“วันนี้ที่บ้านมีเื่ พรุ่งนี้จึงจะไปถึง ท่านพ่อเริ่มแคลงใจแล้ว ตอนค่ำให้ล่อคนไปที่วัด หากท่านพ่อส่งคนไปหาเื่ก็ให้พวกเขารับเคราะห์แทน ท่านก็จะรอดตัว รายละเอียดพบหน้าค่อยคุยกัน ด้านล่างลงนาม โม่เสวี่ยิ่”
เมื่อฟังโม่เสวี่ยถงกล่าวจบ โม่หลันก็ตะลึงงันอยู่นาน จึงถอนหายใจออกมา พลางพูดพึมพำ “คุณหนูมั่นใจได้อย่างไรว่าหากทำเช่นนี้แล้วสองคนนั้นจะต้องหันมาจ้องเล่นงานคุณหนูใหญ่ไม่ปล่อย”
โม่เสวี่ยถงจับขอบเตียงพยุงกายลุกขึ้นนั่ง รับถ้วยชาจากโม่หลันมาดื่มคำหนึ่ง แล้วกล่าวเรียบๆ “บุรุษเ่าั้เป็ลูกเศรษฐีที่คบหากับซือหม่าหลิงอวิ๋น ปรกติก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ชอบการเอาชนะคะคานกัน แล้วจะทนรองรับอารมณ์คำพูดแบบนี้ได้อย่างไร”
สองคนนี้นับว่าเป็สหายชั้นปลายแถวของซือหม่าหลิงอวิ๋น ชาติภพก่อน เมื่อเอ่ยถึงเื่ชั่วๆ หลายเื่ ซือหม่าหลิงอวิ๋นล้วนใช้ให้พวกเขาไปจัดการ คนแบบนี้เคยชินกับการหาเื่ชวนตี ตอนนี้ซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่มีอำนาจบารมี พวกเขาย่อมไม่มีทางยอมเป็ลูกไล่ลูกชนของซือหม่าหลิงอวิ๋นแน่นอน
อยู่ๆ ก็ถูกหลอกให้ไปโดนทุบตีบนูเาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สาเหตุเป็เพราะโม่เสวี่ยิ่ หากพวกเขาไม่ไปเอาคืนกับนางสิถึงจะแปลก
เพียงแต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะทำได้อย่างสวยสดงดงามขนาดนี้ แม้จะเอาถุงหอมของโม่เสวี่ยิ่ไปอยู่ในมือได้ก็จริง แต่หากพวกเขามิได้มีพฤติกรรมเป็อันธพาล ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็คงไม่คิดล่อพวกเขาให้ขึ้นเขามาหรอก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดผลแห่งการกระทำจะย้อนกลับไปหาตัวเขาเอง กรรมช่างตามสนองรวดเร็วทันตาเห็นดีแท้
“คุณหนู แล้วคุณหนูใหญ่จะไม่แคลงใจหรือว่าคุณหนู...” โม่หลันไม่อาจห้ามความคิดบางอย่างของตนเองได้ จึงถามขึ้นด้วยความไม่สบายใจ
“พี่หญิงใหญ่ต้องคาดเดาได้แน่ นาง้าเล่นงานข้า แต่กลับถูกคนซ้อนแผนดัดหลัง แล้วนางจะไม่ระแวงข้าได้อย่างไร” นิ้วของโม่เสวี่ยถงไล้ไปบนลวดลายฝูงผีเสื้อหลากสีบนถ้วยชาอย่างเบามือ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ
“แล้วจะทำอย่างไรล่ะเ้าคะ” โม่หลันถาม
“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกันเล่า มีบางเื่ที่นางไม่กล้าปริปากออกมา ข้าก็จะไม่พูดเช่นกัน ต่อหน้าท่านพ่อ นางจำเป็ต้องเป็พยานให้ข้า” ดวงตาของโม่เสวี่ยถงฉายแววเ็าออกมาวูบหนึ่ง โม่เสวี่ยิ่ย่อมไม่กล้านำเื่น่าละอายมาป้ายสีตนเอง เพราะหากเื่นี้ถูกเปิดโปงออกมาจริงๆ ในที่สุดคนที่เป็ฝ่ายเสียก็มีแต่นางผู้เดียว
ฐานร่วมมือกับบุรุษภายนอก ทำลายชื่อเสียงน้องสาวของตนเอง!
