หอสมุดสำหรับเหล่าขุนนาง ตั้งอยู่ใจกลางพระราชวังเด่นตระหง่าน ผู้คนเดินเข้าออกเพื่อขอยืมตำราต่างๆ ไปศึกษาโดยไม่มีข้อกำหนด ทุกคนสามารถเข้าถึงตำราได้อย่างเท่าเทียม เหิงเยว่เดินเข้ามาค้นหาตำราสมุนไพรชนิดต่างๆ ตามคำสั่งของพระสนมเจียวจิน
“พระสนม้าตำราสมุนไพรมากมายอย่างนี้ไปทำไมกัน” ผู้เฝ้าหอสมุดถามอย่างสงสัย ในขณะที่เหิงเยว่ทำการลงบันทึกการยืมหนังสือ ก่อนจะหอบตำรากองใหญ่เดินออกไป นางเดินออกจากหอสมุดมาได้ไม่นาน ก็ชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างจนตำราร่วงกระจัดกระจายเต็มพื้น
“องค์ชายรอง เป็อะไรไหมเพคะ เหิงเยว่ไม่ระวังของพระราชทานอภัยด้วยเพคะ” หลังจากเห็นว่าเป็ชายสูงศักดิ์นางถึงกับใ รีบก้มหน้ากล่าวขอโทษ ชายหนุ่มยืนยิ้มไม่พูดอะไร พลางหันไปเก็บตำรา เมื่อเหิงเยว่เห็นดังนั้นจึงรีบตามเก็บตำราเหลือทั้งหมด ด้วยเพราะความเกรงใจ ก่อนมือหนาขององค์ชายรองจะยื่นตำราคืนให้
“เหตุใดจึงขนตำราสมุนไพรไปมากมาย” สุรเสียงอบอุ่นแผ่ถามออกมาพร้อมแววตาอ่อนโยน
“พระสนมเจียวจินให้หาเพคะ”
“ท่านแม่งั้นรึ” เจิ้งหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เพคะ”
“ให้ข้าช่วย” องค์ชายรองปล่อยยิ้มแล้วดึงตำราทั้งหมดไปถือ ในขณะที่เหิงเยว่พยายามบ่ายเบี่ยง แต่เพียงพริบตาเดียวทุกอย่างก็ไปอยู่ในมือของเขาเรียบร้อย
“องค์ชายรองเพคะ ท่านทำแบบนี้คนอื่นเห็นเข้าจะเสื่อมเสียเอาได้”
“จะเสื่อมเสียได้อย่างไร เ้าเป็คนสนิทของท่านแม่ ข้าก็แค่ช่วยถือ ใครฤาจะกล้าตำหนิ”
“...” เหิงเยว่ก้มหน้าแล้วจำใจเดินตามหลังไป ทุกย่างก้าวนางมองแผ่นหลังของเขาแล้วคิดทบทวนในใจ องค์ชายรองมีลักษณะนิสัยอ่อนโยน ใส่ใจคนรอบข้างอยู่เสมอ แตกต่างจากองค์รัชทายาทอย่างสิ้นเชิง ที่เงียบขรึมจมดิ่งกับความคิดตลอดเวลา หรืออาจเป็เพราะต้องแบกรับภาระใหญ่หลวง ทุกอย่างจึงหล่อหลอมให้องค์รัชทายาทเป็เช่นนั้น นับจากวันที่รอดตาย เหิวเยว่ไม่เคยเหลียวมองชายใด ตั้งใจเรียนรู้ขนบธรรมเนียมเพื่อสักวันจะได้นั่งในใจเขา สองเท้าเล็กก้าวตามหลังองค์ชายรองมายังตำหนักของพระสนมเจียวจิน
“เหตุใดท่านแม่ จึงอ่านตำราสมุนไพรมากมายเช่นนี้” องค์ชายรองเดินเข้ามายังตำหนัก แล้วหันมาถามมารดาด้วยความแปลกใจ หญิงชราลุกขึ้นพลางเดินตรงมาส่งยิ้มอันอบอุ่น พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าองค์ชายรองด้วยความรัก
