“ครูฝึกคนนี้ทำเกินไปหน่อยนะ ไม่ทันไรก็ให้วิ่งตั้ง 10 รอบ โหดร้ายสำหรับนักศึกษาหญิงเกินไปแล้ว”
หนิงเสวี่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด
วิ่ง 10 รอบสำหรับเธอไม่ได้หนักหนาอะไรนัก เพราะเธอมักออกไปนอกเมืองเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลบ่อยๆ หาก้าเรียนสถาปัตยกรรมให้ดี ย่อมมีข้อกำหนดด้านกำลังกายอย่างแน่นอน
แต่สำหรับนักศึกษาคนอื่น 4 กิโลเมตรมันมากเกินไปจริงๆ ตอนมัธยมปลายใครยังนึกถึงการออกกำลังกายบ้าง ทุกคนล้วนอยากแบ่งเวลาหนึ่งนาทีออกเป็สองนาทีแทบใจจะขาดด้วยซ้ำ เวลาที่ใช้วิชาพลศึกษาหนึ่งคาบเรียน สามารถทำข้อสอบได้สองชุดแล้ว เกาเข่าไม่สอบพลศึกษาเสียหน่อย และวิชาพลศึกษาจะหยุดสอนเมื่อถึง่ก่อนสอบเกาเข่า นักเรียนยิ่งไม่ให้ความสำคัญกว่าเดิม
การฝึกทหารภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ ควรดำเนินการอย่างค่อยเป็ค่อยไปสำหรับนักศึกษาใหม่
ถึงกระนั้น หนิงเสวี่ยก็ไม่ได้อวดโอ้ออกไปแต่อย่างใด
เซี่ยเสี่ยวหลานได้ยินประโยคนี้พอดี อดไม่ได้ที่จะโต้แย้งแทนโจวเฉิง
“ไร้กฎเกณฑ์ไม่เข้ารูปเข้ารอย เพิ่งตกลงว่าจะเคารพระเบียบวินัยการฝึก จะปฏิบัติตามคำสั่ง เช่นนั้นในเมื่อแบ่งหมู่ด้วยตัวเองไม่เสร็จภายในหนึ่งนาที ก็สมควรได้รับโทษนี่นา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนแรกครูฝึกบอกว่าผู้ชายวิ่ง 10 รอบ ผู้หญิงวิ่ง 8 รอบ ก็เพราะคำนึงถึงสภาพร่างกายของพวกผู้หญิงแล้ว ทว่าเพราะมีคนเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงกลายเป็วิ่ง 10 รอบน่ะสิ!”
ความเท่าเทียมทางเพศ หมายถึงความเท่าเทียมด้านความคิด สถานะทางสังคม และผลตอบแทนในการทำงาน
สำหรับการเรียกร้องความเท่าเทียมทางสติปัญญา ความเท่าเทียมด้านอาชีพการงาน หรือแม้แต่ความเท่าเทียมด้านการสมรส เซี่ยเสี่ยวหลานขอยกสองมือสองเท้าสนับสนุนทั้งหมด! ถ้าเธอจะแต่งงาน เธอจะไม่ขอเรียกร้องให้ฝ่ายชายซื้อ ‘สี่ฟุ่มเฟือย’ อะไรทั้งสิ้น ตัวเธอเองสามารถจัดการสรรหาเงื่อนไขทางวัตถุพวกนี้ได้เช่นกัน!
ในด้านการทำงาน เธอไม่เคยกำหนดเป้าหมายที่ต่ำกว่าเพื่อนร่วมงานเพศชายเพียงเพราะตนเป็หญิง
ทว่าจะแสวงหาความเท่าเทียมด้านกำลังกายด้วย?
