เื่แรกที่หลี่หรูอี้ต้องทำยามตื่นตอนเช้าก็คือ เปิดหน้าต่างตรวจดูสภาพอากาศ วันนี้ฝนตกหนัก ทั้งยังมีสภาพเลวร้ายคล้ายจะมีพายุฝน
นางมาที่หมู่บ้านหลี่ได้หลายเดือนแล้ว ได้ผ่าน่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วงมาสามฤดู อีกไม่นานจะได้ใช้ชีวิตในฤดูหนาว
หลังจาก่เทศกาลไหว้พระจันทร์ไปอุณหภูมิก็ลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เคยได้ยินอู่โก่วจื่อบอกว่า ตอนเช้าจะเห็นน้ำค้างแข็งบนพื้นทีู่เาด้วย
กล่าวกันว่า สิ้นสุดฝนยามใบไม้ร่วงก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว หลังจากฝนห่าใหญ่ในคราวนี้อุณหภูมิก็จะลดลงอีกหลายองศา
หากอากาศหนาวเย็นขึ้น นางก็จะจุดเตียงเตาตอนกลางคืน
เมื่อทอดสายตามองไป ก็พบผ้าห่มและเสื้อผ้าในสภาพเก่าขาดที่ไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นได้เลย โชคดีที่หลายวันก่อนนางให้จ้าวซื่อหาคนมาทำเสื้อผ้าและผ้าห่มใหม่แล้ว
ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่คิดนอนต่ออีก นางจึงหาที่ว่างในห้องนอนฝึกหมัดมวยแบบทหารไปรอบแล้วรอบเล่า
มวยทหารของโลกก่อนมีทั้งหมดสามรูปแบบ ในฐานะที่นางเป็หมอทหาร ตอนอยู่ชายแดนย่อมต้องเรียนร่วมกับเ้าหน้าที่ทหาร เมื่อมาอยู่โลกนี้ หมู่บ้านหลี่ไม่มีสนามสำหรับวิ่งและออกกำลังกาย จึงทำได้เพียงฝึกมวยทหารเพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง
ในตอนที่เพิ่งมาถึงหมู่บ้านหลี่ ร่างเดิมนี้อ่อนแอมาก อยู่ที่บ้านหลี่ไม่ได้กินอิ่ม กระทั่งจะเดินจะพูดก็ยังไม่มีแรงแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปรำมวย กระทั่งสองพี่น้องหลี่ซานไปทำงานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยน นางจึงได้พาเหล่าพี่ชายไปทำการค้าเพื่อหาเงิน จากนั้นจึงค่อยมีข้าวกินจนอิ่มและมีแรงฝึกมวย
ร่างกายนี้แข็งแรงกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมากแล้ว ครั้งแรกที่นางทำแป้งย่างต้นหอมหนึ่งร้อยชิ้นนางเหนื่อยจนเ็ปไปทั้งร่าง เผาผลาญเรี่ยวแรงไปก็มากจนแทบสลบ
มิใช่เพียงนางที่เป็เช่นนี้ จ้าวซื่อและเด็กชายบ้านหลี่ทั้งสี่คนต่างก็มีร่างกายแข็งแรงขึ้นมากกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเช่นกัน ที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ ไม่มีอาการตาบอดกลางคืน เวลานั่งเฉยๆ ก็ไม่มีเหงื่อออกมา
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังแ่มา เป็หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคัง
สำนักศึกษาหยุดทุกสิบวัน วันนี้ฝนตก เป็วันหยุดพักผ่อนพอดี
เดิมทีหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังวางแผนไว้ว่า วันนี้จะไปช่วยครอบครัวขายของในเมือง แต่เมื่อฝนตกก็ต้องเปลี่ยนไปทำอาหารเช้าให้คนในครอบครัวแทน
เมื่อหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานตื่นแล้ว ก็ช่วยกันทำงานบ้าน ให้อาหารลาและทำความสะอาดบ้าน
อาหารเช้าวันนี้กินกันอย่างเรียบง่าย มีหมั่นโถวลูกใหญ่ที่ทำจากแป้งขาวผสมแป้งหยาบ และน้ำแกงฟักที่มองเห็นน้ำมันลอยอยู่ในน้ำแกง อาหารเช่นนี้ดีกว่าตอนทำงานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยนมาก และดีกว่าที่คนในหมู่บ้านหลี่กินกันมากทีเดียว
