ไท่ฉื่อเจิ้งและบรรดาลูกน้องพักค้างในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับตระกูลขนาดกลาง ภายในนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครัน นอกจากไท่ฉื่อเจิ้งแล้วยังส่งคนมากมายไปคอยรับใช้ด้วยเช่นกัน
ที่แห่งนี้ยังเป็สถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองโยวโจว ที่แห่งนี้ก็คือจวนคังผิงโหว ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางและใหญ่กว่าจวนเ้าเมืองโยวโจวถึงสิบเท่า
เพียงเริ่มสร้างก็จินตนาการถึงความอลังการของจวนคังผิงโหวได้แล้ว ในฐานะจูโหวผู้มีอำนาจ จวนของเย่เฟิงย่อมต้องอลังการและยิ่งใหญ่
แต่ก่อนที่จะสร้างจวนคังผิงโหว เย่เฟิงได้รับคำชี้แนะจากราชันมารชื่อเทียน โดยให้ทำการสลักลวดลายเทวะไว้บนพื้นดินของจวนคังผิงโหว ลวดลายเทวะเหล่านี้มีการทำงานต่างกัน แต่หลัก ๆ คือรวมหยวนและป้องกัน
การรวมหยวนคือรวมหยวนผ่านค่ายกลลวดลายเทวะ สิ่งนี้จะสามารถระดมพลังหยวนที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางฟ้าดินมาไว้ในสถานที่หนึ่ง ทำให้สถานที่นั้นมีพลังหยวนเต็มเปี่ยม และยังสามารถเร่งการฝึกตนของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในที่แห่งนั้น
แต่การจะกางค่ายกลรวมหยวนได้นั้นต้องใช้ผู้ชำนาญด้านสลักลวดลายเทวะระดับสูง ๆ อีกอย่างค่ายกลรวมหยวนแทบจะสูญหายไปจากอาณาจักรจ้าวแล้ว และผู้ที่สร้างค่ายกลรวมหยวนได้นั้นก็ล้วนแต่เป็ผู้เชี่ยวชาญด้านลวดลายเทวะ แต่สิ่งที่พวกเขาสร้างคือค่ายกลรวมหยวนธรรมดา ซึ่งผลลัพธ์ต่างจากค่ายกลรวมหยวนที่เย่เฟิงสร้างมาก
ส่วนการป้องกันก็คือสลักลวดลายเทวะทำให้บางสิ่งปลูกสร้างหรือบางสถานที่มีการป้องกัน ซึ่งค่ายกลป้องกันจะทำงานก็ต่อเมื่อมีคนบุกรุก โดยการโจมตีต่าง ๆ จะสำแดงผ่านพลังลวดลายเทวะและโจมตีผู้บุกรุกกลับในทันที
ณ แผ่นดินใหญ่ กองกำลังมากมายต่างก็สร้างค่ายกลป้องกัน เพื่อป้องกันในยามมีคนบุกรุก
แต่ค่ายกลป้องกันที่เย่เฟิงสร้างคือสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากราชันมารชื่อเทียน ระดับการป้องกันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ค่ายกลป้องกันทั่วไปจะทัดเทียมได้
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น เย่เฟิงก็พักอยู่ในจวนหลายวัน และศึกษาวรยุทธ์กับจ้าวซินอี๋ในทุก ๆ วัน จนกระทั่งถึงวันก่อนงานวันเกิดของบิดาศิษย์น้องหนานกงอวี่หนึ่งวัน เย่เฟิงจึงไปที่ตระกูลหนานกงอีกครั้งเพื่อรวมตัวกับหนานกงอวี่ และเดินทางสู่ตระกูลลู่ที่เมืองชิงโจว
ส่วนจ้าวซินอี๋และลูกน้องทุกคนของเย่เฟิงล้วนรออยู่ที่โยวโจว
ทั้งสองคนไม่ได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติและยานพาหนะทางอากาศ พวกเขาเพียงเดินเท้า ซึ่งใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนจนในที่สุดก็ถึงเมืองชิงโจว