ชื่อเสียงแบบนี้โม่เสวี่ยิ่แบกรับไม่ไหวแน่ ใครจะอยากจะลิ้มผลไม้ขมที่ตนเองบ่มเองบ้างเล่า
แน่นอนว่านางไม่ปรารถนาจะตีนางงูพิษผู้งดงามอย่างโม่เสวี่ยิ่ให้ตายในคราวเดียว แต่จะค่อยๆ บ่อนทำลายสถานะของนางในใจที่บิดาทีละน้อย บางทีอาจจะได้ผลอย่างไม่คาดไม่ถึง... นางไม่เคยนึกประมาทต่อโม่เสวี่ยิ่ ซึ่งเป็คู่ปรับที่รับมือยากยิ่งกว่าฟางอี๋เหนียง ชาติที่แล้วนางได้รับบทเรียนมามากพอแล้ว
ในเรือนฝูฉิงของโม่เสวี่ยิ่ ดอกชิวขุยดอกใหญ่กำลังบานสะพรั่งอยู่ภายใต้ชายคา ต้นไม้สองสามต้นนี้โม่เสวี่ยิ่รับมาจากมือของโหยวเยวี่ยเฉิง ปรกตินางทั้งรักและทะนุถนอมยิ่งกว่าสิ่งใด แม้ยามรดน้ำต้นไม้ก็ยังทำด้วยตนเอง เมื่อถึงยามดอกไม้ผลิบานได้เวลาเก็บเกี่ยว ในหัวใจก็รู้สึกว่าดอกไม้นี้ช่างเหมือนตนเองยิ่งนัก สวยสดงดงาม ในยามสงบนิ่งก็ยิ่งดูสง่างามล้ำค่า สมควรให้คนทะนุถนอมไว้ในอุ้งมือ
แต่ยามนี้ พอนางเข้าประตูมาก็ยกเท้าเตะกระถางดอกชิวขุยสองสามกระถางนั้นจนล้มคว่ำ ดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานถูกกระแทกลงพื้น ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนระเนระนาด ไหนเลยจะเหลือภาพลักษณ์ของสตรีผู้สูงส่งเช่นปรกติ โม่เสวี่ยิ่แค้นใจเป็ที่สุด อดกลั้นไม่ไหวเดินเข้าไปใช้เท้าขยี้ซ้ำไปอีกสองสามที จนดอกไม้บอบบางเ่าั้กลายเป็ผุยผง
งดงามอ่อนโยนอันใด สุขุมนุ่มลึกอันใด ตอนนี้นางรู้แต่ว่าวันนี้ตนเองกลายเป็นางอัปลักษณ์ที่ถูกนังแพศยาอมโรคน่าตายคนหนึ่งขยำเล่นในกำมือ
ภาพลักษณ์กิริยาวาจานุ่มนวลที่นางพึงรักษาไว้ตลอดถูกทำลายลงในชั่วพริบตา ใบหน้าถมึงทึงดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนออกมานอกเบ้า เดินกระแทกเท้าตึงๆ เข้าไปในห้องของตนเอง
ภายในห้อง โม่ซิ่วที่ได้รับสัญญาณบุ้ยใบ้จากโม่จิ่นยกถ้วยชาเข้ามาอย่างระมัดระวัง เห็นคุณหนูใหญ่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง หันออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าทะมึน โม่ซิ่วใจเต้นไม่เป็ส่ำกล่าวเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ อี๋เหนียงส่งคนมาถามเ้าค่ะ ว่าเหตุใดคุณหนูจึงกลับมาวันนี้ มิใช่ว่าต้องค้างคืนหนึ่งค่อยกลับ...”