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่หรูอี้ก็ต้มไข่สองฟองเป็อาหารเสริมให้จ้าวซื่อ
“หรูอี้ เ้าก็กินด้วยฟองหนึ่งเถิด” จ้าวซื่อยัดไข่ไก่ที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วใส่ปากหลี่หรูอี้
สองแม่ลูกกินไข่ไก่สองฟองกันอย่างมีความสุข บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเปี่ยมสุข
ยามนี้ฝนตกฟ้าสลัว จ้าวซื่อจึงไม่เย็บผ้า ทำเพียงนั่งในห้องโถงฟังเสียงฝนและเสียงท่องตำราของบุตรชาย ในใจเต็มไปด้วยความสุขสันต์
หลี่หรูอี้นั่งอยู่ข้างกายจ้าวซื่อมองสำรวจเครื่องเรือนที่ผุพังในบ้านอีกครั้ง โต๊ะแปดเซียนสีลอกตัวนั้นมีอายุมากกว่านางเสียอีก ส่วนม้านั่งตัวยาวที่ขาโยกโคลงเคลงก็ไม่ให้ความรู้สึกปลอดภัยแม้แต่น้อย นางกำลังคิดว่า อีกสองสามวันจะหาเงินให้ได้จำนวนหนึ่งเพื่อซื้อเครื่องเรือนใหม่มาเปลี่ยน
หลี่ซานยืนอยู่ใต้ชายคา หรี่ตามองสายฝนที่ตกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน รู้สึกทอดถอนใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ทำการเกษตรก็ต้องดูฟ้าดิน ตอนนี้ทำการค้าก็ยังต้องดูฟ้าดินอีก
หลี่สือที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านเฉกเช่นวันวานก้มตัวกล่าวข้างหูหลี่หรูอี้อย่างร้อนรนว่า “หรูอี้ กลางวันนี้จะกินอะไรหรือ” เขาเป็คนที่มีสติปัญญาต่ำที่สุดในบ้าน วันๆ หนึ่งคิดเพียงเื่กินเท่านั้น
หลี่หรูอี้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอยากกินอะไร” ในบ้านมีผักดอง เครื่องในหมู ไข่ไก่ แป้งขาว น้ำตาล เหล้า และผักในแปลงอีกจำนวนหนึ่ง สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย
เมื่อครู่หลี่สือเห็นพี่สะใภ้และหลานสาวกินไข่ไก่ก็รู้สึกอยากกินจนน้ำลายไหล เขาอยากตอบว่า อยากกินไข่ไก่ แต่รู้ว่าไข่ไก่ราคาแพง ชั่วขณะนั้นจึงไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดี
จ้าวซื่อมองไปยังบุรุษที่มีความคิดไร้เดียงสา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องรอง เ้าอยากแต่งภรรยาหรือไม่”
หลี่สือกรอกตามองฟ้า ดวงตาทอประกายไร้เดียงสา แย้มยิ้มบางเบาก่อนตอบไปว่า “ไม่มีใครอยากแต่งงานกับข้าหรอก” หลายปีมานี้คนในหมู่บ้านด่าเขาต่อหน้าว่าเป็ตัวโง่งม ไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง ชั่วชีวิตนี้คงแต่งภรรยาไม่ได้
จ้าวซื่อเห็นหลี่ซานเดินเข้าไปในห้องโถง จึงกล่าวต่อไป “หากมีคนยอมเป็ภรรยาเ้า เ้าอยากแต่งหรือไม่”
หลี่สือไม่รู้ว่าเมื่อแต่งงานแล้วเท่ากับว่าเขาต้องเป็หัวหน้าครอบครัว ต้องทำงานเลี้ยงดูภรรยา บุตรธิดาและผู้าุโในบ้าน จึงยิ้มจนตาหยีตอบไปว่า “ข้ายินดี”
หลี่ซานเดินมานั่งข้างจ้าวซื่อ กล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “เ้าก้อนหิน ข้ากับพี่สะใภ้จะจัดแจงเื่แต่งงานให้เ้า เ้าแต่งงานแล้วก็ต้องพาภรรยาเ้าย้ายออกไปอยู่กันเอง”
หลี่ซานดูแลหลี่สือจนเติบโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว อีกทั้งยังจัดแจงเื่แต่งงานให้เขาด้วย ดีกว่าพี่ชายแท้ๆ เสียอีก ไม่เลวเลยทีเดียว
ด้วยเหตุที่ว่าคนทั้งสองไม่มีผู้าุโ เมื่อแต่งงานแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้อยู่ด้วยกันอีก ไม่ว่าจะหมู่บ้านตระกูลหลี่ หมู่บ้านหลี่ หรือหมู่บ้านอื่นในระยะหลายร้อยลี้ก็ล้วนมีวัฒนธรรมเช่นนี้เหมือนกัน
