ทันใดนั้นประตูเรือนรับรองก็ถูกผลักเข้ามา ชายหนุ่มท่าทางเหมือนเป็คุณชายผู้มั่งคั่งสี่ห้าคน แต่ละคนล้วนพาบ่าวรับใช้มาด้วย ยืนขวางหน้าประตูแน่นขนัด
“พวกเ้าเป็พวกบ้ากามมาจากไหน จึงกล้ามากล่าวหาคุณหนูของเราเช่นนี้” โม่จิ่นเห็นท่าไม่ดีก็รีบดึงตัวซวงเยี่ยมาขวางด้านหน้าของโม่เสวี่ยิ่
“หากพวกเราเป็พวกบ้ากาม คุณหนูของเ้าก็หาใช่สตรีผู้งามพร้อมแต่อย่างใด กล่าวกันว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ต้องเก็บตัวอยู่ในหอห้อง ปรกติประตูใหญ่ไม่ย่าง ประตูข้างไม่เหยียบมิใช่หรือ แล้วอย่างไรเล่า หรือว่ากฎระเบียบจวนโม่ต่างกับของผู้อื่น จึงสามารถนัดพบกับบุรุษเป็การส่วนตัวได้” บุรุษที่ใครๆ เรียกว่าคุณชายหลิงยืนอยู่หน้าสุดปรายตามองโม่เสวี่ยิ่อย่างไม่พอใจ
“พูดจาเหลวไหล คุณหนูใหญ่ของเรามีธุระต้องถามไถ่กับซื่อจื่อ นอกจากนี้ก็ยังรักษาธรรมเนียม ไม่ได้เข้าไปในห้องด้านในเสียหน่อย” โม่จิ่นเถียงกลับเสียงดังลั่น
“คุณหนูของเ้าช่างสนิทสนมคุ้นเคยกับเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อยิ่งนัก เมื่อวานตอนที่พวกเราไปดื่มสุรากับซื่อจื่อ คุณหนูของพวกเ้ายังส่งถุงหอมมาให้ วันนี้ได้พอยินว่าซื่อจื่อได้รับาเ็ก็ยังมาเยี่ยมด้วยตนเองอีก เช่นนี้ยังไม่นับว่ามีความรู้สึกส่วนตัวกันอีกหรือ” บุรุษอีกคนซึ่งมีนามว่าคุณชายเหอกล่าวเยาะหยัน บนศีรษะของเขายังมีผ้าพันแผลผูกอยู่ เพียงแค่นึกถึงเื่ที่จู่ๆ ตนเองก็ถูกตีโดยไม่รู้เื่ราวก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าแล้วเชียวว่าทำไมเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อจึงสนิทสนมกับจวนโม่นัก ที่แท้ก็ด้วยเหตุผลข้อนี้เอง”
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่สกุลโม่ผู้มีชื่อเสียงดีงามมาโดยตลอด จะไม่รักษาจรรยาสตรีเช่นนี้”
“มีอยู่่หนึ่งท่านพ่อของข้าเห็นว่าคุณหนูใหญ่สกุลโม่ผู้นี้มีชื่อเสียงดีงาม ยังคิดจะไปสู่ขอให้ข้าอยู่เลย ที่แท้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เื่ปั้นแต่งทั้งสิ้น...”
“วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ กลัวแต่ว่าคุณหนูท่านนี้กับซื่อจื่อจะไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วน่ะสิ...”
คำพูดน่าชังผ่านเข้าหูประโยคแล้วประโยคเล่า จนโม่เสวี่ยิ่เกือบจะรับไม่ไหว ต้องข่มใจอยู่นานจึงสงบนิ่งได้ นางขบกรามกรอดผลักโม่จิ่นที่ขวางอยู่ด้านหน้าออกไป จ้องบุรุษสองคนที่ยืนอยู่หน้าสุด กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ข้าส่งถุงหอมไปให้ซื่อจื่อั้แ่เมื่อไร พวกเ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นหน่อยเลย”
“เ้าบอกว่าเปล่าหรือ? คนที่นำถุงหอมมามอบให้เจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อก็คือสาวใช้ที่อยู่ข้างกายเ้าผู้นั้นอย่างไรเล่า ผู้เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นมิได้มีเพียงพวกเราสองคน คุณหนูใหญ่้าให้เชิญคนเ่าั้มาพิสูจน์ไหมเล่า กิริยาท่าทางยั่วยวนแบบนี้คนสามัญทั่วไปใช่ว่าจะเลียนแบบได้” คุณชายเหอกล่าวเสียงลั่น พลางชี้ไปที่ซวงเยี่ยซึ่งยืนหัวหดก้มหน้างุดอยู่ด้านข้าง
โม่เสวี่ยิ่หันไปมองท่าทางของซวงเยี่ยก็โมโหเกือบหน้ามืด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีคำสั่งให้คนที่รับหน้าที่ส่งของทำให้ดูเอิกเกริกเป็พิเศษ เพื่อให้ผู้คนรับรู้ว่าโม่เสวี่ยถงมอบถุงหอมให้ซือหม่าหลิงอวิ๋น
“เหลวไหล ข้าเพิ่งมาถึงวันนี้ จะไปรู้เื่เมื่อวานได้อย่างไร” เวลานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจยอมรับเด็ดขาด” โม่เสวี่ยิ่กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “สาวใช้ผู้นี้ตามน้องหญิงสามของข้าขึ้นเขามาเมื่อวาน” ถึงตอนนี้แล้วนางยังไม่วายพูดจาสาดโคลนใส่โม่เสวี่ยถง
“เช่นนั้นคุณหนูใหญ่จะอธิบายเกี่ยวกับถุงหอมใบนี้ว่าอย่างไร นี่เป็ของที่พวกเราแอบฉกมาจากตัวของซื่อจื่อ คงไม่ใช่ของน้องหญิงสามที่เ้ากล่าวถึงผู้นั้นหรอกกระมัง” คุณชายหลิงหยิบถุงหอมใบหนึ่งออกจากอกเสื้อด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วส่งให้ผู้อื่นที่อยู่รอบข้างดู
“คุณหนู ถุงหอมของท่าน...” โม่จิ่นร้องออกมาอย่างใ ก่อนมองไปที่สายคาดเอวของโม่เสวี่ยิ่ ถุงหอมที่คาดอยู่ตรงนั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ
ขณะที่นางยังคิดจะพูดอะไรออกมาอีกก็ถูกโม่เสวี่ยิ่ถลึงตาดุใส่ทีหนึ่ง จึงตระหนักถึงสถานการณ์เบื้องหน้านี้ได้ รีบหุบปากด้วยความหวาดกลัว มือที่ประคองโม่เสวี่ยิ่อยู่สั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ดูสิ แม้แต่สาวใช้ข้างกายยังขายเ้าออกมาแล้ว แล้วจะมาแก้ต่างอย่างไรได้อีก คุณหนูใหญ่โม่ช่างมีฝีมือล้ำเลิศจริงๆ ภาพลักษณ์ภายนอกแสดงออกราวกับนางฟ้านาง์ ที่แท้ก็แอบนัดแนะกับบุรุษส่วนตัวในที่ลับ...” มีบุรุษผู้หนึ่งในกลุ่มกล่าวเยาะหยันเสียดสีขึ้นมาก่อน
