ศาลบรรพชนของตระกูลเหยียนตั้งอยู่ในลานเล็ก ๆ ข้างประตูหลังของจวนตระกูลเหยียน ในยามปกติฮูหยินเหยียนมักจะเข้ามาเพื่อเคารพบูชา และนอกจากผู้ที่มีหน้าที่ทำความสะอาดที่นี่แล้วก็ไม่ค่อยมีผู้ใดเข้ามาอีก ที่นี่จึงมักจะสะอาดอยู่เสมอ
บ่าวรับใช้พาเหยียนลั่วมาที่ศาลบรรพชน หลังจากมอบพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก[1] และกฎตระกูลที่เขียนโดยบรรพบุรุษให้เขาเอาไว้เป็ต้นแบบแล้วก็ถอยออกมา แม้กระทั่งซือเยี่ยที่เป็บ่าวประจำกายของเหยียนลั่วก็ยังสามารถเข้าไปได้เพียงใน่เวลาของมื้ออาหารทั้งสามมื้อเท่านั้น
เมื่อมองประตูที่ปิดลงของศาลบรรพชนแล้ว เหยียนลั่วก็รู้สึกอยากร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตา แต่ก็ยังจุดธูปหอมพร้อมกับหยิบฟูกขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงด้วยความเคารพ หลังจากคารวะบรรพบุรุษแล้วจึงฝนหมึกเริ่มคัดลอกกฎตระกูล กฎตระกูลเหยียนมีทั้งหมดเก้าสิบเก้าบรรทัด ต้องคัดวันละสิบเที่ยว เหยียนลั่วคิดอย่างเยาะเย้ยตนเองว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ลายมือของเขาจะต้องพัฒนาไปอีกระดับอย่างแน่นอน
เฮ้อ...
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันที่เงียบสงบ การสอนยังคงเป็สิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของอิ้งหลี นอกจากตี้จวินที่ทรงแกล้งประชวรเป็ครั้งคราวแล้ว ก็มีเพียงเื่ซุบซิบที่ยังไม่มีแผนที่จะดำเนินการ เหยียนชิงก็ผ่อนคลายลงเป็การชั่วคราว เขาติดภรรยาราวกับสีทาจวน[2] จึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเพียงหนึ่งลมหายใจ
เทียบกับเหยียนชิงที่ใช้ชีวิตทุกวันอย่างชุ่มชื้นแล้ว ชีวิตของเหยียนลั่วในศาลบรรพชนกลับไม่ค่อยดีนัก ในทุก ๆ วันเขาทั้งปวดเอว ปวดหลัง ขาชา และปวดมือ กล่าวได้ว่าหนึ่งวันเหมือนหนึ่งปี ยังดีที่ในการรับประทานอาหารสามมื้อต่อวัน ซือเยี่ยพยายามเพิ่มเวลาให้มากที่สุดเพื่อสนทนากับเขา ช่วยเขาคัดลอกกฎตระกูล เขาทั้งใจดีและเอาใจใส่
“ซือเยี่ย เ้าไม่ต้องคุกเข่าเช่นเดียวกับข้า...”
