ม้าโลหิตได้วิ่งไปตามถนนอันเก่าแก่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ขณะนั้นม้าโลหิตทั้งสองตัวและพวกทหารที่อยู่ข้างหลัง เริ่มชะลอความเร็วลง
หลินเฟิงมองยังสองข้างทางของถนนอันเก่าแก่ และเห็นควันสีขาวลอยขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง บริเวณรอบๆ ถนนอันเก่าแก่นี้ ได้มีหมู่บ้านขนาดกลาง และหลายวันที่ผ่านมาพวกเขาก็ได้เดินทางมาตลอดจึงมาหยุดที่หมู่บ้านแห่งนี้
ในทวีปเก้า์ผู้ที่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพนับถือ แต่ยังมีสามัญชนจำนวนมากที่ไม่มีจิติญญานักรบ และไม่มีพร์ทางทักษะยุทธ์เลย
“หลินเฟิง ที่นั่นก็คือเมืองต้วนเริ่น”
หลิ่วชั่งหลันะโเรียกหลินเฟิง และชี้ไปยังเมืองต้วนเริ่น
เมืองต้วนเริ่น กองทัพต้วนเริ่น และประชากรของต้วนเริ่น!
“ในที่สุดก็ถึงแล้ว”
หลินเฟิงเข้าใกล้เมืองขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะอาศัยความเร็วของม้าโลหิต แต่พวกเขายังต้องใช้เวลาไปถึงหกวัน และเพิ่งจะมาถึงเมืองต้วนเริ่นที่อยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรเสวี่ยเยว่
“ถนนเส้นนี้ช่างกว้างขวางเสียจริง พื้นที่ไม่เรียบแถมยังหลุมบ่อตามทาง ถ้าหากศัตรูมาโจมตีเมืองต้วนเริ่น ก็จะสามารถโจมตีได้อย่างง่ายดาย และถนนก็จะนองไปด้วยเืสีแดงฉาน”
หลินเฟิงมองไปที่หลิ่วชั่งหลันขณะกล่าว ถ้าหากเมืองต้วนเริ่นถูกโจมตี แล้วยังถนนเส้นนี้ที่กว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของหมู่บ้าน เกรงว่าจะถูกเหยียบย่ำในพริบตาเดียว
“แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจมัน”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส แต่กลับทำให้หลินเฟิงรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่างกาย
พวกเขาไม่มีใครสนใจ?
และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นเป็แค่สามัญชนธรรมดา ถ้าเมืองถูกโจมตีและมีการสังหารหมู่ ก็จะถูกสังหารอย่างง่ายดาย
“หลินเฟิง เ้าอาจจะรู้ อาณาจักรเสวี่ยเยว่ของพวกเรานั้นตั้งอยู่ในสถานที่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน?”
“ข้าไม่รู้” หลินเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย
“ทวีปเก้า์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีทั้งจักรวรรดิและอาณาจักร ซึ่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่ตั้งอยู่ในอาณาเขตหิมะ” หลิ่วชั่งหลันกล่าวกับหลินเฟิงอย่างช้าๆ จากนั้นได้กล่าวต่อว่า “อาณาเขตหิมะ มีอาณาจักรทั้งหมด 13 อาณาจักร ซึ่งจะแบ่งออกเป็ 4 จักรวรรดิ 9 อาณาจักร และในแต่ละอาณาจักรล้วนมีนิกายอยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่ของพวกเราก็เป็ 1 ใน 9 อาณาจักรนั้น และยังถือว่าเป็อาณาจักรระดับล่าง”
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ มีครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินผู้คนพูดถึงอาณาเขตหิมะทั้งสิบสามอาณาจักร และอาณาจักรเสวี่ยเยว่แม้อยู่ในอาณาเขตหิมะที่กว้างใหญ่ไพศาลก็ไม่รู้ว่าอาณาเขตพวกนั้นอยู่ตรงไหนของทวีป
“ทั้งเก้าอาณาจักรนั้นล้วนเชื่อมต่อกัน อาณาจักรเสวี่ยเยว่เองก็เช่นกัน และอาณาจักรเทียนเฟิงก็อยู่ติดกับจักรวรรดิหลงซาน ส่วนอาณาจักรอื่นๆ ต่างมีความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง เช่นเมืองต้วนเริ่นที่อยู่อีกฟากของอาณาจักรโม่เยว่ และจักรวรรดิทั้งสี่ไม่ได้มาแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างพวกเรา แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใน่เวลาความเป็ความตาย พวกเขาก็ไม่จำเป็ต้องใส่ใจกับมัน นอกจากนี้กฎแห่งธรรมชาติที่ซึ่งผู้เข้มแข็งที่สุดจึงจะอยู่รอด และนี่คือกฎของผู้ฝึกยุทธ์ในแผ่นดินใหญ่”
“อย่างไรก็ตาม ทุกสิบปี ทั้งสี่จักรวรรดิจะเลือกคนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพร์เข้าร่วมการประลองยุทธ์ของอาณาเขตหิมะ และนี่ถือว่าเป็การประลองที่รวมตัวคนรุ่นเยาว์อัจฉริยะทั้งสิบสามอาณาจักร ว่ากันว่าผู้ชนะจะได้รับผลประโยชน์มากมาย แม้กระทั่งสามารถไปยังสถานที่ลึกลับได้เพื่อบ่มเพาะพลัง นอกจากนี้ถ้าทั้งสี่จักรวรรดิได้เลือกผู้ที่มีความสามารถจากอาณาจักรที่อยู่ติดกันก็นับว่าเป็ความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก”
“การประลองยุทธ์ของอาณาเขตหิมะ เพื่อสถานที่ลับสำหรับฝึกฝน!”
