“ข้าจัดการเอง!”
น้ำเสียงของหลินเฟิงทรงพลังจนชั้นอากาศต้องผันผวน ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน
จัดการเอง? หลินเฟิงจะอาศัยพลังของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 เพื่อต่อกรกับผู้ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับ?
มันจะเป็ไปได้หรือ?
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของหลินเฟิงในยามนี้แหลมคมและโหดร้าย ไม่มีแววว่าเขาจะล้อเล่นเลยสักนิด ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะทำเช่นนั้นในเวลาแบบนี้ได้
เมิ่งฉิงและท่านหัวจะเป็คนจัดการปิงเหอเถิงและม่อชั่งหลัน ส่วนผู้นำทูที่อยู่ขอบเขตลี้ลับจะต้องมีคนจัดการเช่นกัน แต่อย่างไรหลินเฟิงก็ต้องสู้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ถึงอย่างไรก็ต้องสู้ ไม่สู้ก็ต้องสู้ นี่คือสิ่งที่หลินเฟิงต้องเผชิญ
“ต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับ!” ผู้คนต่างพึมพำด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความคาดหวัง แล้วหลินเฟิงกับผู้นำทูที่อยู่ขอบเขตลี้ลับ... ใครจะเป็ผู้ชนะกันแน่?
แต่ยิ่งพวกเขามองผู้นำทูเท่าไร ก็คิดว่าการกระทำของหลินเฟิงมันช่างไร้ประโชยน์และเขาจะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
หลินเฟิงเป็อัจฉริยะและมีพร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ทำไมหลินเฟิงถึงอาสาจะจัดการกับผู้ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับซึ่งเขาไม่อาจเอาชนะได้เลย อย่างไรก็ตามนี่ถือว่าเป็การปะทะกันระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้งสองคน
เมื่อผู้นำทูได้ยินคำพูดของหลินเฟิง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอย่างเยือกเย็น หลินเฟิงจะจัดการเขา? นี่ถือว่าเป็เื่น่าอับอายสำหรับเขา ผู้อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญา... ไม่คิดว่าจะกล้าท้าทายเขาเช่นนี้
“สังหารเขา... คิดว่านานไหม?”
ม่อชั่งหลันกล่าวอย่างเ็าขณะมองผู้นำทู ในความคิดของเขา หลินเฟิงไม่อาจเอาชนะผู้นำทูได้แน่นอน
ดวงตาของผู้นำทูวาวโรจน์ จากนั้นกล่าวว่า “หากไม่มีใครขัดขวางล่ะก็ ข้าจะสังหารมันภายในสิบกระบวนท่า”
สิบกระบวนท่า ที่จริงแล้วมันเป็ทักษะที่เขาซ่อนเอาไว้ ตอนนี้เขาจะใช้สิบกระบวนท่านี้สังหารหลินเฟิง
“ดี ข้าจะรอดู ว่าภายในสิบกระบวนท่าของเ้าจะสังหารเขาได้ไหม หึ...”
ม่อชั่งหลันกล่าวเสียงเยือกเย็น ทำให้ผู้นำทูต้องสั่นไหว แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ภายในสิบกระบวนท่านี้หลินเฟิงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นหากม่อชั่งหลันโกรธเกี้ยวขึ้นมา มันจะเป็เขาเองที่เดือดร้อน
ม่อชั่งหลันเป็คนที่น่าหวาดกลัวมาก เมื่อหนึ่งปีก่อนม่อชั่งหลันสามารถเอาชนะกลุ่มป้อมอีแร้งได้ด้วยตัวคนเดียว นั่นคือจุดจบของป้อมอีแร้ง ซึ่งผู้นำทูไม่อาจลืมเื่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้
กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นก็มีเสียงโหยหวนที่แหลมสูงขึ้นมาอย่างน่าขนลุก ตอนนี้เองได้มีเงาปรากฏด้านหลังผู้นำทู
เงานี้มีกลิ่นอายปีศาจ มันมีลักษณะคล้ายกับนกอินทรี ดวงตาที่แหลมคมราวกับมีดกำลังจ้องเขม็งมาที่หลินเฟิง
“ภายในสิบกระบวนท่า ข้าจะสังหารมันให้ได้” ผู้นำทูกล่าวอย่างเ็า เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับชัยชนะ เขาจึงปลดปล่อยจิติญญาออกมาทันที เขาตัดสินแล้วว่าจะสังหารหลินเฟิงให้ได้
ม่อชั่งหลันหัวเราะและก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับปลดปล่อยลมปราณที่ทรงพลังเข้าปกคลุมร่างของท่านหัวไว้ ทำให้ท่านหัวต้องแข็งทื่อและจ้องเขม็งไปที่ม่อชั่งหลันอย่างไม่อาจละสายตาได้
ในเวลาเดียวกัน ปิงเหอเถิงก็ปลดปล่อยลมปราณน้ำแข็งออกมา จนเกิดหิมะในอากาศเข้าปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ส่งผลให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว
พวกเขาทั้งสองคนต่างเลือกคู่ต่อสู้ของตัวเอง ฝูงชนโดยรอบล้วนเป็พยานในการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็เดิมพันของหลินเฟิงได้
ภายในสิบกระบวนท่า หลินเฟิงจะต้องตาย
“สิบกระบวนท่า!” ดวงตาของหลินเฟิงไม่ได้เฉียบคมอีกต่อไป มันกลายเป็สงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ขอบเขตผสานกับเทวโลกทำให้ไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาได้ ทุกสิ่งรอบตัวเขาดูชัดเจนอย่างมาก ราวกับว่าทั้งเขาและโลกผสานกันเป็หนึ่งเดียวอย่างแท้จริง
“ตูม!”