เหยียนลั่วที่กำลังหาวมองคนที่คุกเข่าอยู่ข้างตัวและกำลังช่วยเขาคัดกฎของคนในตระกูล ด้วยตัวอักษรที่เขียนได้ดีกว่าของเขา
ชายผู้อ่อนโยนหันศีรษะมาทางเขาก่อนจะยิ้มให้แล้วส่ายหัว “ไม่ ข้าจะทำเป็เพื่อนท่าน”
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปเช่นนี้ หลังเทศกาลตวนอู่[3] เหยียนลั่วจึงได้รับการปล่อยตัวออกจากศาลบรรพชน เขากำจัดสภาพของตนที่กลายเป็ปลาเค็ม[4] ออกไป แล้วกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งตรงกับเวลาที่จดหมายจากอิ้งหลีมาถึงพอดี คนที่ถูกทำให้ขาดอากาศหายใจจึง้าเดินทางไปยังเมืองเทียนซูโดยอ้างว่าจะไปเยี่ยมน้องรอง และตรวจสอบกิจการของตระกูลเหยียนในเมืองเทียนซู
ด้วยรู้ดีว่าสันดานคนนั้นแก้ยาก ฮูหยินเหยียนจึงยอมเห็นด้วยพร้อมกับออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าหากทำตัวเสเพลล่องลอยไปทุกหนทุกแห่งโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้อีก นางจะตัดสัมพันธ์แม่ลูก
หลังได้รับบทเรียนในครั้งนี้แล้วเหยียนลั่วจึงไม่กล้าอวดดีมากจนเกินไป ประกอบกับการถูกเพิกเฉยจากใครหลายคนทำให้รู้ว่าสถานภาพบุตรชายคนโตของเขานั้นไม่ดีเหมือนแต่ก่อน จึงเพียงยิ้มเอาใจท่านแม่ก่อนจะให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น เขาสัญญาว่าจะไปเมืองหลวงเพียง่เวลาสั้น ๆ แล้วจะกลับมา
เนื่องด้วยตัวตนของซือเยี่ยไม่ค่อยสะดวกนัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็เหยียนลั่วจึงไม่พาเขาไปด้วย
ซือเยี่ยรู้สึกหลงทางเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก ช่วยคนที่กำลังร่าเริงจัดสัมภาระอย่างเงียบ ๆ มีเพียงร่องรอยของความคับข้องใจปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางที่ขบเม้มลงเท่านั้น
อันที่จริงหลังจากที่ซือเยี่ยเข้ามาอยู่ในจวนตระกูลเหยียนเขาก็ประพฤติตัวดีและอยู่อย่างสงบจริง ๆ สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจมาก ตราบใดที่ชายผู้นี้อยู่อย่างสงบ มันจะไม่เป็อะไรหากเขาจะลี้ภัยอยู่ในจวนตระกูลเหยียน
อย่างที่ชิงเอ๋อร์เคยกล่าวไว้ การปกครองของเมืองนอกด่านนั้นวุ่นวายมาหลายปีแล้ว มีาระหว่างเมืองเกิดขึ้นมากมาย ทั้งยังเข้ามาคุกคามแคว้นเทียนซูเป็ครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าซื่อเยี่ยเป็เบี้ยที่สามารถใช้ประโยชน์และสลัดทิ้งได้ทุกเมื่อ ตอนนี้มาอาศัยอยู่ที่นี่ รอให้เหตุการณ์สงบลงแล้วค่อยส่งกลับไปก็ยังได้
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาจากด้านหลังที่จ้องมา ทั้งไม่สามารถละเลยได้ ซือเยี่ยจึงหยุดเก็บของแล้วหันหลังไปถามคนที่กำลังจ้องมองเขาขึ้นมาเบา ๆ ว่า
“คุณ... เอ่อ เหยียนลั่วท่าน้าอะไรอีกหรือไม่?”
ยามอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเหยียนลั่วอนุญาตให้เขาเรียกชื่อจริงได้ ด้วยยังเคารพในตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ที่น่าตลกคือ ในแคว้นของเขา เขาไม่มีอะไรเลยนอกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติ สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เป็อยู่ในทุกวันนี้หลายร้อยเท่า ดังนั้นเขาพอใจกับชีวิตในตอนนี้มาก ดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างผู้ช่วยชีวิต
เมื่อเหยียนลั่วต้องเผชิญกับดวงตากระจ่างใส การแสดงออกจึงช้าลงไปเล็กน้อย
“ใน่ที่ข้าไม่อยู่เ้าจงอยู่แต่ในเรือนอย่าออกไปไหน เพียงแค่ดูแลดอกไม้ใบหญ้าในสวนก็พอแล้ว หาก้าออกไปภายนอกต้องขอคุณชายสามหรือฮูหยินน้อยก่อน ต้องเดินร่วมกับผู้อื่นห้ามเดินคนเดียว มันไม่ปลอดภัย”
ซือเยี่ยเงยหน้าขึ้นหลังจากฟังจบแล้วจึงพยักหน้าลง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านออกไปข้างนอกก็ต้องระวังตัวด้วยเช่นกัน”
แน่นอนว่าเหยียนลั่วยังคงเป็คนที่มีศีลธรรมและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เขาเข้าใจความเฉยเมยก่อนหน้านี้ แต่เขาสามารถรับรองได้ว่าเขาจะไม่สร้างความยุ่งยากให้กับตระกูลเหยียน เขาไม่ใช่คนเนรคุณ
เหยียนลั่วไปเมืองเทียนซู เหยียนหานก็เริ่มติดตามอาจารย์เพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ คนที่ค่อยส่งเสียงเฮฮาออกไปแล้ว จวนตระกูลเหยียนที่มีขนาดใหญ่จึงเงียบเหงาลงมากในทันที
จนกระทั่งไม่กี่วันต่อมา เหยียนชิงได้รับจดหมายจากอิ้งหลี นอกจากบอกว่าเหยียนลัวไปถึงเมืองเทียนซูแล้ว ยังบอกเขามาอีกว่าตี้จวินกำลังจะ ‘ปรับตัวไปตามสถานการณ์’ พระราชทานยศให้องค์ชายใหญ่เฟิงฉางหลินขึ้นเป็เซ่อเจิ้งอ๋อง พระราชโองการพร้อมแล้ว เพียงรอเวลาสั้น ๆ ให้ ‘พระวรกายแข็งแรง’ หลังจากนั้นจะมีการประกาศออกไป
นอกจากนี้ เนื่องจากเมื่อได้รับยศอ๋องแล้วองค์ชายใหญ่จะไม่สามารถอาศัยอยู่ในพระราชวังได้อีก แต่ท้ายที่สุดแล้วเขายังเด็กอยู่ ดังนั้นตี้จวินจึงวางแผนอย่างเอาใจใส่ มีรับสั่งให้สร้างจวนเซ่อเจิ้งอ๋องข้างจวนราชครู และกลายมาเป็เพื่อนบ้านที่มีเพียงกำแพงกั้นของอิ้งหลี
หลังจากเหยียนชิงอ่านจดหมายจบก็เงียบไปเป็เวลานาน ดูเหมือนว่าตี้จวินจะ้าพึ่งพาตระกูลเหยียน เป็ทั้งเื่ดีและไม่ดี การที่ตี้จวินทรงไว้วางพระทัยถือว่าเป็เื่ที่ดี แต่ด้วยเหตุนี้สถานการณ์ของอิ้งหลีในเมืองหลวงจะยิ่งยากลำบาก ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ครองตำหนักบูรพาที่ยังเยาว์วัยและเซ่อเจิ้งอ๋องที่ยังเล็กเท่านั้นที่จะถูกผลักไปข้างหน้า ราชครูอย่างอิ้งหลีก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน
หลังจากเว่ยซูหานอ่านจบก็ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ในชีวิตนี้คงเป็เพราะการที่เขาและเหยียนชิงอยู่ด้วยกันทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปโดยไม่ได้ตั้งใจ สถานการณ์ในตอนนี้จึงค่อนข้างยุ่งเหยิง
แม้ว่าในชีวิตก่อนเฟิงฉางหลินจะได้ขึ้นเป็เซ่อเจิ้งอ๋อง และยังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยองค์รัชทายาท มีความซื่อสัตย์ภักดี แต่ตอนนี้เฟิงฉางหลินยังเด็กเกินไป ไม่อาจรับมือกับแรงกดดันจากรอบด้านได้ หากทำไม่ถูกก็จะส่งผลถึงอิ้งหลี
ในชีวิตก่อนอิ้งหลีได้รับาเ็จนเสียชีวิตั้แ่ยังหนุ่มก่อนที่บ้านตระกูลเหยียนจะเกิดเื่ แม้ว่าในตอนนี้เขาจะเปลี่ยนชะตากรรมของชาติที่แล้วและได้เป็ราชครู และเขายังจ้างคนให้มาสังหารเยว่ฉานผู้ที่ลงมือสังหารอิ้งหลีในชีวิตก่อนไปแล้ว แต่ผู้บงการตัวจริงที่อยู่เื้ัยังไม่เคยถูกค้นพบ ดังนั้นก่อนโศกนาฏกรรมในอดีตที่ผ่านมาจะหมดสิ้นไปก็ยังอาจตัดสินได้ว่าสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของอิ้งหลีได้แล้วจริง ๆ
ต้องข้องเกี่ยวการต่อสู้ไร้เืของเหล่าขุนนางอันตรายกว่าการโต้แย้งในที่สว่างมากนัก
“ชิงเอ๋อร์คิดอย่างไรกับการกระทำของตี้จวิน?”