“ที่แท้ความใจกว้างและอ่อนโยนอันเป็ชื่อเสียงดีงามของคุณหนูใหญ่สกุลโม่ล้วนเป็เื่หลอกลวงทั้งเพ ช่างร้ายกาจนัก”
“เห็นท่าทางงดงามอ่อนโยน มองไม่ออกเลยว่าลับหลังจะทำเื่แบบนี้ได้ ชื่อเสียงสกุลโม่คงได้ป่นปี้คราวนี้แหละ” ชายอีกคนกล่าวพลางโคลงศีรษะไปมา
โม่เสวี่ยิ่ได้ยินคำกล่าวเ่าั้ก็รู้สึกแค้นจุกอก จนเกือบหน้ามืดเป็ลม แต่ก็รู้ว่าเวลานี้นางจะเป็อะไรไม่ได้เด็ดขาด
นางกัดปลายลิ้นอย่างแรงไปทีหนึ่งจนเืไหลออกมา ใช้ความเ็ปรุนแรงนี้ทำให้สติกระจ่างชัด แผดเสียงดุดันปะทะกับคุณชายสองสามคนที่อยู่ตรงข้าม “วันนี้พวกเ้าสร้างเื่ทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น ไม่รู้ว่าไปหาถุงหอมนี้จากไหนแล้วมากล่าวอ้างว่าเป็ของข้า บีบคั้นจะให้ข้าตายให้ได้... เช่นนั้นข้าก็จะให้พวกเ้าได้สมหวัง จะตายให้ดูเดี๋ยวนี้เลย แต่อย่าลืมว่าบิดาของข้าต้องตรวจสอบเื่วันนี้จนถึงที่สุดแน่นนอน ถึงเวลานั้นพวกเ้ากับตระกูลที่หนุนอยู่เื้ัก็ไม่มีทางหนีความยุติธรรมไปได้”
พูดจบก็ยกแขนเสื้อคลุมศีรษะ แล้ววิ่งพุ่งเข้าหาต้นไม้ด้านข้าง
บัดนี้นางสิ้นวาจาจะโต้กลับได้อีก มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะหยุดปากคนที่ทำให้ชื่อเสียงของนางมัวหมองได้ นางไม่ได้เข้าห้องซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็เื่จริง สาวใช้คนหนึ่งกับถุงหอมใบหนึ่งก็ไม่อาจบ่งชี้ว่าเป็ความผิดของนาง นางไม่เชื่อว่า คนเ่าั้จะกล้านำเื่ที่นางไม่ได้ทำมาบีบคั้นนางให้จนมุมได้ เมื่อครู่ที่นางกวาดตามองเข้าไป คนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ลูกหลานของครอบครัวตระกูลสูงศักดิ์อย่างแท้จริง อย่างมากก็เป็เพียงลูกหลานของขุนนางที่ตำแหน่งฐานะไม่ใหญ่โตนัก ไม่ได้อยู่ในแวดวงของคนที่ไปมาหาสู่กับนาง นอกจากนี้กิริยาวาจาก็หยาบคาย ไหนเลยจะเป็ทายาทของสกุลผู้ดีที่แท้จริงได้
กล้าพนันเลยว่าพวกเขาไม่กล้าบีบคั้นนางจริงๆ
มีเพียงการกดดันให้พวกเขายอมผ่อนปรนแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“คุณหนู คุณ...” โม่จิ่นและซวงเยี่ยเห็นนางวิ่งพุ่งออกไปเช่นนั้น ก็ช่วยกันดึงนางไว้สุดชีวิต เอาตัวเข้าขวางด้านหน้า กลัวว่านางหาทางออกไม่ได้เกิดคิดสั้นขึ้นมาจริงๆ
กลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามเริ่มวุ่นวายใจ จับชู้เป็เื่สนุก แต่การบีบคั้นสตรีที่เป็บุตรของขุนนางขั้นห้าให้ถึงที่ตายนี้เป็เื่ใหญ่
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็ลูกคหบดีมีเงิน มีเพียงส่วนน้อยที่เป็บุตรขุนนางชั้นล่าง ใครๆ ก็รู้ว่าจวนโม่เป็ตระกูลขุนนางรับใช้ใกล้ชิดองค์จักรพรรดิ หากไปล่วงเกินเข้าจริงๆ อาจนำภัยมาสู่วงศ์ตระกูล ใครเล่าจะยอมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเื่พรรค์นี้
“พี่เหอ นี่คงไม่ใช่การเข้าใจผิดไปหรอกกระมัง บนถุงหอมก็ไม่ได้มีชื่อเขียนไว้สักหน่อยนี่” คนผู้หนึ่งที่ถือถุงหอมอยู่รีบยัดของส่งคืนให้ถึงมือของคุณชายหลิง จงใจทำเป็มองไม่เห็นอักษร ‘ิ่’ ที่ปักอยู่บนถุงหอม
“แค่เข้าไปถามซื่อจื่ออยู่นอกชายคา ก็ไม่ถือว่าเป็การผิดต่อจรรยาเท่าใดหรอกกระมัง”
“สาวใช้คนนั้นแค่มองดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สตรีที่ดีเท่าไร คงจะไม่ใช่ว่าแอบมอบของให้เจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อเสียเองหรอกนะ”
“ต้องเป็เช่นนั้นแน่ ดูจากท่าทางของสาวใช้ผู้นั้นก็ไม่ได้ดิบดีอะไร” ทุกคนต่างยอมลดราวาศอก เ้าพูดนั่นข้าพูดนี่คนละประโยคสองประโยค
เมื่อเห็นพวกเขาต่างยอมอ่อนข้อลงแล้ว คุณชายเหอกับคุณชายหลิงก็มีสีหน้าลนลาน ทั้งคู่มองหน้ากันแต่ก็ไม่กล้ากัดโม่เสวี่ยิ่อีกแม้แต่คำเดียว ถุงหอมนี้เดิมทีก็เป็ของที่พวกเขาขโมยมาจากนาง หากตรวจสอบพบขึ้นมาจริงๆ พวกเขาสองคนก็ไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาภายหลังได้เช่นกัน ลมลิ้นของโจรลักเล็กขโมยน้อยก็ไม่อาจเอาแน่เอานอนได้
ทั้งสองแลกสายตาส่งสัญญาณลับกัน ตัดสินใจไม่คิดหาเื่ต่อไปอีก ท่าทางค่อยๆ อ่อนลง
“โอ... นี่ก็ยังไม่อาจยืนยันได้จริงๆ” คุณชายเหอกล่าวเสียงเย็น
“คุณหนูใหญ่โม่ เมื่อสาวใช้ของเ้าเป็คนทำเื่นี้ ต่อไปก็จงดูแลนางให้ดีๆ หน่อย อยู่ว่างๆ ก็อย่าให้ออกไปลวงภมรล่อผีเสื้อเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นคนที่ไม่รู้อาจจะเข้าใจว่าคุณหนูใหญ่ไม่รักนวลสงวนตัว...” คุณชายหลิงหัวเราะแล้วสะบัดมือโยนถุงหอมทิ้งไป โม่จิ่นรีบไปเก็บขึ้นมา
คำพูดแบบนี้หามีความเคารพแม้แต่น้อย โม่เสวี่ยิ่โกรธจนตัวสั่น
เมื่อเห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้ว ครั้นนึกถึงความโหดร้ายที่อยู่เื้ัของคุณหนูใหญ่ ซวงเยี่ยก็มีสีหน้าลนลาน คุกเข่าลงโดยพลัน ร้องขึ้นอย่างร้อนใจ “คุณหนู...”