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยิ่ชักสีหน้าร้ายกาจหันมามองฉับพลัน โม่ซิ่วก็ไม่อาจกล่าวต่อไปได้อีก
“ไสหัวไป ออกไปให้พ้นหน้าข้า ไปบอกนังโง่นั่นด้วยว่านางจัดการเื่ได้ดีนัก” โม่เสวี่ยิ่สองตาแดงก่ำ คว้าถ้วยชาปาใส่โม่ซิ่ว น้ำชาร้อนลวกสาดใส่เต็มตัวของสาวใช้ ส่วนใหญ่จะลวกถูกหลังมือ นางยังไม่ทันร้องโอดครวญก็ถูกโม่เสวี่ยิ่ใช้เท้าเตะจนหงายหลังลงกับพื้น
โบราณว่าสิบนิ้วเชื่อมไปถึงหัวใจ โม่ซิ่วเจ็บจนหน้าซีด นอนหมอบอยู่ที่พื้น ไม่กล้าร้องเจ็บแม้แต่น้อย “เ้าค่ะ คุณหนู บ่าวจะไปบอกเดี๋ยวนี้”
พูดจบก็ปีนลุกขึ้นมาจากพื้น
“ช้าก่อน” โม่เสวี่ยิ่ใจเย็นลงโดยฉับพลัน กล่าวรั้งอีกฝ่ายไว้ก่อน
“เ้าค่ะ คุณหนู” โม่ซิ่วไม่กล้าขยับ มือหนึ่งจับพื้น อีกมือประคองมุมโต๊ะมองไปยังโม่เสวี่ยิ่ด้วยสีหน้าจืดเจื่อน
“แผลของเ้าไปได้จากที่ไหนมา” โม่เสวี่ยิ่มองเหยียดลงมาจากที่สูง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“บ่าวทราบแล้ว แผลนี้ได้มาตอนที่ยกน้ำชาให้คุณหนู บ่าวไม่ทันระวังทำถ้วยน้ำชาพลิกคว่ำหกรดตนเองได้รับาเ็ โชคดีที่คุณหนูเมตตาให้ไปทำแผลทันทีที่ทราบเื่” โม่ซิ่วกล่าวอย่างหวาดกลัวราวกับจักจั่นเดือนหนาว[1]
“ไปเถิด” โม่เสวี่ยิ่กล่าวเสียงเย็น
โม่ซิ่วเดินโซซัดโซเซออกไป โม่เสวี่ยิ่ทอดสายตาออกไปทางเรือนชิงเวยนอกหน้าต่าง ภายใต้ก้นบึ้งดวงตาเผยแววเกลียดชัง ที่ผ่านมานางคงดูถูกนังแพศยาน้อยผู้นี้เกินไป ตอนที่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิง นางน่าจะให้ท่านน้าเล่นงานนังตัวแสบให้แรงกว่านี้ ให้ตายๆ ไปได้ยิ่งดี ครั้งเดียวไม่ได้ก็ต้องมีครั้งที่สอง สองครั้งไม่ได้ก็มีครั้งที่สาม นางไม่เชื่อว่านังแพศยานั่นจะโชคดีทุกคราไป แต่ขนาดหินกลิ้งลงมาทับตกน้ำไปยังไม่ตาย
คิดแล้วก็ยิ่งโมโห กล่าวด้วยเกลียดชัง “โม่เสวี่ยถง เ้านี่มันใช่ย่อยจริงๆ”
กล่าวจบก็หยิบแจกันดอกไม้ทรงสูงปาลงพื้นอย่างแรง
โม่จิ่นที่ยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงของแตกก็ใแทบสิ้นสติ ลังเลใจหยุดอยู่หน้าประตูชั่วครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจเคาะประตูเสียงเบาแล้วเข้าไป
“มีอะไร” โม่เสวี่ยิ่ถามเสียงเย็น ไม่หันหน้ากลับไปมอง ปรกตินางจะรักษาภาพลักษณ์ของหญิงสาวผู้งดงามอ่อนโยนอยู่เสมอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน เช่นเดียวกับความสง่างามละเมียดละไมของเครื่องลายครามอันวิจิตรประณีต แต่บัดนี้ความสุขุมเยือกเย็นถูกทำลายจนป่นปี้ไปเสียแล้ว
“คุณชายฉินส่งจดหมายมา คุณหนูโปรดอ่านดูเถิดเ้าค่ะ...” โม่จิ่นสะดุ้งเฮือก แต่ก็ยังคงเอ่ยปากอย่างยากลำบาก
จดหมายของฉินอวี้เฟิง?