ผู้นำทูกระทืบเท้าลงไปจนพื้นดินมีรอยปริแตก จากนั้นเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและชักง้าวออกมา
เสียงร้องของนกอินทรีดังก้องกังวาน พร้อมกับร่างของผู้นำทูที่โฉบลงมา เงาของเขากลายเป็ลำแสงพุ่งมาทางหลินเฟิง ตอนที่เกือบจะถึงตัวของหลินเฟิง หลินเฟิงกลับไม่ขยับหนีแม้แต่น้อย
“ช่างเป็วิธีหลอกล่อที่ยอดเยี่ยมนัก!”
ฝูงชนล้วนประหลาดใจ การเคลื่อนไหวของผู้นำทูก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนต่างคิดว่า เขาจะโจมตีอย่างไม่ปรานี แต่นาทีต่อมาเขากลับเปลี่ยนกลยุทธ์และเลือกที่จะโฉบลงมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เขาไม่รอให้พลังของตัวเองถึงขีดสุด ผู้นำทูพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งทำให้หลินเฟิงไม่มีเวลามากพอให้ตอบโต้ได้ทัน เขาตั้งใจจะสังหารหลินเฟิงจริงๆ!
อย่างไรก็ตาม สำหรับหลินเฟิงที่ใช้ขอบเขตผสานกับเทวโลกนั้น ก็เหมือนกับเป็เื่น่าขบขัน
กลายเป็ว่าผู้นำทูไม่อาจทำตามแผนชั่วร้ายของตนได้สำเร็จ เพราะการเคลื่อนไหวของผู้นำทูนั้นล้วนปรากฏในหัวของหลินเฟิงทั้งหมด
ร่างกายประหนึ่งปุยเมฆล่องลอยไปกับสายลม ทันใดนั้นได้เกิดเสียงดังขึ้น เมื่อคมง้าวได้ฟาดฟันไปที่พื้นจนปรากฏรอยแตกเป็ทางยาว อย่างไรก็ตามหลินเฟิงที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรยังคงเยือกเย็นไม่ไหวติง
“กระบวนท่าที่หนึ่ง!”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแสออกมา ทำให้ผู้คนต่างแข็งทื่อเมื่อเห็นหลินเฟิงกำลังนับกระบวนท่า!
ผู้นำทูเองก็ประหลาดใจ เขาเงยหน้ามองหลินเฟิงอย่างเยือกเย็น ปฏิกิริยาของหลินเฟิงช่างรวดเร็วมาก
ผู้นำทูทะยานขึ้นไปบนอากาศราวกับนกอินทรี พร้อมกับฟาดง้าวไปหาหลินเฟิง แสงที่ปล่อยออกมาจากมีดนั้น นอกจากรวดเร็วแล้วมันยังเต็มไปด้วยพลังเจินหยวนเข้มข้น
“กระบวนท่าที่สอง กระบวนท่าที่สาม กระบวนท่าที่สี่ กระบวนท่าที่ห้า...”
ราวกับร่างของหลินเฟิงพลันหายวับไป คมง้าวที่ทรงพลังของผู้นำทูไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้สักครั้ง สิ่งที่น่าใไปกว่านั้นก็คือ ทุกครั้งที่หลินเฟิงหลบ เขาจะนับกระบวนท่าไปด้วย
เสียงคำรามดังพร้อมกับง้าวที่ฟาดฟันไปยังพื้นที่ว่างเปล่า แต่หลินเฟิงสามารถหลบได้ทั้งหมด จนถึงตอนนี้ก็มาถึงกระบวนท่าที่หกแล้ว
“หลบเลี่ยงได้แม่นยำยิ่งนัก!”
เมื่อครู่นี้ทั้งห้ากระบวนท่าของผู้นำทูล้วนเป็การโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็ว ทว่าหลินเฟิงกลับหลบหลีกได้ง่ายดาย คาดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของเขาช่างเฉียบขาด
“กระบวนท่าที่หกแล้ว”
ผู้คนต่างเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ถึงแม้หลินเฟิงจะหลบหลีกสักกี่ครั้ง หลังจากผ่านไปถึงหกกระบวนท่า ผู้นำทูก็ยังไม่อาจโจมตีหลินเฟิงได้แม้เพียงครั้งเดียว
ในสิบกระบวนท่า แต่ตอนนี้เหลืออีกเพียงสี่กระบวนท่าเท่านั้น!