เมืองชิงโจวเป็เมืองศูนย์กลางของไท่โยวเก้าเขต ไม่ว่าจะเป็พื้นที่หรือความเจริญรุ่งเรืองก็ล้วนมีมากกว่าเมืองโยวโจวหลายเท่า ส่วนตระกูลลู่คือตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองชิงโจว และมีอำนาจรองจากจวนเ้าเมือง
วันนี้คือวันฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 60 ปีของลู่ตงซึ่งเป็ผู้นำตระกูลลู่ ทำให้บรรยากาศในตระกูลลู่เต็มไปด้วยความครึกครื้น
ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองชิงโจวมาร่วมแสดงความอวยพรกันอย่างเนืองแน่น นี่จึงเผยให้เห็นว่าสถานะของตระกูลลู่ในเมืองชิงโยวนั้นสูงส่งเพียงใด
ตระกูลลู่ถูกขนานนามว่าเป็ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงโจว จวนตระกูลลู่จึงยิ่งใหญ่ สิ่งปลูกสร้างภายในล้วนตระการตา และยังแฝงกลิ่นอายโบราณระคนความเรียบง่าย
ซึ่งจวนตระกูลลู่นั้นเริ่มยุ่งั้แ่สามวันก่อน เพื่อจัดเตรียมงานวันเกิดของลู่ตงผู้นำตระกูล
ภายในโถงใหญ่ของจวนตระกูลลู่นั้นได้เตรียมอาหารและสุราไว้เพียบพร้อม ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วทั้งเมืองชิงโจวต่างก็มารวมตัวกันที่นี่
ลู่ตงนั้นไร้ซึ่งบุตรชาย มีเพียงบุตรสาวสองคนเท่านั้น บุตรสาวคนโตคือลู่หว่านและบุตรสาวคนที่สองคือลู่เหยา ลู่หว่านนั้นมีอายุประมาณ 23-24 ปี มีหน้าตาสะสวย แม้ไม่น่าทึ่งเหมือนลู่เหยาผู้เป็น้องสาว แต่กลับมีเสน่ห์มากกว่า
นอกจากนี้สามีของลู่หว่านยังเป็บุตรชายคนโตของเ้าเมืองชิงโจวมีนามว่าเฉียนหง เฉียนหงมีอายุเท่าลู่หว่าน เขาสูงเจ็ดฉื่อ หุ่นกำยำล่ำสัน เพียงเขายืนอยู่เฉย ๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันได้แล้ว
เฉียนหงยังฝึกที่สำนักแห่งหนึ่งมีนามว่าเขาคงเซิ่งซึ่งเป็สำนักขนาดใหญ่ที่อยู่นอกไท่โยวเก้าเขต ทั้งยังเป็ศิษย์สายตรงของผู้าุโคุมกฎแห่งเขาคงเซิ่ง มีฐานะสูงส่งในสำนักและได้รับการฝึกฝนเป็อย่างดี เมื่อเขาอายุ 24 ปีก็บรรลุขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 มีพลังแกร่งกล้า กระทั่งเ้าเมืองชิงโจวอย่างเฉียนผิงผู้เป็บิดาของเฉียนหงก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุตรชายตัวเอง อีกอย่างเขายังมีฐานะสูงส่งที่ทำให้หลาย ๆ คนในเมืองต่างมองเขาด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
“พี่เฉียน งานวันเกิดผู้นำลู่ครั้งนี้ คงลำบากท่านกับคุณหนูลู่หว่านแล้ว” ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังหนึ่งของเมืองชิงโจวกล่าวพลางยิ้มกับเฉียนหง ซึ่งแฝงด้วยความประจบ
บุตรเ้าเมืองและเป็ศิษย์สายตรงของผู้าุโคุมกฎแห่งเขาคงเซิ่ง สถานะเช่นนี้ใครเล่าจะไม่อยากประจบ?