เว่ยซูหานมองไปยังคนรักที่กำลังครุ่นคิดอยู่ เนื่องจากเหยียนชิงมักจะมีการวางแผนที่เหมาะสมในหลายครั้งที่ผ่านมา เขาจึงเคยชินกับการฟังคำแนะนำของเหยียนชิงก่อน
“ปรับตัวไปตามสถานการณ์ พี่รองต้องทำได้”
เหยียนชิงเม้มริมฝีปากแน่น เผาจดหมายก่อนโยนออกไปนอกหน้าต่าง ตี้จวินไม่ได้โง่เขลา ในเมื่อเขากล้าทำเช่นนี้ย่อมมีการเตรียมพร้อมสำหรับการปกป้องตระกูลเหยียนเอาไว้แล้ว คนฉลาดอย่างพี่รองจะต้องปรับตัวได้อย่างแน่นอน พวกเขาต้องระมัดระวังตัวอีกเพียงแค่สองปี หลังจากนั้นพวกเขาจะสามารถร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่จัดการกับมันได้ เพียงแค่นั้น ขอแค่ให้ตี้จวินช่วยปกป้องตระกูลเหยียนเพียงสองปีเท่านั้น ช่วยปกป้องพี่รองไปอีกสักหน่อยเถอะ
“ได้” เว่ยซูหานกอดเขา “พวกเราทำงานร่วมกัน”
เนื่องจากในชีวิตที่แล้วเยว่ฉานเป็ผู้มีส่วนร่วมในการทำร้ายอิ้งหลี ดังนั้นในชีวิตนี้จึงต้องให้ซือซือคอยแอบปกป้องอิ้งหลี
เชิงอรรถ
[1] พู่กัน แท่งหมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก (笔墨纸砚) คือสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือของคนจีนในสมัยโบราณมักถูกเรียกรวมว่า文房四宝
[2] ติดราวกับสีหรือกาว (如胶似漆) แปลว่าเกาะติดกันแน่นมากแยกออกได้ยาก บรรยายความรู้สึกลึกซึ้งแยกไม่ออก (ส่วนใหญ่ใช้ระหว่างคู่รักหรือสามีภรรยา)
[3] เทศกาลตวนอู่ (端午节) หรือเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เป็หนึ่งในสี่เทศกาลสำคัญของจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ เป็การระลึกถึงวันที่ คุดก้วน หรือ ชวีเยวี๋ยน กวีผู้รักชาติในยุคจั้นกั๋วเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ กิจกรรมการเฉลิมฉลองของเทศกาลนี้มีหลากหลายรูปแบบ ที่รู้จักกันโดยที่วไป คือ แข่งเรือั กินบ๊ะจ่าง พกถุงหอม แขวนไอ้เย่(ป็นพืชในตระกูลดาวเรือง) และว่านน้ำ (菖蒲) ไว้ตรงคิ้วประตู
[4] ปลาเค็ม (咸鱼) อุปมาเกี่ยวกับศพ เพื่ออธิบายการฟื้นคืนชีพของคนตาย และเป็การอุปมาถึงปรากฏการณ์ของการพลิกกลับครั้งใหญ่ของสิ่งที่กำลังจะล้มเหลว หรือจะใช้เพื่อพูดถึงคนี้เี ไม่มีความฝันก็ได้เช่นกัน