“หุบปาก! เ้ากลับไป แล้วเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังอย่างชัดเจน” โม่เสวี่ยิ่สีหน้าหมองคล้ำซีดเซียว ราวกับมีชีวิตอีกครั้งหลังความตาย เหงื่อไหลเปียกชุ่มอาภรณ์ เห็นซวงเยี่ยยังคิดจะอ้าปากพูดอะไรอีกก็ตวาดเสียงกร้าวใส่ แล้วหมุนกายพาโม่จิ่นออกไปจากเรือน ยามนี้นางไม่อาจเผยท่าทางมีพิรุธใดๆ ออกมาได้
สิ่งที่ซวงเยี่ยอยากจะพูดออกมาเวลานี้ก็เพื่อปกป้องตัวนางเอง แล้วตนจะยอมให้อีกฝ่ายกล่าวออกมาให้จบได้อย่างไร มลทินในครานี้หากไม่ให้ป้ายไปที่ตัวนาง แล้วจะให้ตนเองแบกรับไว้หรือ
ที่นี่เสียงดังเอ็ดอึงถึงเพียงนี้ ย่อมมีคนมาสืบเสาะอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
เห็นใบหน้างดงามของโม่เสวี่ยิ่ดุร้ายจนเกือบจะกลายเป็อัปลักษณ์ ซวงเยี่ยหรือจะกล้าพูดอะไรอีก นางลุกขึ้นมาอย่างตื่นกลัว เดินตัวสั่นงันงกตามหลังโม่เสวี่ยิ่กลับไปที่เรือนรับรอง
เมื่อกลับมาถึงเรือน โม่เสวี่ยถงก็กระวีกระวาดออกมายืนรออยู่ใต้ชายคา ใบหน้าทอยิ้มอย่างสนิทสนม “พี่หญิงใหญ่เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไร พวกเรากลับบ้านกันเถิด” โม่เสวี่ยิ่กัดฟันพูด อยากเข้าไปฉีกทำลายรอยยิ้มเจิดจรัสบนใบหน้าของโม่เสวี่ยถงใจจะขาด รอยยิ้มนั้นราวกับกำลังเยาะเย้ยแผนการของตนเองที่พังพินาศลงไป บัดนี้นางไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่แม้เพียงชั่วอึดใจ และรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็ผลงานของภูตผีที่อยู่เื้ัของโม่เสวี่ยถงก่อขึ้น
“เช่นนั้นพวกเราก็กลับด้วยกันเลย โม่หลันรีบไปเก็บของเร็วๆ เข้า” โม่เสวี่ยถงหันไปบอกสาวใช้
“เ้าค่ะ เมื่อเช้านึกว่าจวนส่งคนมารับคุณหนู บ่าวกับโม่อวี้ก็เลยเก็บสัมภาระทั้งหมดเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ” โม่หลันกล่าวตอบ
“พี่หญิงใหญ่ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด” โม่เสวี่ยถงจับมือโม่เยี่ยหายใจหอบสองสามครั้ง สีหน้ายิ่งดูขาวซีด โม่อวี้เข้ามา่พยุงโม่เสวี่ยถงอีกด้านหนึ่ง คอยระวังให้นางยืนอย่างมั่นคง
ยามนี้โม่เสวี่ยิ่ไม่มีจิตใจจะไปพะวงถึงโม่เสวี่ยถง นางหมุนตัวนำโม่จิ่นเดินออกไปด้านนอก ซวงเยี่ยตามอยู่ด้านหลัง มองซ้ายมองขวาด้วยไม่รู้ว่าควรจะตามหลังผู้ใด ทันใดนั้นก็ัักับสายตาเย็นะเืของโม่เสวี่ยถง จนอดขนลุกเกรียวไม่ได้ รีบเดินตามหลังโม่เสวี่ยิ่ออกไปทันที
ขณะที่กลับมาถึงจวนโม่ แสงตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว โม่เสวี่ยิ่พาโม่จิ่นลงจากรถแล้วเดินไปโดยไม่ได้บอกลาโม่เสวี่ยถงสักคำ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยี้จนเกือบแหลกเป็ชิ้นๆ เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้นางจำเป็ต้องตรองให้กระจ่าง ซวงเยี่ยที่อยู่ด้านหลังเข้ามาอ้อนวอนจะขอติดตามไปด้วย จึงถูกโม่เสวี่ยิ่ยกเท้าถีบกระเด็นออกไปชนประตูอย่างแรงเจ็บจนร้องไม่ออก จึงไม่กล้าเดินตามไปอีก