“ท่านพ่อตาไม่มีบุตรชาย ลูกเขยอย่างข้าก็ย่อมต้องทำหน้าที่ให้ดี ๆ” เฉียนหงกล่าวพลางยิ้ม
“พี่เขยลำบากแล้ว ท่านคนเดียวก็แทบดูแลทั้งตระกูลลู่ข้าแล้ว” จู่ ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาทางนี้ ชายผู้นี้มีรูปร่างผอมแห้งคล้ายมีโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเขามีนามว่าลู่เชา เป็หลานชายของลู่ตง เขาชอบอาศัยอำนาจของตระกูลลู่ข่มเหงรังแกผู้คนในเมืองชิงโจว และชอบประจบประแจงเฉียนหงมาโดยตลอด
“สมควรแล้ว” เฉียนหงพยักหน้าพร้อมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย คล้ายเพลิดเพลินไปกับการถูกผู้อื่นเชิดชูเช่นนี้
“ลู่เหยาใกล้ถึงวัยแต่งงานแล้ว ท่านพี่จึงคัดเลือกชายหนุ่มมากฝีมือจากทั่วทั้งเมืองชิงโจว แต่นางกลับไม่สนใจ นางสนใจแค่ศิษย์พี่ของนางเพียงคนเดียว” ขณะนั้นอาหญิงผู้เป็น้องสาวของผู้นำลู่เดินมาแล้วกล่าวเช่นนั้น พอกล่าวจบก็ส่ายหัวพลางถอนหายใจคล้ายดูผิดหวังในตัวลู่เหยา
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์พี่น่ะหรือ?”
ลู่หว่านที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะอย่างเ็า “ไม่รู้ว่าน้องเล็กคนนี้คิดอะไรอยู่ ไม่นึกว่าจะหลงเสน่ห์ศิษย์สายนอกในสำนัก ทำตระกูลลู่เสื่อมเสียชื่อเสียงชัด ๆ”
“ท่านพี่พูดถูก น้องเล็กไม่สนใจชายอื่น ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน ดูอย่างท่านพี่สิ ท่านแต่งกับัในฝูงมนุษย์อย่างพี่เขยคนนี้ นี่สิถึงจะเป็แสงแห่งเกียรติยศของตระกูลลู่” ลู่เชากล่าวเสริม ในความคิดของเขา ลู่เหยาควรจะเป็เหมือนลู่หว่านที่หาชายหนุ่มเก่ง ๆ มาเป็คู่ครอง เช่นนี้จึงจะเพิ่มพูนอำนาจของจวนตระกูลลู่ และให้เขาลู่เชาอาศัยบารมี
“พอเถอะ ลู่เหยากำลังดูอยู่” อาหญิงของลู่เหยากำชับลู่เชาแทบจะทันที จากนั้นสายตาหลายคู่มองไปตามนิ้วที่ชี้ของอาหญิง ก่อนจะเห็นลู่เหยาในชุดสีขาวกำลังเดินมาทางนี้ ซึ่งนางกำลังเม้มปากและเผยท่าทีโกรธเคือง
เมื่อครู่นี้ลู่เหยาได้ยินบทสนทนาระหว่างลู่หว่าน และคนอื่น ๆ หมดแล้ว จึงทำให้ลู่เหยาไม่พอใจเป็อย่างมาก เพราะเหตุใดกันนางตามหารักแท้จนพบแต่ครอบครัวกลับไม่ยินดี? นางมองท่าทีดูแคลนของญาติพี่น้องตัวเอง ลู่เหยาก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา แต่ยังคงเชื่อมั่นในความรู้สึกระหว่างนางและศิษย์พี่ จนกระทั่งได้เป็คู่รักอย่างแท้จริง
“เห็นแล้วอย่างไร? ไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้ก็ควรสั่งสอนนางเสียหน่อย เตือนให้นางมีสติ!” ลู่หว่านกล่าวเสียงดังพร้อมกับเหลือบมองลู่เหยาราวกับตั้งใจทำให้ลู่เหยาได้ยิน ในความคิดของนาง ลู่เหยาควรเป็เหมือนนาง ตามหาสามีที่พึ่งพาได้ แทนที่จะเป็ศิษย์สายนอกที่ไม่มีอะไรเลย
