สวีเพ่ยหรานสอดกระบี่เข้าไปในฝัก พลางสำรวจร่างของหนีเจียเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดี จึงถามขึ้นว่า “เป็พวกเดียวกับที่ลอบทำร้ายเ้าในวันนั้นหรือ?”
“มิใช่!” หนีเจียเอ๋อร์มองไปยังทิศทางที่บุรุษสวมหน้ากากหนีไป และตอบอย่างมั่นใจ
ชายชุดดำซึ่งพบที่เรือนบนูเา มีฝีมือสูงส่งและเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร น่าจะเป็มือสังหารที่เข่นฆ่าผู้คนมาแล้วมากมาย หรือไม่ก็เป็คนของราชสำนักที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดี
นางหันไปมองรอบๆ ก่อนชำเลืองมองกระบี่ในมือของสวีเพ่ยหรานด้วยความสงสัย ว่าเขาเพิ่งจะฝึกวรยุทธ์ หรือเรียนวิชากระบี่มาตลอดกันแน่ แต่ก็มิได้เอ่ยถามแต่อย่างใด
สวีเพ่ยหรานเห็นความกังขาในแววตาของอีกฝ่าย จึงอธิบายว่า “ข้าฝึกมาได้สองเดือนแล้ว”
พอเห็นว่านางมิได้สนใจแม้แต่น้อย จึงพูดต่อเบาๆ “ข้าหวังว่าจะสามารถปกป้องเ้าได้”
“ปกป้องข้าหรือ?” หนีเจียเอ๋อร์เหลือบตามอง แสดงท่าทีเย้ยหยัน
สวีเพ่ยหรานก้มหน้าลงด้วยความอับอาย แค่เห็นบุรุษสวมหน้ากาก เขาก็ตื่นตระหนกแล้ว เพราะไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าจะสามารถต่อสู้กับคนผู้นั้นได้หรือไม่...
หญิงสาวถามเปลี่ยนเื่ “เหตุใดท่านถึงมาอยู่นี่ได้เล่า?”
พอนึกถึงจดหมาย ดวงตาของนางก็วาววับขึ้นมาทันที “รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่นี่!”
จดหมายฉบับนั้น เป็ลายมือของโจวชิงหวาจริงๆ หรือ?
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเ็าของนาง ใบหน้าของสวีเพ่ยหรานก็ปกคลุมไปด้วยความหม่นหมอง ขณะเอ่ยเสียงแ่ “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าบอกได้หรือไม่ ว่าเหตุใดถึงเกลียดชังข้าเช่นนี้?”
ก็เพราะท่านสังหารข้าอย่างไรเล่า...
แต่หนีเจียเอ๋อร์มิได้พูดประโยคนี้ออกไป เพียงข่มกลั้นความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านขึ้นมา จากนั้น เมื่อนางมองไปยังชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ในสายตาก็ไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ
“ท่านพี่หราน ฝึกกระบี่ต่อไปเถอะ ข้าจะกลับแล้ว”
ท่าทีของนาง ทำให้สวีเพ่ยหรานรู้สึกหนักใจ เขายืนอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะจากไป จึงได้สติขึ้นมา แล้วรีบตามไปทันที
ระหว่างทางเขาพยายามจะชวนคุย แต่ก็ถูกผลักไสอย่างไม่แยแส บรรยากาศจึงกดดันยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้น สวีเพ่ยหรานก็ยังคงดื้อรั้น พานางไปส่งถึงจวนจนได้
เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นายท่านหนีกับเว่ยอี๋เหนียงฟัง จึงได้รับการขอบคุณอย่างล้นหลาม ทั้งยังถูกเชื้อเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารก่อนกลับด้วย
หนีเจียเอ๋อร์ถูกนายท่านหนีบีบบังคับให้มานั่งเป็เพื่อนสวีเพ่ยหราน ดังนั้น ความขุ่นเคืองจึงย้อนกลับไปหาเขาเป็เท่าตัว ความรู้สึกที่นางมีต่อชายหนุ่มในยามนี้ จึงยิ่งลดน้อยถอยลงเข้าไปใหญ่
สวีเพ่ยหรานไม่เคยทำตัวดื้อด้านเช่นนี้มาก่อน แต่เพราะความเฉยชาของนาง ในที่สุด เขาก็ยอมล่าถอยกลับไป
ั้แ่เกิดเหตุ ด้วยความกังวลของเว่ยอี๋เหนียง ที่เกรงว่าบุตรสาวจะประสบอันตรายอีก นางจึงยิ่งเฝ้าดูแลประคบประหงมหนีเจียเอ๋อร์ ทั้งยังออกปากห้าม มิให้นางออกจากจวนตามลำพังโดยเด็ดขาด
หญิงสาวจึงต้องปรับความเข้าใจกับมารดาอยู่พักใหญ่
เว่ยอี๋เหนียงนั่งอยู่หน้ากล่องชา พลางหยิบจอกชากระเบื้องลวดลายประณีตสองใบออกจากถาด ก่อนเทชาลงไป
ไอน้ำลอยกรุ่น ก่อนที่สายลมจะพัดพาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เว่ยอี๋เหนียงยื่นจอกชาสีอำพันให้บุตรสาว
ชาที่ชงมีกลิ่นหอมล้ำเลิศ ทว่ากลับคล้ายจะระคนไปด้วยกลิ่นประหลาดอันไม่อาจอธิบายได้
หนีเจียเอ๋อร์วางจอกชา ก่อนเดินไปหามารดา แล้วทรุดตัวลงนั่ง สูดดมกลิ่นจากกายมารดาอย่างระมัดระวัง “เว่ยอี๋เหนียงใช้เครื่องหอมกลิ่นใดเ้าคะ? หอมยิ่งนัก!”
เว่ยอี๋เหนียงลูบเรือนผมของนางเบาๆ พลางตอบเสียงเรียบ “เป็เครื่องหอมที่สวีซื่อส่งมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่คิดว่ากลิ่นนี้จะติดร่างของข้ามาด้วย”
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้ว แววตาเย็นะเื “ข้าไม่คิดว่านางจะใจดี ถึงขนาดส่งของขวัญมาให้ท่าน สวีซื่อต้องมีเจตนาซุกซ่อนเอาไว้เป็แน่ ทางที่ดีท่านทิ้งไปเสียดีกว่า”
เว่ยอี๋เหนียงพยุงนางขึ้นไปนั่งเคียงข้าง สายตาอ่อนโยนราวกับน้ำมองตรงมาด้วยความรัก ขณะลูบไล้แก้มของบุตรสาว
เมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่หนีเจียเอ๋อร์ได้เผชิญมาจนถึงตอนนี้ ทั้งยังได้เห็นนางาเ็ ใจคนเป็แม่ก็แทบแหลกสลาย แต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้ เพราะไร้กำลังจะช่วยเหลือ จึงได้แต่ร้องไห้อยู่เช่นนั้น
หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกอ่อนใจ พอสบสายตามารดา ย่อมรู้ตัวดีว่าอาจจะถูกตำหนิอีกครั้ง จึงจับมือของนางและยิ้มให้ “ท่านแม่ ข้าสบายดี”
เว่ยอี๋เหนียงยิ้มบางๆ ก่อนพยักหน้า
...