“ลมอะไรหอบลูกชายของข้ามาถึงตำหนัก แล้วเหตุใดจึงมาพร้อมกับนาง” เจิ้งหลี่ยิ้มอ่อนแล้วกุมมือมารดาอย่างอ่อนโยน เหลือบมองหญิงสาวด้านข้างแล้วตอบคำถาม
“ข้ากำลังมาหาท่าน แล้วระหว่างทางเจอเหิงเยว่พอดี” พูดถึงตรงนี้ เหิงเยว่ก้มลงเล็กน้อยไม่สบตา
“เช่นนั้นฤา” องค์ชายรองพยักหน้า ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย
“เหิงเยว่เ้าเอาตำราพวกนี้ไปเก็บ”
“เพคะ” หญิงสาวทำตามคำสั่งด้วยกิริยาอ่อนน้อม องค์ชายรองไม่อาจละสายตาได้ จนกระทั่งเสียงของมารดาทำให้เขาหลุดจากภวังค์ตรงนั้น
“องค์รัชทายาทเป็อย่างไรบ้าง กลับมาหรือยัง”
“ยังเลยท่านแม่ ครานี้หายไปนานหลายวัน ไม่มีใครรู้พระทัยขององค์รัชทายาท ข้าหนักใจไม่ต่างจากเสด็จพ่อ ภาวนาให้องค์รัชทายาทเจอกับท่านผู้เฒ่าหานตงในเร็ววัน”
“ใช่ว่าเจอกับท่านผู้เฒ่าหานตง แล้วองค์รัชทายาทจะสามารถฝึกวิชาเวทขั้นแปดสำเร็จเสียเมื่อไหร่ การจะฝึกเวทขั้นแปดสำเร็จเป็เื่ยากแค่ไหนเ้าย่อมรู้ดี ตำราทั่วทั้งวังหลวงมีหรือจะรอดพ้นสายพระเนตรขององค์รัชทายาท แต่กระนั้นยังไม่สามารถฝึกได้สำเร็จ”
“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร” องค์ชายรองหรี่ตาถามมารดา
“หากถึงเวลานั้น องค์รัชทายาทปฏิเสธการขึ้นครองตำแหน่งพระมหาจักรพรรดิ แม่เชื่อว่าเ้าจะทำหน้าที่แทนได้”
“ท่านแม่พูดอะไร” องค์ชายรองเบิกตากว้าง ในขณะที่พระสนมพยายามเก็บอาการหวาดหวั่นในใจไว้ สองเท้าก้าวเดินมานั่งยังที่ประทับ
“ข้าพูดตามความเป็จริง”
“ถึงอย่างนั้นข้าก็จะไม่มีวันยอมรับตำแหน่งเด็ดขาด ข้าไม่มีอะไรเทียบกับองค์รัชทายาทได้แม้สักนิด ไม่ว่าจะเป็ความสามารถด้านใดก็ตาม ยิ่งกว่านั้นวิชาเวทขององค์รัชทายาทเป็ที่ประจักษ์แล้วว่า ทั่วทั้งนครไม่มีผู้ใดเทียบเท่า”
“เหลวไหลเจิ้งหลี่ หากเป็พระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ผู้ใดเลยจะกล้าขัด”
“หากยังมีองค์รัชทายาท ข้าก็จักไม่มีวันยอมรับตำแหน่ง ข้ามิอาจทรยศความรู้สึกตัวเองได้ ข้าขอตัวก่อนนะท่านแม่” องค์ชายรองบอกลา แล้วรีบเดินจากตำหนักของพระสนมในทันที สองเท้าตั้งมั่นเดินตรงไปยังสระมรกตเช่นเดิม เพื่อเฝ้ารอองค์รัชทายาทกลับมา
กองไฟสีส้มที่เกิดจากพลังเวทขององค์รัชทายาทกำลังใกล้มอดดับ มีหลายอย่างให้ทบทวนมิอาจหลับใหลได้ ชายหนุ่มนั่งเขี่ยไฟเรื่อยๆ พลางหันใบหน้าหล่อเหลาพร้อมด้วยสายพระเนตรมองตรงมายังซูเจิน นางหมดฤทธิ์นอนหลับไปได้ครึ่งชั่วยามแล้ว ก่อนนึกบางอย่างได้จึงขยับวรกายเข้าไปใกล้ สายตาคมเลื่อนมองฝ่าเท้าของนางที่กำลังระบบแดงระเรื่อ มือหนาเอื้อมไปจับพลิกไปมาเบาๆ ก่อนควานหายาที่ติดตัวมาแล้วบรรจงทารักษาให้อย่างเบาแรง เขาเห็นซูเจินเป็เด็กสาวที่น่าสงสาร นางมีความเศร้าอยู่ในใจเก็บไว้ตลอดเวลา โดยส่งผ่านสายตาหวานคู่นั้น มีบ้างที่ความซุกซนของนางจะเผยออกมาให้เห็นเป็ระยะ แต่นั่นไม่ได้ทำให้โจวอี้เฟยรำคาญใจแม้แต่น้อย และยาสมุนไพรชนิดนี้เป็ตำรับชาววังว่ากันว่า ผู้คิดค้นใช้ทั้งชีวิตเพื่อนำสูตรยานี้มาถวาย สายตาคมจับจ้องไปยังเท้าอุ่นของสาวงามด้วยหวังว่าวันรุ่งขึ้นจะไม่เกิดการช้ำ หลังจากนั้นรู้สึกหมดแรงจึงเอนกายพัก ภายใต้กองไฟที่ริบหรี่ใกล้ดับ เป็อีกคืนที่ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แสงสีอ่อนด้านนอกโผล่พ้นขอบฟ้าให้เห็นรำไร
“ท่านยอดฝีมือตื่นแล้วเหรอ ข้าทำอาหารเช้าเสร็จพอดี” ซูเจินตระเตรียมอาหารทุกอย่างมาวางพร้อมไว้ตรงหน้า ก่อนสายตาขององค์รัชทายาทจะเลื่อนมองดูเท้าที่าเ็ของนาง ปรากฏว่าหายดีขึ้นมากแล้ว
“วันนี้อาจจะพ้นชายแดนแคว้นจ้านหลิว เข้าสู้แคว้นเสี่ยนหลิว”
“จริงเหรอ ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่ฤาไม่” องค์รัชทายาทพยักหน้า มองความดีใจของซูเจินอย่างเงียบๆ ในขณะที่อีกฝ่ายแทบจะะโโลดเต้น ใบหน้าสวยเปล่งประกายความงามออกมามากที่สุดในเวลานี้ ท่านผู้เฒ่าหานตงไม่ได้อาศัยอยู่ที่แคว้นจ้านหลิว แล้วเมื่อใดภารกิจจะสิ้นสุด
“สีหน้าท่านดูไม่ดีใจ อาหารไม่อร่อยเหรอ” ซูเจินถามด้วยแววตาใคร่รู้
“เท้าของเ้า รู้สึกดีขึ้นฤาไม่” องค์รัชทายาทไม่ตอบคำถาม หากแต่เบี่ยงเป็เื่อื่น ซูเจินได้ฟังดังนั้นจึงลองขยับเท้าและสังเกตอาการดู
“เท้าข้าไม่เจ็บแล้ว แปลกจังหายเจ็บได้ยังไงกันนะ” องค์รัชทายาทเก็บความลับไว้ และมองแววตาใสซื่อดวงนั้นที่กำลังครุ่นคิดอย่างไร้เดียงสา การเดินทางของทั้งสองเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันใหม่ ซูเจินเดินตามหลังองค์รัชทายาทไปเรื่อยๆ แม้ผ่านูเาและป่ารกทึบสักเพียงใดยังคงรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจอยู่เสมอ
“หากผ่านแคว้นจ้านหลิวไปแล้ว ท้ายที่สุดข้ากับท่านยอดฝีมือต้องจากกัน เหตุใดหัวใจของข้าหวาดหวั่นเช่นนี้” ซูเจินมองแผ่นหลังของเขา แล้วเฝ้าคิดเสียดายขึ้นมา ผมสีดำยาวจรดหลังแลกิริยาท่วงท่าการเดิน ยังคงความสง่างามไม่อาจละสายตาได้
“จริงสิ จุดหมายของท่านคือที่ใด” ซูเจินเอ่ยถามในขณะที่สองเท้าก้าวเดินตาม
“จุดหมายของข้า ไม่ใช่สถานที่ หากแต่เป็บุคคล”