“เมื่อครู่คุณชายฉินมาจวนโม่ด้วยหรือ” ดวงตาขุ่นมัวของโม่เสวี่ยิ่ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น
“เ้าค่ะ คุณชายฉินเห็นคุณหนูเข้ามา เรียกคุณหนูแล้วทีหนึ่ง แต่คุณหนูไม่ได้ยิน จึงเขียนจดหมายฝากไว้ให้คุณหนูเ้าค่ะ”
“เอามา”
โม่จิ่นส่งกระดาษที่พับมาอย่างเรียบร้อยใบหนึ่งให้ แม้แต่เวลารีบร้อนเขาก็ยังทำแบบนี้ ยามที่พบกันในเวลาปรกติก็สงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง ดีพร้อมสมบูรณ์แบบทุกอย่าง
โม่เสวี่ยิ่คว้าจดหมายจากมือของโม่จิ่นมาเปิดอ่านอย่างละเอียด ยิ่งอ่านสีหน้าของนางก็อ่อนโยนลง นอกจากแววตาที่ยังคงเย็นะเื ทั่วทั้งร่างกายก็ผ่อนคลายลงแล้ว
“เย็นไว้ อย่ากระทำการบุ่มบ่าม ค่อยๆ คิดวางแผนกันใหม่ภายหลัง”
ตัวอักษรง่ายๆ เพียงไม่กี่ตัวบนแผ่นกระดาษ กลับทำให้โม่เสวี่ยิ่สบายใจอย่างน่าประหลาด ใช่แล้ว เมื่อครู่นางสูญเสียความเยือกเย็นไป เพราะถูกความโกรธเกลียดครอบงำจนไม่ได้สติ
ฉินอวี้เฟิงเป็คนเฉลียวฉลาด ทั้งยังผูกพันกับตนเองอย่างลึกซึ้ง เขาจะต้องคิดหาทางช่วยอย่างแน่นอน ที่ตนเองสามารถเป็ที่รักของบิดาได้อย่างง่าดาย ฟางอี๋เหนียงก็เป็ที่โปรดปรานเพียงหนึ่งเดียวในเรือนชั้นใน ทั้งหมดล้วนเป็ผลงานของฉินอวี้เฟิงทั้งสิ้น แค่นังแพศยาเป็ฝ่ายฉวยโอกาสเอาเปรียบตนเองไปได้ก่อนแล้วอย่างไร ขอเพียงแค่ยืนกรานว่าไม่รู้เื่ บิดาจะทำอะไรนางได้
ถุงหอมซึ่งเป็หลักฐานเพียงชิ้นเดียวก็ถูกโม่จิ่นเก็บกลับมาแล้ว ไม่มีหลักฐาน พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์
นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แววตาเข้มลึกมองออกไปนอกหน้าต่าง ขยำกระดาษในมืออย่างเอาเป็เอาตาย โม่เสวี่ยถง... เ้าคิดจะสู้กับข้า ความตายก็ถูกกำหนดไว้แล้ว
กว่าโม่ฮว่าเหวินจะรู้เื่ที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวคนโตที่วัดเป้าเอินก็เป็ตอนเที่ยงของวันที่สองแล้ว ยามนั้นโม่ฮว่าเหวินกำลังไปดูอาการป่วยของโม่เสวี่ยถงที่เรือนชิงเวย และได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ตอนนั้นเขาโกรธจัดกลับไปห้องหนังสือและเรียกให้โม่เสวี่ยิ่ไปพบทันที
โม่เสวี่ยถงรู้สึกไม่วางใจจึงแข็งใจฝืนตามไปด้วย เพราะวันนั้นนางก็อยู่ที่นั่น บางเื่โม่เสวี่ยถงก็นับว่าเป็ผู้รู้เห็นเหตุการณ์ โม่ฮว่าเหวินจึงให้นางนั่งอยู่ด้านข้าง
ตอนที่โม่เสวี่ยิ่มาถึง ได้ตัดสินใจดีแล้วว่าจะต้องวางภาพลักษณ์ว่าตนเองถูกปรักปรำต่อหน้าบิดา ต้องยืนกรานว่าตนเองได้รับความไม่เป็ธรรม และยังสามารถสาดโคลนไปให้นังแพศยาโม่เสวี่ยถงได้ด้วย แต่นางคิดไม่ถึงว่าโม่เสวี่ยถงจะนั่งรออยู่อีกด้านหนึ่งนานแล้ว