“ไม่ ข้าไม่ไป” บนใบหน้าดำคล้ำของหลี่สือไม่มีรอยยิ้มอีกเลย กลายเป็ความกระวนกระวายแทน มือทั้งสองก็ไม่ทราบว่าจะเอาไปวางไว้ที่ใด ดวงตาทั้งคู่ถึงกับมีน้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมา “ท่านพี่ อย่าไล่ข้าไปเลย ข้าไม่อยากไปจากครอบครัว”
หลี่ซานขมวดคิ้วแน่น อธิบายให้ฟังว่า “เ้าแต่งงานแล้วก็ต้องมีครอบครัวเป็ของตนเอง เ้าต้องใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาด้วยตนเอง จะติดตามพวกเราไม่ได้อีก”
จ้าวซื่อกล่าวอย่างเนิบช้า “พวกเราเตรียมเงินไว้ให้เ้าสิบห้าตำลึงแล้ว เอาไว้สร้างบ้านและแต่งงาน…”
“ข้าไม่อยากอยู่ลำพัง ข้าไม่้าภรรยา ข้าอยากอยู่กับท่านพี่” จู่ๆ หลี่สือก็นึกไปถึงเื่เมื่อสิบห้าปีก่อน คนทั้งครอบครัวล้วนตายตกไปตามกันจนหมดสิ้น มีเขารอดชีวิตเพียงคนเดียว ตลอดวันเรียกฟ้าฟ้าไม่ขานรับ เรียกดินดินไม่ตอบกลับ ขณะที่เขาร้องไห้จนแทบขาดใจ หลี่ซานก็ปรากฏตัวขึ้นมาราวกับเทพเซียนเพื่อพาเขาไปด้วย
ั้แ่นั้นมา หลี่สือก็รับรู้โดยสัญชาตญาณว่า มีเพียงติดตามหลี่ซานเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด
หลี่ซานรู้สึกลำบากใจ กล่าวเสียงเข้มว่า “เ้าก้อนหิน เ้าเติบโตเป็ผู้ใหญ่นานแล้ว ไม่อาจติดตามข้าได้อีก เ้าต้องแต่งงานมีบุตรสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไป ทำให้สายเืตระกูลหลี่ของพวกเราแผ่ขยาย”
“ท่านพี่อย่าทิ้งข้า ท่านพี่…” หลี่สือเสียใจและเ็ปยิ่งนัก เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ทัน มือทั้งสองสั่นเทา
สติปัญญาของเขาเท่ากับเด็กอายุสี่ห้าขวบ จู่ๆ ก็ได้ยินว่าครอบครัวจะปล่อยเขาไปใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง จึงคิดว่าครอบครัวจะทอดทิ้งเขา
ความภาคภูมิใจที่ได้จากการทำอาหารในหลายวันมานี้สูญสลายไปจนสิ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา กลับแทนที่ด้วยความหวาดกลัว ความรู้สึกไร้พลัง และความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ท่านอารองอย่าร้องไห้เลยเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้ยืดตัวขึ้นเขย่งปลายเท้ายื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้หลี่สือที่ร้องไห้อย่างสิ้นหวังไร้หนทาง
หลี่สือรู้สึกราวกับเห็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย รีบกุมมือหลี่หรูอี้พลางร้องขอ “หรูอี้ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปจากท่านพี่ ข้าไม่อยากไปจากครอบครัว”
หลี่หรูอี้รู้สึกราวกับถูกมีดกรีดเฉือนหัวใจ เมื่ออยู่ในครอบครัวนี้นางเป็ผู้น้อยไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งเื่ของผู้ใหญ่ ทว่านางไม่อาจทนเห็นหลี่สือร้องไห้และไม่อาจทนเห็นหลี่ซานและจ้าวซื่อโศกเศร้าเสียใจได้จริงๆ “ท่านพ่อท่านแม่เ้าคะ สภาพของท่านอารองค่อนข้างเลวร้าย เขาไม่รู้ว่าอะไรคือการแต่งงานและคลอดบุตร เช่นนั้นก็ช่างเถิด อย่าบีบบังคับเขาเลย”
เด็กชายทั้งสี่ได้ยินเสียงทางด้านนี้จึงเดินเข้ามา เห็นหลี่หรูอี้กำลังขอร้องเื่ที่หลี่สือไม่อยากแต่งงานอยู่พอดี
หลี่ซานส่ายหน้า “หรูอี้ ข้าไม่อาจมองดูอารองของเ้าอยู่เดียวดายไปจนแก่ได้หรอก”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้