“บุคคลเช่นนั้นฤา” ซูเจินเอียงศีรษะพยายามเข้าใจความหมาย โจวอี้เฟยนึกบางอย่างได้จึงหยุดเดินแล้วหันกลับมายังหญิงสาวตรงหน้า ดวงตากลมทั้งสองสบกันครู่หนึ่ง นางหาใช่คนธรรมดา มียศถาบรรดาศักดิ์ระดับหนึ่งหากโชคดีอาจจะเคยได้ยินชื่อของท่านผู้เฒ่าหานตงผ่านหูบ้าง
“ท่านมองข้าเช่นนั้น คิดอันใดอยู่”
“เ้าเกิดและเติบโตที่แคว้นจ้านหลิว เคยได้ยินนามของท่านผู้เฒ่าหานตงบ้างฤาไม่” ซูเจินส่อสายตานึกทบทวนครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะไปมา
“ท่านผู้เฒ่าหานตง คือบุคคลที่ท่านตามหาเช่นนั้นฤา” องค์รัชทายาทพยักหน้า
“ข้าไม่เคยรับรู้เื่ราวโลกภายนอกมากนัก ยิ่งเป็บุคคลด้วย ข้าช่วยท่านไม่ได้ น่าละอายใจนัก” แววตาเศร้าฉายความรู้สึกออกมา
“หาใช่ความผิดเ้า” องค์รัชทายาทตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วหันกลับมุ่งหน้าเดินทางต่อไป เสียงนกการ้องขานรับกันเป็ทอดๆ หญิงสาวชมความงามระหว่างทางเดินไปเรื่อยๆ ก่อนสะดุดตากับดงดอกไม้งามตรงหน้า นางหยิบดอกไม้สีชมพูดอกหนึ่งขึ้นมา แล้วจับกวัดแกว่งไปมาตามประสา รู้ตัวอีกทีก็โดนสายตาคมของอีกฝ่ายกำลังจับจ้อง
“ท่านยอดฝีมือ ท่านมองข้าเช่นนั้น ข้าทำอันใดผิด” เขาไม่ตอบคำถาม หากแต่รีบก้าวเท้าเข้ามาหา แล้วใช้พลังเวทดึงดอกไม้ในมือของซูเจินออก
“ท่านทำอันใด” หญิงสาวดวงตาเบิกกว้างแล้วเอ่ยถาม
“แบมือมา” น้ำคำราบเรียบแสดงเป็คำสั่ง ร่างบางเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นแล้วแบดู ปรากฏว่าเป็รอยแดงระเรื่อขึ้นเต็มฝ่ามือ
“ทำไมถึงเป็เช่นนี้” ซูเจินมองฝ่ามือของตัวเอง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ โจวอี้เฟยไม่ตอบคำถาม เขารีบควานหายาในทันที ท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้ชายหนุ่มจับมือนางไว้แน่น บรรจงทายาโดยรอบเพื่อไม่เกิดการระคายเคือง ซูเจินเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาอีกครั้ง พบว่าหัวใจตัวเองเริ่มเต้นผิดจังหวะ
“เหตุใดท่านจึงดีกับข้าเช่นนี้ นอกจากพี่ลี่เซียนแล้ว เห็นทีจะมีเพียงท่านเท่านั้น” ยังไม่ทันสิ้นความคิด
“นับจากนี้ เ้าห้ามเดินตามหลังข้า เช่นนั้นแล้วความซนของเ้าจะทำให้เกิดอันตรายได้อีก ดอกไม้สีชมพูในมือที่เ้าถือเมื่อครู่ เป็ดอกไม้พิษ อันตรายถึงตายหากใช้ผสมน้ำดื่มกิน แม้ภายนอกดูสวยงามก็จริง ใช่ว่าจะปลอดภัย” เขาพูดจบจึงวางมือนางลง แล้วปล่อยให้ซูเจินเดินนำหน้านับจากนั้นเป็ต้นมา