พลันรู้สึกว่าตนเองหายใจติดขัด
ให้ตายเถอะ... มีใครเขาสอนบุตรสาวของตนเองอย่างนี้กันบ้าง?
เสียแรงที่อุตส่าห์ยกย่องว่าเป็คุณชายผู้ดีงามล้ำเลิศประดุจหยกจริงๆ ฮึ!
ไท่ไท่สามหัวเราะขบขันกับถ้อยคำติดตลกของเขา ไม่ตกประหม่าเหมือนอย่างตอนแรกแล้ว "อย่าพูดเหลวไหล เฉียวเฉียวของเราแสนดีขนาดนี้ จะไปทำเื่พรรค์นั้นได้อย่างไร ท่านเป็ถึงบิดา จะสอนบุตรสาวส่งเดชเยี่ยงนี้มิได้ เฉียวเฉียวของเราจะต้องเป็กุลสตรีผู้มีสติปัญญา เปรื่องปราดสามารถที่สุดของเมืองหลวง"
ซูซานหลางเชิดคางอย่างภาคภูมิใจ "บุตรสาวของข้าซูซานหลางกับเ้าฉีอิ่งซินย่อมเป็กุลสตรีผู้เพียบพร้อมที่สุด เป็หญิงงามสูงศักดิ์ที่ใครๆ ล้วนอิจฉา เช่นนี้แล้ว เ้ามีสิ่งใดจะท้วงติงหรือไม่?"
ไท่ไท่สามยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม "ย่อมไม่มีสิ่งใดท้วงติง"
เสี่ยวเฉียวเยว่ยังคงดูดนิ้วเท้าต่อ แต่คอยเงี่ยหูเก็บข้อมูลจากบทสนทนาของพวกเขาอยู่เงียบๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าสามีภรรยาคู่นี้ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก!
นางหรือ... กุลสตรี?
เหตุไฉนแม้แต่ตนเองก็ยังไม่เชื่อเลยล่ะ!
เมื่อก่อนนางเป็ถึงจอมอหังการน้อยเชียวนะ
นี่แน่ะๆ
ไม่ ไม่ ไม่ ซูเฉียวเยว่ ชาตินี้เ้าต้องเป็หญิงงามผู้สูงศักดิ์ มิเช่นนั้นก็เป็การผิดต่อชื่อเสียงเรียงนามของเ้าหมด
Go Go Go สู้ๆ ซูเฉียวเยว่ เ้าทำได้!
...
[1] หม่าม้า หมายถึงแม่ เป็ภาษาปัจจุบัน
[2] เตียงเตา หรือเตียงอุ่น คือเตียงที่ก่อจากอิฐ ข้างใต้มีลักษณะกลวงเป็ที่ส่งความร้อน ้าทับด้วยหินพอกดินโคลน จากทับจึงปูทับด้วยเสื่อหรือฟูก ด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับปล่องจากเตาไฟ ด้านหนึ่งมีช่องระบายควัน มีทั้งแบบจุดไฟในห้อง บ้างเชื่อมต่อมาจากเตาไฟในห้องครัว หรือจุดไฟใต้เตียง ความร้อนที่เกิดจากการจุดไฟจะส่งผ่านแผ่นหินขึ้นไปยัง้าเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่เตียงอุ่น เมื่อไฟมอดลงแต่ความอบอุ่นยังถูกกักเก็บไว้ใต้เตียง
[3] หมายถึงชายหญิงที่แสดงความรักให้ผู้อื่นเห็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้