สวีซื่อเริ่มกังวล ด้วยไม่สบโอกาสที่จะสังหารหนีเจียเอ๋อร์อีก
ไม่กี่วันที่ผ่านมา นางมักจะฝันร้ายติดๆ กันตลอดทั้งคืน ว่าถูกหญิงสาวแทงกระบี่เข้าใส่อย่างโเี้ ในความฝัน ตนได้แต่กรีดร้องอย่างขมขื่นและตายไปพร้อมบุตรชายที่อยู่ในท้อง
ทุกครั้ง นางมักจะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาในสภาพเหงื่อท่วมตัวอยู่เสมอ
“นายหญิง ฝันร้ายอีกแล้วหรือเ้าคะ?” หลินมามาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้
สวีซื่อทรุดตัวลงในอ้อมแขนของหลินมามา พลางหลับตา และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นก็เป็ประกายวาววับราวกับคมมีด
“หลินมามา... ช่วยข้าหน่อย”
สาวใช้คนสนิทก้มศีรษะลง เงี่ยหูเข้ามาใกล้
พอได้ยิน ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แต่ก็มิได้ห้ามปราม รีบออกไปทำตามคำสั่งทันที
หลินมามาเดินไปที่เรือนหน้าอย่างระมัดระวัง เคาะประตูไม้สามครั้ง ไม่นานแสงไฟก็สว่างขึ้น คนในเรือนออกมาเปิดประตูให้ แล้วนางก็ถ่ายทอดคำสั่งทั้งหมดไปยังคนผู้นั้น
แล้วค่ำคืนนั้น ก็มีคนโยนถุงกระดาษสีเหลือง เข้ามาทางหน้าต่างห้องของหลินมามา
...
รุ่งขึ้น ท้องฟ้าสว่างไสว พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วเมือง
เสี่ยวเสวียนถูกเรียกตัวไปที่เรือนของสวีซื่อ “คารวะฮูหยิน!”
สตรีที่อยู่ตรงข้ามแสยะยิ้ม ดูน่ากลัวยิ่งนัก “เสี่ยวเสวียน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเรียกเ้ามาที่นี่?”
เมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่าย เหงื่อเย็นๆ ก็ผุดพรายมาตามไรผมของเสี่ยวเสวียน แผ่นหลังของนางเย็นวาบ ก่อนส่ายศีรษะ “บ่าวไม่ทราบเ้าค่ะ!”
หลินมามายิ้มเหี้ยม ปรบมือสองครั้ง แล้วกล่าวว่า “นำตัวมันออกมา”
“พี่สาว” เสียงเล็กๆ อันสั่นสะท้านด้วยความกลัวดังขึ้น
พอเสี่ยวเสวียนเห็นน้องชายโดนนายหญิงใหญ่จับตัวมา ก็รีบถลันเข้าไปหา ทว่าถูกหลินมามาขวางเอาไว้ “ทำตามคำสั่งของนายหญิงเสีย ถ้าทำได้ น้องชายของเ้าจะปลอดภัย แต่หากกล้าทรยศ น้องชายของเ้าคง...”
นางมิได้พูดต่อ แต่กลับใช้มือทำท่าบาดคอแทน
เสี่ยวเสวียนถึงกับขาอ่อนไร้เรี่ยวแรง หญิงสาวคุกเข่าลงด้วยน้ำตาคลอเบ้า “นายหญิงโปรดเมตตาด้วย! น้องชายของข้าเพิ่งจะแปดขวบ เขายังเด็กนัก”
สวีซื่อลูบหน้าท้องด้านล่าง ก่อนกล่าวเบาๆ “ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือเ้า จะเป็หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับคำตอบของเ้า”
ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองหลินมามา
หลินมามาโบกมือ ส่งสัญญาณให้บ่าวทั้งสองปิดปากน้องชายของเสี่ยวเสวียน แล้วนางก็หยิบถุงกระดาษสีเหลืองออกมา “นี่คือชะมดเชียง[1] ซึ่งส่งผลให้แท้งได้ เ้าจงนำมันไปซ่อนไว้ที่ตู้เสื้อผ้าของคุณหนูรอง พอเกิดเื่ เ้าต้องบอกนายท่านว่าคุณหนูคิดจะสังหารบุตรในครรภ์นายหญิง มิฉะนั้น น้องชายของเ้าคงยากที่จะเห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้!”
