บทที่ 149 สถานการณ์เปลี่ยนไป
“ซิวหลัวหน้าผี...ผู้าุโ! ท่านบอกว่าซิวหลัวหน้าผีสามารถช่วยข้ากับพี่หญิงได้?! เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฉู่อวิ๋นกัดฟันด้วยความกังวล นี่เป็โอกาสเดียวในชีวิต หากพลาด ก็ไม่มีโอกาสได้ลงมืออีก
“เฮ้อ... พูดแล้วเื่มันยาว ลงไปคุยกับซิวหลัวหน้าผีสิ! ตราบใดที่เ้าเข้าใกล้เขาได้ ข้าก็มีวิธีที่จะช่วยพี่สาวของเ้าโดยที่เ้าไม่ต้องเสี่ยงเลย”
“จริงหรือ? แต่...”
“คำเดียว! เ้าเชื่อข้าหรือไม่?”
“ข้า... อ๊าก!! เวรเอ้ย!!”
เมื่อได้ยินคำพูดของโยวกู่จือ ฉู่อวิ๋นก็กำหมัดกัดฟันแน่น ในที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจ ใส่ลูกปัดควันกลับเข้าไปในวงแหวนอวกาศ และหยุดลงมือ
“นี่! ผู้าุโ ข้าย่อมเชื่อท่านอยู่แล้ว…” ดวงตาของฉู่อวิ๋นหรี่ลง “แต่ท่านแน่ใจหรือ? ว่าคนคนนี้สามารถช่วยข้ากับพี่ซินเหยาได้?”
“ข้าเคยโกหกเ้าเมื่อใดกัน?” โยวกู่จือพูดอย่างโกรธๆ ด้วยท่าทางกังวล “รีบลงไปสิ! ถ้าปล่อยให้เขาหนีไปได้ เ้าก็คงไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ!”
“ได้!”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็มองไปที่ด้านหลังของฉู่ซินเหยาที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเดินออกจากที่นั่งอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังเวทีลานประลอง
ในขณะที่เขากำลังเดิน ผลผู้ชนะก็ปรากฏ
“ตูม!”
มีเพียงเสียงดังลั่นเท่านั้นที่เขาได้ยิน รองเ้าสำนักแห่งสำนักชิงเฟิงก็ถูกซิวหลัวหน้าผีต่อยจนกระเด็นไปไกล เืพุ่งออกจากปาก ทำให้ผู้ชมทุกคนใจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ
ชนะอีกแล้ว! ซิวหลัวหน้าผีคนนี้ชนะการประชันห้าัอีกแล้ว!
ทันใดนั้น ทั่วทั้งลานก็เต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงเดือดพล่านดังลั่นอยู่ทุกหนทุกแห่ง!
“ซิวหลัวหน้าผี!”
“ซิวหลัวหน้าผี!”
เมื่อได้ยินเสียงกู่ก้องที่ะเิลั่นราวฟ้าร้อง ชายสวมหน้ากากปีศาจก็เบะปาก หันกลับไปและะโลงจากสนามอย่างสง่างาม ทำให้สาวๆ หลงใหลกรีดร้อง
และในขณะที่ซิวหลัวหน้าผีกำลังจะเดินไปรับรางวัล ก็มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น
“คุณชายผี!”
ฉู่อวิ๋นะโไปข้างหน้า ใบหน้าของเขารู้สึกตื่นตระหนก ด้วย้าเข้าใกล้เขาดังที่โยวกู่จือบอก
แต่ก่อนจะได้เข้าใกล้ในระยะสามหรือสี่หมี่ ซิวหลัวหน้าผีก็แค่นเสียงใส่อย่างเ็า เปิดใช้พลังปราณโปร่งใส ห่อหุ้มตัวเองด้วยแสงที่ส่องแสงระยิบระยับ
“เ้าเป็ใคร?! คิดจะทำอะไร?!” ซิวหลัวหน้าผีพูดอย่างเ็า
เมื่อถูกก้อนพลังขัดขวาง ฉู่อวิ๋นก็ทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะระวังตัวมาก แต่โยวกู่จือไม่ได้บอกเขาว่าลงมือได้หรือไม่
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยกมือขึ้นประสานเคารพแล้วพูดว่า “ข้าชื่ออวิ๋นชู เป็นักล่าอยู่บนูเา มาที่นี่เพื่อหารือเื่สำคัญกับท่าน”
“มีเื่สำคัญจะหารือหรือ?!” ซิวหลัวหน้าผีตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ! เป็แค่นักรบขอบเขตควบแน่นพลังปราณ กลับมาบอกว่า้าคุยเื่สำคัญกับข้า? น่าขันจริงๆ~”
“ผู้าุโ! เ้าคนนี้... ไม่ให้ความร่วมมือเลย!” ฉู่อวิ๋นหรี่ตาลง อารมณ์ถูกปลุกเร้า เขากำหมัดแน่น อยากจะซัดสักหมัด
น้ำเสียงของเขาสุภาพ แต่อีกฝ่ายกลับพูดจาเสียงดังและดูถูก คนป่าอย่างอวิ๋นชูย่อมไม่พอใจเป็ธรรมดา
“ไอ้หนู ข้ารู้ว่าเ้านี่ไม่มีทางร่วมมือด้วยง่ายๆ แต่แค่เ้าเข้าใกล้แล้วติดวงแหวนอวกาศไว้บนตัวเขา ข้าก็สามารถทำให้เขาเชื่อฟังได้” โยวกู่จือพูด
“ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เืของฉู่อวิ๋นก็พลุ่งพล่าน พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้น เขาชักหิมะย่ำรุ้งออกมาด้วย้าต่อสู้กับชายสวมหน้ากากที่หยิ่งผยองคนนี้!
สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของฉู่ซินเหยา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องสู้!
“ควับ!”
แสงสีแดงวูบวาบ ฉู่อวิ๋นกลายเป็ภาพเงาในทันที ฟาดพลังปราณไฟหยางออกไปในอากาศเพื่อทำลายกำแพงพลังปราณของซิวหลัวหน้าผี
“หืม? พลังปราณดีมาก!” เมื่อมองไปที่แสงกระบี่ที่กะพริบอยู่ตรงหน้า ซิวหลัวหน้าผีก็ยิ้มอย่างตื่นเต้นและยกมือขึ้นเตรียมโต้กลับ
“ตึง!”
แต่ทันใดนั้นเอง ชายชราเคราสีขาวก็ะโขึ้นไปในอากาศ ผลักออกด้วยมือซ้ายคว้าจับด้วยมือขวา หยุดการโจมตีจากทั้งสองฝ่ายและสร้างคลื่นพลังที่น่าอัศจรรย์
“หนุ่มน้อยทั้งสอง... อย่า...”
“ตาเฒ่า! ถอยไป!”
“ตาเฒ่า! ถอยไป!”
แต่ก่อนที่ชายชราจะได้พูดอะไร ชายหนุ่มทั้งสองก็ะโพร้อมกัน ทั้งคู่มีสีหน้าประมาณว่า “อย่ามาขวางทางคนจะทะเลาะกัน”
แน่นอนว่าทั้งคู่สวมหน้ากาก ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นสีหน้าของพวกเขาได้ชัดเจน
“สหายทั้งสอง โปรดอดทนหน่อยเถิด นี่เป็่พักรบ ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ หากมีปัญหาใดๆ โปรดขึ้นไปตกลงกันบนลานประลองเถิด”
ขณะที่พูด ชายชราก็ประสานมืออย่างสุภาพ ปล่อยให้ทั้งฉู่อวิ๋นและซิวหลัวหน้าผีตกตะลึง
ทันใดนั้น ซิวหลัวหน้าผีก็กลอกตาและหัวเราะเบาๆ “เ้าหนู! เดิมทีเ้าเป็เพียงนักรบขอบเขตควบแน่นพลังปราณ ดังนั้นข้าจึงไม่อยากเสียเวลาคุยกับเ้า แต่เพราะทักษะกระบี่เ้าไม่เลว ข้าจึงจะให้โอกาส!”
“พูดมา!” ฉู่อวิ๋นยืนถือกระบี่ไว้โดยไม่ยอมแพ้
“ดีมาก ลูกผู้ชาย!” ซิวหลัวหน้าผีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเ้า้าหารือเื่สำคัญกับข้า เ้าก็ต้องแสดงฝีมือออกมาให้ดูก่อน ว่าคู่ควรหรือไม่!”
“ขอเพียงเ้าสามารถเอาชนะประชันห้าัได้ ข้าซิวหลัวหน้าผี จะยินยอมหารือเื่สำคัญกับเ้า! ว่าอย่างไร?!”
“ได้ อย่าคืนคำล่ะ!” ฉู่อวิ๋นยอมรับข้อเสนอโดยไม่แม้แต่จะคิด
ได้ยินเช่นนั้น ซิวหลัวหน้าผีก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หัวเราะเริงร่า “ลูกผู้ชายควรกล้าหาญเที่ยงตรง ข้าซิวหลัวหน้าผีรอเ้าอยู่ที่นี่! หากไม่รอก็ขอให้เป็ไข่เต่า!”