เมื่อเห็นนางเข้ามา โม่เสวี่ยถงก็ลุกขึ้นชิงกล่าวขึ้นมาก่อนด้วยน้ำตานองหน้า “พี่หญิงใหญ่ เป็ข้าไม่ดีเอง ทำให้ชื่อเสียงของพี่สาวต้องด่างพร้อย ใครจะคิดว่าเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อก็อยู่ที่วัดเป้าเอินด้วยเล่า ข้าพักอยู่แต่ในเรือนที่พี่หญิงจองไว้ให้ ยังอุตส่าห์มาพานพบกับซื่อจื่อได้อีก ช่างบังเอิญแท้ๆ”
โม่เสวี่ยิ่สีหน้าตกตะลึง ขบคิดความหมายของโม่เสวี่ยถงอยู่ในใจ แต่พอนางเอ่ยถึงเื่ที่ตนเองจองห้องรับรองให้ และได้พบกับซือหม่าหลิงอวิ๋น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เข้าใจเจตนาของโม่เสวี่ยถงในบัดดล วันนี้นางตั้งใจมาป่วนนี่เอง แม้ว่านางจะมีแผนการไว้แล้ว แต่ยามนี้ก็ยังสับสนวุ่นวายใจ ถึงกระนั้นก็เถอะ นางก็จำเป็ต้องได้รับความเชื่อมั่นจากบิดา
“นังลูกชั่ว คุกเข่าลง” โม่ฮว่าเหวินเข้าใจความหมายของโม่เสวี่ยถง สีหน้าพลันดำทะมึน ตวาดลั่นด้วยความโกรธ
บัญเอิญ? จะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือไม่ เป็ซือหม่าหลิงอวิ๋นอีกแล้วหรือ หากไม่เคยมีเื่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โม่ฮว่าเหวินก็ยังอาจจะเชื่อว่าเป็เื่บังเอิญจริงๆ แต่ไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดเื่โม่เสวี่ยิ่พาซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้าไปในเรือนของโม่เสวี่ยถง สองสามวันนี้ยังจะมีเื่ซือหม่าหลิงอวิ๋นไปวัดเป้าเอินเวลาเดียวกับโม่เสวี่ยถงอีก เื่ไปสวดมนต์ภาวนาที่วัดโม่เสวี่ยิ่ก็เป็คนจัดการลงจองไว้ จะบังเอิญเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
จะต้องมีบางอย่างผิดปรกติแน่
โม่เสวี่ยิ่คุกเข่าลงเสียงดัง แหงนหน้าขึ้นร้องไห้น้ำตาไหลพรากพลางกล่าวทั้งน้ำตา “ท่านพ่อ เื่วันนั้นไม่ใช่ิ่เอ๋อร์จริงๆ ิ่เอ๋อร์ไปถึงก็เข้าไปเยี่ยมน้องสาม นางไม่สบาย้าพักผ่อน ลูกจึงพาโม่จิ่นออกไปสวดมนต์ให้ท่านแม่ พอออกมาถึงหน้าประตูเรือนก็พบกับบ่าวรับใช้ของซื่อจื่อพอดี เขาบอกว่าเมื่อคืนซื่อจื่อถูกคนทุบตีจนสลบไม่ได้สติ ิ่เอ๋อร์คิดว่าซื่อจื่อกับบ้านเราก็...”
“ยิ่งไปกว่านั้น ซื่อจื่อก็เคยช่วยชีวิติ่เอ๋อร์ไว้ ด้วยน้ำใจและเหตุผลก็ควรจะเข้าไปเยี่ยมดูสักหน่อย ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าพอไปถึงจะเกิดเื่เช่นนั้นขึ้นได้... ท่านพ่อ หากพวกข้ามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันจริงๆ ก็มีเวลามากมายที่จะมอบถุงหอมให้ เหตุใดจึงจำเพาะต้องไปวัดเป้าเอินด้วย อีกทั้งยังต้องตามไปมอบให้ต่อหน้าผู้อื่นอีก”
เมื่อฟังจากข้อแก้ต่างของนาง โม่ฮว่าเหวินก็ครุ่นคิดตาม
บุตรสาวของตนผู้นี้เป็คนฉลาดเฉลียว อีกทั้งมีจิตใจดีงาม กับเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อก็ให้ความเคารพเสมือนแขกผู้มีเกียรติ ปรกติแล้วก็ไม่ค่อยพูดคุยกันเท่าไร แต่ซือหม่าหลิงอวิ๋นโดยมากมักมาหาบุตรชายของตนเอง แค่พบหน้ากันไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่ แม้จะมอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้กันบ้างก็ไม่นับว่าเป็อันใด เหตุไฉนจะต้องมาทำเื่โง่งมเช่นนี้