นี่คือความแตกต่างของลักษณะเฉพาะทางของสรีรวิทยาระหว่างชายหญิง สมรรถภาพทางกายของนักกีฬาหญิงมืออาชีพไม่แพ้ให้เพศชายที่อายุเท่ากันอย่างแน่นอน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนักกีฬาชายที่อายุเท่ากัน ก็ถือว่ายังด้อยกว่าอยู่ดี
เรียกร้องให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชายในด้านร่างกาย ทำไมไม่เรียกร้องให้ผู้ชายให้กำเนิดบุตรได้เล่า? เช่นนี้ก็เท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์แล้วมิใช่รึ
ใช่ ส่วนหนึ่งเป็เพราะว่าคนที่หนิงเสวี่ยกล่าวถึงคือโจวเฉิง ถ้าเป็คนอื่น แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่ไม่น่าจะเอ่ยมันออกมา ในเวลานี้เช่นนี้ หากหนิงเสวี่ยจะเรียกชื่อเจาะจงเพื่อวิจารณ์ ก็ควรวิจารณ์คนคนนั้นที่เมื่อครู่เอาแต่ะโคำขวัญเสียงดังโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์จริงหรือเปล่า ทำเอานักศึกษาหญิงทั้งหมดได้รับโทษ 10 รอบจากเดิม 8 รอบน่ะสิ
หนิงเสวี่ยมองเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความประหลาดใจมาก คนอื่นๆ รอบข้างล้วนไม่กล้าพูดอะไร
ว้าว นี่ไม่ลงรอยกันแล้วรึ?
ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงเถียงหนิงเสวี่ยล่ะ?
หนิงเสวี่ยจะโกรธหรือเปล่า?
เหนือความคาดหมายของทุกคน จู่ๆ หนิงเสวี่ยก็หัวเราะออกมา
“ผู้หญิงอย่างพวกเราอย่ามองตัวเองต่ำกว่าผู้ชายหรืออาศัยผู้ชายเลย ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีแน่ ในหัวชิง พวกเราพึ่งพาตัวเราเองได้!”
พอหนิงเสวี่ยพูดประโยคนี้จบก็เดินจากไปทันที ในหมู่ 10 คนนี้ เดิมทีก็รวมตัวกันด้วยนักศึกษาหญิงสองห้องจาก 305 และ 307 ทว่าสิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ แม้หนิงเสวี่ยจะอยู่ห้อง 305 ทว่าเธอกลับเรียนห้อง 2 อย่างไรก็ตามคนของห้อง 305 ย่อมตามหนิงเสวี่ยไป
เอ่อ เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถบอกได้ไหมว่าค่อนข้างโชคดีที่รวมหนิงเสวี่ยแล้วมีทั้งหมดเพียง 3 คน?
ขณะเธอกำลังครุ่นคิด นักศึกษาหญิงด้านหน้าคนหนึ่งก็หันศีรษะกลับมา “หวงเวยเวย พวกเธอยังไม่ไปอีก?”
หวงเวยเวยคือพี่สามของห้อง 307 เธอกับพี่สี่และน้องเจ็ดเรียนห้อง 3 แม้พวกเธอจะพักห้องเดียวกันกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่ากลับไม่สนิทสนมกับเซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนพวกซูจิ้ง
เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียก หวงเวยเวยก็ทำได้เพียงยิ้มแสดงความขอโทษให้เซี่ยเสี่ยวหลาน ก่อนจะขยับร่างกายที่ทรุดอยู่ และพยายามก้าวเท้าตามหนิงเสวี่ยไปอย่างยากลำบาก
พอเธอจากไป พี่สี่และพี่สามจากห้อง 3 ก็ต้องตามไปด้วยเหมือนกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานถอนหายใจ “พวกเธอยังมีใจรักพวกพ้องจังนะ ฉันกลัวว่าตัวเองจะขัดใจสหายหนิงเสวี่ยเข้าแล้ว แม้แต่พวกเธอก็คงทิ้งฉันเหมือนกัน”
ความนิยมของหนิงเสวี่ยไม่ใช่น้อยๆ ปกติซูจิ้งทำตัวเป็แฟนคลับของเธอด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับทำตัวผิดธรรมชาติ “การฝึกทหารเพิ่งเริ่มขึ้น เธอก็ทำให้หมู่ 10 คนของพวกเราแตกแยกเสียแล้ว นี่เธอหาเื่หรือไร!”
โจวลี่ิ่เห็นด้วยเป็อย่างยิ่ง “เธอคิดว่าเื่ซุบซิบนินทาของตัวเองยังไม่เยอะพออีกรึ!”