ฉู่อวิ๋นเก็บกระบี่ ยืนตัวตรงอย่างองอาจ และเอ่ยว่า “คำไหนคำนั้น!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเดินไปที่โต๊ะรายงานตัว
ในเวลานี้ ผู้ชมจำนวนมากสังเกตเห็นความขัดแย้งนี้ หลายคนต่างก็งุนงงและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เ้าเด็กขอบเขตควบแน่นพลังปราณนี่ป่วยหรือเปล่า? กล้าไปท้าทายซิวหลัวหน้าผีจริงๆ หรือ? ไม่รู้หรือว่าแค่ไม่กี่วันนี้เขาชนะการแข่งขันไปเท่าไรแล้ว”
“ข้าว่าเ้าคนป่านี่คงไม่ยอมกระมัง? หรือบางทีเขาอาจจะอยากเลียนแบบซิวหลัวหน้าผีก็เป็ได้ ดูสิ! ทั้งคู่สวมหน้ากากเหมือนกันเลย”
“เดี๋ยวก่อน...เด็กป่านั่น เพิ่งบอกว่า้าเข้าร่วมการประชันห้าัหรือ?”
ฉู่อวิ๋นไม่แม้แต่จะสนใจความเร่งรีบและคึกคักของลานนี้ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะรายงานตัวและพูดกับคนที่เขียนบันทึกว่า “ข้าชื่ออวิ๋นชู ้าเข้าร่วมการประชันห้าัในรอบต่อไป โปรดลงชื่อให้ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้บันทึกก็มองดูฉู่อวิ๋นอย่างร้อนรุ่ม จากนั้นก็ชักสีหน้ารังเกียจและพูดอย่างเหยียดหยาม “นี่? ไอ้หนู สภาพอย่างเ้าน่ะหรือจะเข้าร่วมการประชันห้าั?”
“รู้หรือไม่ว่ามาตรฐานความแข็งแกร่งขั้นต้นสำหรับการเข้าร่วมการประชันห้าั อย่างน้อยๆ แล้วต้องอยู่ในระดับแรกของขั้นมหาสมุทร มิฉะนั้นแล้วตอนไปถึงลานประลอง ตายก็ยังไม่รู้ว่าตายยังไง”
“ข้า้าเข้าร่วม!” ฉู่อวิ๋นเบิกตาโมโห ตอนนี้เขาไม่ได้ทำตามแผนเดิม จึงวิตกกังวลอย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะคำพูดโน้มน้าวของโยวกู่จือ ฉู่อวิ๋นก็คงไม่เชื่อว่าซิวหลัวหน้าผีนั่นจะช่วยเขากับฉู่ซินเหยาได้
ยามนี้ ผู้บันทึกเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของฉู่อวิ๋นก็แสร้งทำเป็โมโหแล้วเยาะเย้ย “อะไรกัน? ข้าไม่ลงชื่อให้แล้วอย่างไร? เ้าจะกัดข้าหรือ? จะตีข้าหรือ?”
“เ้าจะเขียนหรือไม่เขียน?”
“เชอะ! เป็แค่เด็กในขอบเขตควบแน่นพลังปราณ คิดว่าเนื้อหนังเ้ามาจากหัวไชเท้าสด[1]หรือ? กล้าปอกเปลือกตนเองตรงนี้หรือไม่เล่า?”
“ข้าบอกเ้าไว้ตรงนี้เลยว่า ‘ข้า ไม่ เขียน’ เ้าจะทำอะไรข้าได้? อยากตีข้าหรือ? มาสิ หน้าข้าก็อยู่ตรงนี้แล้ว~”
ขณะที่พูด ผู้บันทึกก็มองเขาอย่างมีชัย เงยหน้าขึ้นแล้วใช้นิ้วกดลงบนแก้มอย่างล้อเลียน
“เชอะ!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นก็เงื้อมือขึ้นด้วยความโกรธ หงายฝ่ามือและตบไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง!
“เพียะ--!”
เสียงตบดังก้องไปทั่วลาน
ทันใดนั้น ผู้บันทึกก็กระเด็นไปพร้อมเก้าอี้ของเขาหลายร้อยหมี่ กระแทกกับผนังขอบจัตุรัส เศษหินปลิวว่อน ฝุ่นควันลอยฟุ้ง กลายเป็หลุมที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์
และผู้บันทึกคนนั้นก็ฟันร่วงหมดปาก ใบหน้าฟกช้ำบวมปูด จมูกบวมแดงจนกลายเป็หัวหมูน่าเกลียด ทั้งตัวติดอยู่กับกำแพง เขาเ็ปจนดวงตาคล้ายมองเห็นดาว กระอักเืออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“แค่กๆ... ข้า... ข้าทำอะไรผิดไปกัน?... แค่กๆ...”
ผู้บันทึกคนนี้ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนั้นในขอบเขตควบแน่นพลังปราณถึงตบเขากระเด็นได้...