เมื่อคิดถึงความสมเหตุสมผลข้อนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ อ่อนลง
โม่เสวี่ยถงซึ่งอยู่ด้านข้างก็คุกเข่าลงและร้องไห้ขอร้องด้วย “พี่สาวกล่าวถูกต้องแล้วเ้าค่ะ ท่านพ่อ คนอย่างพี่สาวจะไปทำเื่เช่นนี้ได้อย่างไร ทุกอย่างเป็เพียงความบังเอิญเท่านั้น ไม่รู้ว่าคนเ่าั้มาจากไหนกัน จึงได้ใส่ความกันเยี่ยงนี้ ท่านพ่อจะต้องตรวจสอบให้รู้ชัด คืนความยุติธรรมให้พี่สาวด้วยนะเ้าคะ”
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงแสดงท่าทางเสียใจกล่าวตำหนิตนเอง ใบหน้าเล็กจ้อยขาวซีดดูอ่อนแอแต่กลับยังฝืนเข้มแข็ง ร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณ พูดแก้ต่างแทนพี่สาวสุดกำลัง โม่ฮว่าเหวินก็ปวดใจยิ่งรีบยื่นมือมาดึงนางให้ลุกขึ้น “แน่นอน พ่อต้องตรวจสอบเื่นี้ให้กระจ่าง เพื่อคืนความเป็ธรรมให้พี่สาวของเ้า”
“ท่านพ่อ พี่สาวประสบเคราะห์ครานี้ล้วนเป็เพราะลูก หากไม่ใช่เพราะถงเอ๋อร์ป่วย พี่สาวคงไม่ต้องรีบไปหา มิหนำซ้ำยังทำให้พี่สาวต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ท่านพ่อ ถงเอ๋อร์ทำให้พี่สาวต้องลำบากแล้ว...” โม่เสวี่ยถงมองโม่เสวี่ยิ่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความละอายใจ เดินเข้าไปหาแล้วยื่นมือเข้าไปหมายจูงนางให้ลุกขึ้น
“เื่ของพี่สาวไม่ข้องกับเ้า แม้ว่าจะไม่ได้เป็สาเหตุให้เ้าป่วยหนัก แต่คนเ่าั้ก็ตามกัดไม่ปล่อยว่าถุงหอมนั้นเป็ของพี่สาวเ้า ตอนนี้มีเพียงแค่ต้องตรวจสอบจากสาวใช้ผู้นั้น สาวใช้ผู้นั้นชื่อว่าอะไรนะ” โม่ฮว่าเหวินกล่าวเสียงเข้ม
“ท่านพ่อ นางชื่อซวงเยี่ยเ้าค่ะ เป็คนที่ฟางอี๋เหนียงส่งมาให้” โม่เสวี่ยถงตอบอย่างชาญฉลาด
“เด็กๆ ไปตามตัวสาวใช้ที่ชื่อซวงเยี่ยมาที่นี่” โม่ฮว่าเหวินะโออกไปด้านนอก ผู้ที่รอรับคำสั่งอยู่รีบพาคนวิ่งไปยังเรือนหลังอย่างเร่งด่วน
“เ้าก็ลุกขึ้นเถิด มานั่งฟังพร้อมกันว่าสาวใช้ผู้นั้นจะพูดว่าอย่างไร” โม่ฮว่าเหวินมุ่นคิ้วขมวด หันมาหาโม่เสวี่ยิ่
โม่เสวี่ยิ่ไม่กล้าพูดอะไรมาก เช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของโม่ฮว่าเหวิน รอฟังข่าว
ขณะที่เพิ่งนั่งลงก็มีหญิงรับใช้าุโคนหนึ่งวิ่งเข้ามาราวกับเหาะ เนื่องจากรีบร้อนเกินไป เมื่อเข้ามาถึงประตูก็สะดุดเกือบหน้าคะมำล้มคว่ำลงกับพื้น “นายท่าน รีบไปดูเถิด เกิดเื่แล้ว ที่เรือนหลังเกิดเื่แล้ว!”
…...........................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] จักจั่นเดือนหนาว หมายถึง คนที่หวาดกลัวจนไม่กล้าทำสิ่งใด เหมือนกับจักจั่นที่ไม่กล้าร้องเมื่อถึงยามฤดูหนาว