ส่วนทางนี้ สาวใช้สองสามคนช่วยกันประคองโม่เสวี่ยถงกลับไปยังเรือนชิงเวย สวี่มามาที่ออกมาต้อนรับหน้าประตูก็มือเท้าแทบพันกันไปยกหนึ่ง หลังปรนนิบัติโม่เสวี่ยถงให้นอนลงแล้ว สวี่มามาก็ยกน้ำชาเข้ามาให้ดื่ม โม่เสวี่ยถงจึงค่อยดูมีกำลังวังชาขึ้นเล็กน้อย
“คุณหนูป่วยหนักขนาดนี้ ไฉนพวกเ้าจึงยังให้นางลงเขาอีก หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ต่อไปข้าจะมีหน้าไปพบฮูหยินได้อย่างไร” สวี่มามาเห็นสีหน้าซีดเซียวของโม่เสวี่ยถงก็ปวดใจยิ่ง กล่าวตำหนิพวกโม่หลัน
“ทางโน้นเกิดเื่ขึ้นเ้าค่ะมามา คุณหนูก็เลยต้องลงจากเขามานี่แหละ” โม่อวี้ออกไปเฝ้าที่หน้าประตู โม่หลันชี้ไปทางเรือนฝูฉิงของโม่เสวี่ยิ่
“คุณหนูใหญ่?” สวี่มามานิ่งงันไปชั่วครู่ พริบตาเดียวก็กดเสียงต่ำลง “ไม่เกี่ยวกับคุณหนูเราใช่ไหม” นางสนใจแต่ความปลอดภัยของคุณหนูตนเองเท่านั้น
“คุณหนูไม่เป็ไร แค่ใเล็กน้อยเท่านั้น” โม่หลันตอบด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่เล่าเื่ทั้งหมดให้สวี่มามารับรู้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ แต่คุณหนูเคยบอกว่าสวี่มามาอายุมากแล้ว บางเื่ก็ไม่ควรพูดให้นางกังวลใจ
“ไม่มีก็ดีแล้ว คุณพระคุ้มครอง” สวี่มามาพึมพำสองสามประโยค แล้วกำชับให้โม่หลันดูแลโม่เสวี่ยถงให้ดี จึงยอมกลับไปนอนภายใต้การคะยั้นคะยอของพวกโม่อวี้
ประตูห้องปิดลงเบาๆ โม่หลันรั้งอยู่ปรนบัติยามวิกาล นางปรับแสงตะเกียงให้มืดลงเล็กน้อย
“โม่หลัน เ้าก็ไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด เมื่อวานก็นอนไม่เต็มที่มาคืนหนึ่งแล้ว” โม่เสวี่ยถงลืมตาขึ้นเล็กน้อย คนที่ป้อนน้ำตนเองเมื่อคืนก็คงเป็โม่หลันนี่แหละ
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะคุณหนู เมื่อคืนไม่รู้ว่าบ่าวนอนหลับไปั้แ่เมื่อไร ตื่นขึ้นมาก็เช้าแล้ว” โม่หลันพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกแปลกใจ ว่าอยู่ดีๆ ไฉนตนเองถึงหลับไปได้ โชคดีที่พอตื่นขึ้นมาคุณหนูก็หายแล้ว มิเช่นนั้นนางคงรู้สึกผิดจนตายแน่นอน
“อ้อ ส่วนทางสวี่มามาก็ไม่ต้องพูดอะไรนะ”
“บ่าวจะหุบปากให้สนิทเ้าค่ะ”
หลังจากหรี่แสงไฟจากตะเกียงลงแล้ว โม่หลันก็ขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ในที่สุดก็อดใจไม่ไหวหันไปถาม “คุณหนู ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอย่างไรหรือเ้าคะ พวกบุรุษชีกอเ่าั้จึงได้กัดคุณหนูใหญ่ไม่ปล่อย”
ข้อความบนกระดาษนั้นน่ะหรือ โม่เสวี่ยถงคลี่ริมฝีปากยิ้มเยาะ ต่อให้ในความฝันโม่เสวี่ยิ่ก็ไม่มีทางคิดออกว่ากระดาษแผ่นนั้นจะนำเคราะห์ภัยมาถึงตัว