ข่าวลือพวกนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจถือเครื่องขยายเสียงะโชี้แจงทั่วมหาวิทยาลัยได้ แน่นอนว่าต้องอธิบายแก่คนใกล้ตัวก่อน ละวิถีชีวิตส่วนตัวเอาไว้ก่อน ครอบครัวเธอมาจากชนบทมณฑลอวี้หนาน เป็ไปไม่ได้ที่จะมีเส้นสายส่งเธอเข้าหัวชิง สาเหตุที่เธอดูไม่ยากจน เพราะว่าครอบครัวไม่ได้ทำเกษตรกรรมในชนบท ทว่าทำธุรกิจอิสระในตัวเมือง
คนทำธุรกิจอิสระมีฐานะทางการเงินค่อนข้างมั่งคั่ง แต่ยังไม่มีตำแหน่งใดทางสังคมจริงๆ อย่าว่าแต่ส่งเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าหัวชิงเลย แม้แต่ส่งเข้ามหาวิทยาลัยในมณฑลอวี้หนานก็ยังไม่ได้ พวกเธอเคยได้ยินว่ามีคน ‘เข้าเรียนแทน’ ทว่าหัวชิงตรวจสอบเข้มงวดขนาดนี้ หากเซี่ยเสี่ยวหลานจะเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อมาเรียนแทนในนามของคนอื่น... ครอบครัวเป็เกษตรกรหรือประกอบธุรกิจอิสระก็จัดการให้ไม่ได้ทั้งนั้น
ความเคลือบแคลงเื่เข้าเรียนแทนถูกคลี่คลายแล้ว ครอบครัวของสหายเซี่ยเสี่ยวหลานมีอันจะกิน ดังนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าดีๆ หน่อยก็เป็เื่ปกติไม่ใช่หรือ?
ค่าน้ำประปาสำหรับอาบน้ำเล็กน้อยก็ไม่ใช่ภาระหนักเหมือนกัน
พี่ใหญ่หยางหย่งหงเคยบอกแล้ว ตอนพบกันครั้งแรก เธอไม่เชื่อว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมาจากชนบทด้วยซ้ำ พอพูดถึงแม่กับป้าสะใภ้ของเซี่ยเสี่ยวหลาน ทั้งสองมีท่าทางเป็คนเมืองโดยสมบูรณ์
จะไม่อนุญาตให้คนอื่นเขาใช้จ่ายทั้งที่มีเงินรึ?
อีกอย่างหลังจากสหายเซี่ยเสี่ยวหลานผ่าน ‘การวิพากษ์วิจารณ์’ มา เธอก็ตั้งใจเข้าหาชาวประชายากจนอย่างพวกเธอเหล่านี้แล้ว ถึงกับซื้อจักรยานมือสอง
ทั้งโจวลี่ิ่กับซูจิ้งต่างบอกว่าแบบนี้ดีมาก ค่อยเป็ค่อยไป ภาพจำของเหล่าเพื่อนนักศึกษาที่มีต่อเธอจะเปลี่ยนแปลง เงื่อนไขแรกคือ อย่าอยู่ดีไม่ว่าดี ปฏิบัติตนตรงข้ามกับบุคคลต้นแบบเช่นหนิงเสวี่ย! สิ่งที่สหายหนิงเสวี่ยกล่าว ในสายตาของคนส่วนใหญ่คือสิ่งที่ถูกต้อง บุคคลผู้เป็ที่นิยมกระทั่งผายลมก็ยังหอม... ถุยถุยถุย สหายหนิงเสวี่ยจะผายลมได้อย่างไร การอุปมาแบบนี้ช่างหยาบคายเหลือเกิน! ถ้อยความหยาบแต่เนื้อความไม่หยาบ ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ปฏิปักษ์กับคนโปรดของประชาชน จะถูกเข้าใจผิดมากกว่าเดิม!
ลฺหวี่เยี่ยนเผยฟันเขี้ยวเสือน้อยของเธอ “ไม่ดี ทะเลาะกันไม่ดีนะ”
“เฮ้ ฉันว่าทุกคนมีเหตุผลหน่อยดีไหม ฉันคือคนที่โดนค่อนแคะนะ ฉันไม่ยืนหยัดด้วยตัวเองตรงไหนเล่า?”
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากจะร่ำไห้คร่ำครวญ
คนตระกูลโจวชังเธอเพราะมีอิสระเสรีมากเกินไป ซื่อตรงเกินพอดี
ไม่ทันไรหนิงเสวี่ยก็ตำหนิเธอว่าอย่าคิดแต่จะพึ่งพาผู้ชาย
สองคำวิจารณ์ที่สุดโต่งขนาดนี้โผล่มาได้อย่างไร?