เสี่ยวเสวียนตัวสั่นระริก ในใจเกิดความคิดสองฝั่งที่ต่อสู้กันอย่างหนัก แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะช่วยน้องชายตัวเอง หญิงสาวจึงซ่อนถุงยาเอาไว้ในแขนเสื้อ ก่อนเดินออกจากเรือนของสวีซื่อด้วยความละอายใจ
-------------------------------------------
[1] ชะมดเชียง หรือ เซ่อเซียง (麝香) เป็หนึ่งในสมุนไพรที่ปรากฏในตำรายาแผนโบราณ มีสรรพคุณสูง แต่ค่อนข้างหายาก จึงมีราคาแพง
ชะมดเชียงมีสีขาว ลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง ได้จากต่อมกลิ่นของกวางชะมดตัวผู้ ที่อยู่ระหว่างสะดือกับอวัยวะสืบพันธุ์ มีกลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย ใช้แก้โรคลม โรคตา โรคเกี่ยวกับโลหิตและเส้นประสาท ไอหอบหืด เป็ยาเร่งในโรคไข้รากสาดน้อย ปอดบวม หลอดลมอักเสบ นอกจากนี้ ยังใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องหอมต่างๆ อีกด้วย
กวางชะมด เป็สัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็กในวงศ์เดียวกับกวาง ลำตัวสั้นป้อม สีน้ำตาลแดง หูตั้ง หางสั้น มีแถบยาวสีขาวสองแถบ ขนานไปตามความยาวของลำคอ ที่ตะโพกและหลัง่ท้ายมีจุดสีขาว ไม่มีเขา ตัวผู้มีเขี้ยวบนยาวประมาณเจ็ดเิเโผล่ออกมาเห็นได้ชัด อาศัยอยู่ตามป่าบนูเาสูงในประเทศจีนและเนปาล ออกหากินตามลำพังเวลาเช้ามืดหรือพลบค่ำ
หมายเหตุ: ผู้คนมักจะเข้าใจสับสน ระหว่างชะมดเชียงกับชะมดเช็ด เพราะนอกจากจะมีชื่อที่คล้ายกันแล้ว ยังมีสรรพคุณคล้ายคลึงกันอีกด้วย กล่าวคือ ชะมดเช็ดจะใช้ในการแก้ลม วิงเวียนศีรษะ โลหิตพิการ หืด ไอแบบมีเสมหะแห้ง บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น จึงใช้เป็ส่วนผสมสำคัญในการทำยาหอม มีรสหอมเย็น ติดคาวเล็กน้อย
ชะมดเช็ดเป็น้ำมันสีน้ำตาล ที่ได้จากต่อมกลิ่นใกล้เครื่องเพศของตัวชะมด ซึ่งมักจะไปเช็ดไว้ตามที่ต่างๆ เช่น ต้นไม้ ซี่กรง โดยน้ำมันนี้จะนำไปใช้เป็ตัวยาทันทีไม่ได้ เพราะมีกลิ่นคาวมาก ต้องนำไปผสมกับเครื่องหอมอื่นๆ เพื่อดับกลิ่นคาวเสียก่อน
ชะมดเช็ดมีราคาถูกกว่าชะมดเชียง เพราะชะมดเป็สัตว์ในวงศ์เดียวกับอีเห็นและพังพอน ซึ่งพบเห็นได้ง่ายกว่ากวางชะมดนั่นเอง
และเนื่องจากชะมดเชียงกับชะมดเช็ด มีสรรพคุณช่วยเสริมการไหลเวียนของโลหิตนี่เอง จึงอาจส่งผลต่อสตรีมีครรภ์ ทำให้เกิดการแท้งบุตรได้
ในสมัยโบราณ ยังมีการนำเครื่องหอมที่มีส่วนผสมของชะมดเช็ดหรือชะมดเชียง มาใช้ในการคุมกำเนิดกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในรั้วในวัง หอโคมเขียวต่างๆ จวนขุนนาง และเรือนคหบดี ซึ่งมีสามภรรยาสี่อนุ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้