ผู้นำทูยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นขณะจ้องหลินเฟิงเขม็ง เขาไม่สนใจง้าวที่ปักอยู่ที่พื้นอีกต่อไป ตอนนี้ได้มีแสงสีทองรายล้อมร่างของเขา มันเป็พลังเจินหยวนที่แหลมคม ราวกับจะฉีกกระชากร่างใครบางคน
ในตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าหลินเฟิงนั้นนอกจากจะรวดเร็วแล้ว จิตสำนึกของเขาก็ช่างน่ากลัวอย่างมาก
เหมือนกับทุกสิ่งล้วนถูกควบคุมโดยจิตสำนึกของหลินเฟิง ทำให้เขาสามารถหลบการโจมตีได้ตาม้า ซึ่งมันฟังดูลึกลับเป็อย่างมาก แม้การโจมตีของผู้นำทูจะรุนแรง แต่ถ้าไม่โดนหลินเฟิงเลยสักครั้ง ทุกการโจมตีย่อมไร้ความหมาย
เสียงแหลมคมของนกอินทรีดังกังวานบาดแก้วหูผู้ชน ผู้นำทูเคลื่อนไหวอีกครั้ง และตอนนี้ร่างของเขาได้กลายเป็ลำแสงสีทองอันเจิดจ้าและไร้รูปร่าง เงามายาที่เปล่งแสงสีทองนี้ก็คือ... ปีศาจอินทรี
ผู้นำทูในตอนนี้ได้กลายเป็ปีศาจอินทรีไปโดยสมบูรณ์!
แววตาของหลินเฟิงเกิดความผันผวนและตัวสั่นเล็กน้อย ราวกับสายลมที่พัดมาเบาบางแล้วจากไป อย่างไรก็ตามเงามายาสีทองที่ไล่ตามเขา มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วพร้อมกับทิ้งเส้นแสงไว้บนท้องฟ้า ซึ่งเป็ฉากที่งดงามจับตา
หลินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่างของเขาอันตรธานไป แต่อีกฝ่ายในตอนนี้ จิติญญาราวกับผสานเป็หนึ่งเดียวกับร่างกาย จิติญญาน่าจะมีพลังที่แข็งแกร่ง เขาได้ไล่ตามหลินเฟิงอย่างใกล้ชิดและมุ่งมั่นที่จะสังหารเขาให้ได้
ทันใดนั้นเองเจตจำนงดาบที่แหลมคมจำนวนมาก ก็ครอบคลุมไปทั้งบรรยากาศ
“สะบั้น!” เสียงคำรามที่เกรี้ยวกราดดังขึ้น ตอนนี้เองฝ่ามือของหลินเฟิงได้ฟาดฟันออกไป ทว่าในมือนั้นไม่มีดาบ แต่ผู้คนที่มองอยู่ต่างรู้สึกว่าฝ่ามือของเขาราวกับดาบเล่มหนึ่งที่สามารถสังหารคนได้จริงๆ
เจตจำนงหลอมรวมเป็รูปร่าง!
นี่คือขอบเขตเจตจำนงดาบที่แข็งแกร่ง!
“ตูม!!!”
ปีศาจอินทรีสีทองและฝ่ามือเข้าปะทะกัน เจตจำนงดาบถูกทำลายพร้อมกับหลินเฟิงต้องถอยร่นไปหลายเมตร
ช่องว่างระหว่างขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 กับขอบเขตลี้ลับ ช่างแตกต่างเป็อย่างมาก
“กระบวนท่าที่เจ็ด!”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเยือกเย็นขณะเงยหน้าขึ้น
“เหลืออีกสามกระบวนท่า ข้าจะรอดูว่าเ้าจะทำสำเร็จไหม!” ผู้นำทูในขณะนั้นเต็มไปด้วยแสงที่แหลมคม เขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับ แต่เขากลับไม่สามารถจัดการกับผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาได้ มันทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีอย่างมาก
“ไหนใครบอกว่าต้องหยุดข้าให้ได้!” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า เจตจำนงการต่อสู้เริ่มลุกไหม้ไปทั่วร่างกาย นอกจากนี้เขายังปลดปล่อยเจตจำนงดาบและเจตจำนงแห่งการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของหลินเฟิงก็ปรากฏของเหลวสีม่วงที่เดือดพล่านออกมา
ผู้นำทู... เดือดดาลด้วยโทสะแล้ว!
หลินเฟิงเองก็โกรธเกรี้ยวแล้วเช่นกัน วันนี้มีถึงสามคนที่ต้องชีวิตเขา พวกเขาคิดว่าจะฆ่าหลินเฟิงตอนไหนก็ได้ราวกับพวกสัตว์ไร้ค่า แล้วหลินเฟิงจะไม่โกรธได้อย่างไร
ภายในสิบกระบวนท่า... เพื่อสังหารเขา?!