เมื่อลู่เหยาเห็นท่าทีของพี่สาวก็เผยสีหน้าเศร้าใจ พร้อมกับมีอาการจุกเสียดในใจอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ดูสิ ทางนั้นมีคนมาอีกแล้ว!” ขณะเดียวกันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทำให้ผู้คนไม่น้อยหันไปมองทางด้านนั้น ก่อนจะเห็นสองเงาร่างเดินเข้ามาในโถงใหญ่ สองคนนี้เป็ชายหนุ่มอายุไม่ถึง 20 ปี ทั้งยังดูหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย ซึ่งก็คือเย่เฟิงและหนานกงอวี่ที่เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองชิงโจว
ทั้งสองคนเพิ่งเดินเข้ามาในโถงใหญ่ก็กลายเป็จุดสนใจของผู้คนไม่น้อย จากนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวว่า “ที่แห่งนี้มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ของเมืองชิงโจวที่มาร่วมงานวันเกิดท่านผู้นำลู่ ไม่ทราบว่าพวกเ้าเป็ใครมาจากไหน?”
ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างก็มองพวกเย่เฟิงด้วยความสนใจเป็พิเศษ ถึงอย่างไรดูจากผู้ที่มาเข้าร่วมงานวันเกิดก็ล้วนเป็ขบวนทัพใหญ่และเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นอย่างมาก แต่ละกองกำลังก็ยังแสดงความเฉิดฉายของตัวเอง
ทว่าพวกเย่เฟิงกลับไม่ใช่ พวกเขามีแค่สองคนและอายุยังไม่ถึง 20 ปี ขบวนทัพเช่นนี้ดูน่าเวทนาไปหน่อย ดังนั้นผู้คนจึงตัดสินว่าเย่เฟิงและหนานกงอวี่จะต้องเป็ศิษย์จากสำนักไร้ชื่อเสียง
“ศิษย์พี่!”
อย่างไรก็ตามเมื่อลู่เหยามองมาทางด้านนี้ สีหน้าเศร้าสร้อยก็มลายหายไปในทันที และแทนที่ด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่สัญญากับนางว่าจะมางานวันเกิดบิดานางเพื่อมาร่วมแสดงความอวยพร บัดนี้ศิษย์พี่มาที่ตระกูลลู่จริง ๆ
“ศิษย์น้อง ไม่พบกันเสียนาน เ้าเป็อย่างไรบ้าง?” หนานกงอวี่เห็นเงาร่างงดงามนั้นสาวเท้ามาหาก็กล่าวพลางยิ้มตอบกลับเช่นนั้น
“ข้าสบายดี”
ใบหน้าของลู่เหยาเปื้อนรอยยิ้มแห่งความสุข ซึ่งมีเพียงเวลาที่อยู่ต่อหน้าหนานกงอวี่ ลู่เหยาจึงจะยิ้มเช่นนี้
“คนผู้นี้คือ...” ลู่เหยาหันไปมองเย่เฟิง ก่อนเอ่ยถามเช่นนั้น
“คนนี้คือสหายสนิทข้า มีนามว่าเย่เฟิง” หนานกงอวี่กล่าวแนะนำลู่เหยา โดยไม่ปิดบังชื่อแซ่ของเย่เฟิงใด ๆ
“สวัสดี!” ลู่เหยากล่าวทักทายเย่เฟิงด้วยรอยยิ้ม
ต่อจากนั้นเย่เฟิงก็ทักทายลู่เหยา ซึ่งความประทับใจแรกที่ลู่เหยามีต่อเย่เฟิงถือว่าไม่เลว เย่เฟิงเองก็ยังสามารถมองเห็นความรู้สึกจากใจจริงในสายตาของลู่เหยาที่มองหนานกงอวี่