ยังมีอีกอย่างหนึ่ง พวกเธอเพื่อนสาวพลาสติกจอมปลอมทั้งสามคน พวกเธอยืนอยู่ฝั่งฉันไปพร้อมกับดูแคลนฉัน มันหมายความว่าอะไรกัน
ทว่าคำพูดของหนิงเสวี่ยกลับทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานไตร่ตรองจนค้นพบบางอย่าง—ดังนั้น ‘ความรังเกียจ’ นั้นไม่ใช่ความเข้าใจผิดไปเอง ทำไมอีกฝ่ายถึงคิดว่าเธอไม่พึ่งพาตนเอง? อาจารย์มีท่าทีแปลกประหลาดเพราะเหตุนี้ด้วยหรือไม่? คงไม่ใช่หรอกน่า!
เหล่านักศึกษาใหม่โดนวิธีนี้ของโจวเฉิงเล่นงานเสียจนกองลงกับพื้น
เดิมทีนั่งรถหลายชั่วโมงก็เหนื่อยล้ามากพออยู่แล้ว พอถึงสถานที่ฝึกก็ต้องวิ่งรอบสนามทั้งที่ท้องยังหิว เหน็ดเหนื่อยและหิวโซจริงๆ
หลังถูกพาไปยังห้องว่างที่ถูกใช้เป็ห้องนอนเพื่อเก็บของ ก็มีสหายนักศึกษาคนหนึ่งถามว่ากินข้าวเมื่อไร ทว่าคำตอบที่ได้จากครูฝึกช่างเืเย็นยิ่งนัก “เลยเวลาอาหารมาแล้ว รอตอนเย็น โรงอาหารของสถานที่ฝึกนี้ไม่ใช่ภัตตาคาร!”
หา?
กว่าจะถึงตอนเย็นยังอีกนานเชียวนะ!
บางคนเคยได้ยินว่าการฝึกทหารจะไม่ได้กินดี จึงแอบพกขนมเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย ทว่าถูกครูฝึกค้นออกมาจนหมด
กระเป๋าสัมภาระของนักศึกษาหญิงก็ต้องได้รับการตรวจเช่นกัน เก็บของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย จากนั้นครูฝึกจะตรวจสอบของที่เหลืออยู่ทีละคน
“นี่คือของใคร?”
“รายงานค่ะ ของฉันค่ะ”
ครูฝึกถามพลางชี้ไปที่ขวดไร้ฉลากในกระเป๋าสัมภาระของเซี่ยเสี่ยวหลาน “ของพวกนี้มันคืออะไรบ้าง?”
“สำหรับอาบน้ำ สระผมและซักผ้าน่ะค่ะ... รายงาน ไม่ใช่ของกินจริงๆ ค่ะ”
อาบน้ำสระผม ไม่ใช้สบู่หรือไร? สบู่ก้อนเดียวสามารถจัดการปัญหาสุขอนามัยทั้งหมดได้ ครูฝึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง แต่พอเปิดออกและลองดมกลิ่น ของเหล่านี้ไม่เหมือนของกินจริงๆ
เขา้าอบรมเซี่ยเสี่ยวหลานสักหน่อย มาฝึกทหารจะพกของพวกนี้มาเพื่ออะไร ด้านนอกกลับมีคนะโเรียกเขาเสียก่อน “หัวหน้าหมู่ หัวหน้าครูฝึกเชิญคุณไปพบครับ!”
“เอาล่ะ พวกเธอเก็บของของตัวเองเสีย ทำกิจวัตรภายใน [1] ให้เรียบร้อย คอยระวังคำสั่งเรียกรวมพล เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดเรียกรวมดังขึ้น ถ้าเกินหนึ่งนาทีแล้วยังมาไม่ถึง อย่าได้ลืมรอบสนาม 10 รอบที่เพิ่งวิ่งไปเมื่อครู่!”
เชิงอรรถ
[1]内务 กิจวัตรภายใน คือ กิจวัตรทั่วไปที่ทำร่วมกันขณะใช้ชีวิตในค่ายทหาร เช่น การทำความสะอาด การดูแลที่นอน การจัดเก็บของ ฯลฯ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้