“นี่! ทำไมผู้บันทึกถึงไปติดอยู่บนกำแพงเสียแล้วเล่า? เขาสิ้นหวังอยากฆ่าตัวตายหรือ?”
“ข้าผู้เฒ่าตาฝาดไปหรือ? ตกตะลึงอยู่เพียงครู่เดียว เขากระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?...”
ผู้ชมที่อยู่ใกล้เคียงสังเกตเห็นฉากนี้แต่ไม่แน่ใจว่าใครเป็คนลงมือ พวกเขาเห็นเพียงชายหนุ่มสวมหน้ากากยืนเงียบๆ อยู่หน้าโต๊ะรายงานตัว
ในท้ายที่สุด ผู้บันทึกอีกคนก็เข้ามาช่วยฉู่อวิ๋นลงชื่อ และขอให้เขารอสักครู่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชันห้าัรอบต่อไป
“เ้าหนู เมื่อกี้ตบได้ทรงพลังมากเลย~” ซิวหลัวหน้าผีรักษาสัญญาของเขาจริงๆ เขานั่งอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน จ้องมองที่ฉู่อวิ๋นและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เ้ารอก่อน! รอข้าชนะการประชันห้าันี่ แล้วจะไปคุยกับเ้าดีๆ” ฉู่อวิ๋นตะคอกอย่างเ็า
ด้วยเหตุนี้ แผนการช่วยคนของฉู่อวิ๋นก็ชะงักไปในตอนนั้นเอง
เขากำลังรอให้การประชันห้าัเริ่มขึ้น แต่สถานการณ์ก็วุ่นวายอีกครั้ง
ยามนี้ พี่น้องตระกูลเสวี่ยและฉู่ซินเหยาเดินลงมาจากที่นั่ง ตามมาด้วยบ่าวรับใช้ จนเป็ที่สังเกต
“เอ๊ะ คุณชายอวิ๋น? ท่านมาทำอะไรที่นี่กัน?” เสวี่ยหรูเยียนเห็นฉู่อวิ๋นนั่งอยู่ข้างเวทีประลองจึงเดินไปถาม
“ไม่มีอะไรหรอก จู่ๆ ข้าก็คันไม้คันมือ เลยอยากเข้าร่วมการประชันห้าันี่อุ่นเครื่องดูสักหน่อย” ฉู่อวิ๋นตอบ จากนั้นจึงแอบเหลือบดูฉู่ซินเหยา
ตอนนี้ แม้ว่าฉู่ซินเหยาจะแสดงท่าทีเป็กังวล แต่เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหรูเยียนและฉู่อวิ๋นดูเหมือนจะอยู่ใกล้กันมาก สายตาของนางก็ฉายแววริษยาเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากเบาๆ
“อวิ๋นเอ๋อร์… กับผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกันแน่…”
“เขาเห็นร่างกายของผู้หญิงคนนี้แล้วจริงๆ หรือ?”
“เสวี่ยหรุเยียนเองก็รูปร่างหน้าตาหมดจด...”
“ระหว่างข้ากับนางใครดีกว่ากัน...”
ฉู่ซินเหยารู้สึกโศกเศร้าในใจ นางยกมือหยกขึ้นแตะใบหน้าอย่างแ่เบา เริ่มไม่มั่นใจเล็กน้อย
“ข้าแก่ขึ้นอีกปีแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์จะคิดว่าข้าแก่ไหมนะ?…” นางยังคงคิดเช่นนี้
ในเวลาเดียวกัน เสวี่ยหานเฟยก็โบกพัดขนนกพลางเดินมาหาฉู่อวิ๋นด้วยท่าทีที่อ่อนโยน “จอมยุทธ์อวิ๋น ที่แท้ก็สนใจการประชันห้าันี่เอง ข้าจะรอดูฝีมือของท่าน”
“หวังว่าท่านจะไม่โดนเตะออกจากเวทีประลองั้แ่รอบแรกนะ คุณชายเช่นข้ากลัวว่าท่านจะาเ็”
“เช่นนั้นแล้ว ท่านก็ไปลงชื่อมาเป็คู่ต่อสู้ของข้าเสียสิ ข้าเองก็ยังไม่เคยประมือกับก้อนน้ำแข็งเช่นกัน” ฉู่อวิ๋นขดยิ้มที่มุมปากแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางพูดติดตลก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสวี่ยหานเฟยก็กระพือพัดขนนกแรงขึ้น ปรากฏแสงเย็นเฉียบออกมาจากดวงตา
----------
[1] คำถากถางที่อุปมาถึงคนที่ไม่เจียมตัว หรือคิดว่าตัวเองมีดี