หลินเฟิงขมวดคิ้ว คุณชายลั่วเสวี่ยและคุณชายต้าเผิงได้เข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเื่นี้หรือไม่?
“มันเป็เพราะการประลองยุทธ์ อาณาจักรทั้งเก้าจึงต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง พวกเขาต่าง้าเผาผลาญพละกำลังของอีกฝ่ายให้หมดไป แม้กระทั่งทำลายอาณาจักรของอีกฝ่าย จากนั้นก็ค่อยเข้าไปควบคุมแทน พวกเขาไม่เพียงแต่ขยายอาณาเขตเท่านั้น แต่เหล่าศิษย์ที่โดดเด่นก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน หรือบางทีจักรพรรดิของทั้งเก้าอาณาจักรต่างคาดหวังว่าวันหนึ่ง อาณาจักรของพวกเขาจะกลายเป็หนึ่งในจักรวรรดิ”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง”
หลินเฟิงไม่เคยคิดเลยว่า การประลองยุทธ์ของอาณาเขตหิมะจะส่งผลกระทบไปถึงการต่อสู้ระหว่างอาณาจักร
“ตอนนี้เ้าน่าจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำลายนิกายหยุนไห่ นอกจากนี้ยังมีการทำลายนิกายอื่นๆ อีก และผู้ที่มีความสามารถที่โดดเด่นจะรวมตัวอยู่ที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวขณะมองไปยังหลินเฟิงที่กำลังพยักหน้าเล็กน้อย ที่วันสถาปนาของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่เกิดขึ้นมา นั่นเป็เพราะพวกเขา้าผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเพิ่มขึ้นอีก
“พวกเขา้าสังหารข้า เพราะข้ามีอิทธิพลต่อกองทัพอย่างมาก พวกเขา้าควบคุมกองทัพของข้า และไปทำลายนิกายหยุนไห่ เพื่อทำให้อำนาจของอาณาจักรเสวี่ยเยว่รวมเป็หนึ่ง ถ้าหากนิกายอื่นๆ ไม่มีการประนีประนอมก็จะถูกทำลายเช่นเดียวกับนิกายหยุนไห่ นิกายหยุนไห่จึงกลายเป็เหยื่อของพวกเขาและยังเป็การเตือนไปยังนิกายอื่นๆ อีกด้วย”
หลิ่วชั่งหลันถอนหายใจ แต่ในใจของหลินเฟิงกลับเยือกเย็นยิ่งขึ้น พวกเขาทุกคนต่างพูดว่านี่เป็การยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“ท่านแม่ทัพ ลงจากอานม้าและดื่มน้ำกันสักหน่อยเถิด”
แต่ในขณะนั้น มีคนจากหมู่บ้านสองคนได้เดินผ่านมา และผู้หญิงหนึ่งในนั้นได้ะโเรียกหลิ่วชั่งหลัน
“ท่านแม่ทัพ ผมของท่าน...”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการ ไม่สามารถหยุดพักได้หรอกนะ” หลิ่วชั่งหลันกล่าวขณะยิ้มให้กับผู้หญิงแล้วควบม้าวิ่งต่อไป แต่ในขณะนั้นได้มีชาวบ้านจำนวนมากมายเดินออกมาจากบ้าน และยืนเต็มสองข้างถนนมองไปที่หลิ่วชั่งหลันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
เมื่อสมัยโบราณ ผู้คนต่างหวาดกลัวพวกทหาร และการที่พวกทหารไม่ไปรบกวนชาวบ้านซึ่งถือว่าเป็สิ่งที่ดี และหลิ่วชั่งหลันก็เป็หนึ่งในนั้นที่ไปไม่รบกวน ชาวบ้านจึงเคารพนับถือเขาเป็อย่างมาก
แต่ช่างน่าเสียดายผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในโลกนี้เสียจริง ถ้าเป็ในโลกก่อนล่ะก็ หลินเฟิงจะไม่มีข้อสงสัยเลยสักนิด ว่าถ้าหลิ่วชั่งหลันเป็ผู้นำกองทัพจะสามารถทำให้อาณาจักรต้องสั่นคลอนได้ขนาดไหน
หลังจากนั้นไม่นาน เมืองเล็กๆ ที่สูงตระหง่านได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของหลินเฟิง
“ท่านแม่ทัพ ท่านกลับมาแล้ว”
“เร็วเข้า รีบเปิดประตูเร็ว”
เมื่อผู้คนมากมายเห็นหลิ่วชั่งหลัน พวกเขาต่างเผยให้สีหน้ายินดีออกมา หลังจากนั้นทหารที่เฝ้ายามอยู่บนกำแพง ก็ได้ดึงเชือกเพื่อเปิดประตู
“ท่านแม่ทัพ!”
ฝูงชนต่างะโเรียก แววตาของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นดีใจ และข่าวที่นิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายลงก็แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ หลังจากที่พวกเขาได้รู้ว่าท่านแม่ทัพเดินทางไปยังเมืองหลวง พวกเขาจึงรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าคราวนี้จะเกิดอุบัติเหตุ แต่โชคดีที่แม่ทัพของพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย
เมื่อหลิ่วชั่งหลันเห็นผู้คนเหล่านี้แล้ว เขาก็หายใจเข้าลึกๆ แววตาของเขาตอนนี้ไม่สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ได้ คนเหล่านี้ล้วนเป็คนของเขาและต่างฝากชีวิตไว้กับเขา
“ข้ากลับมาแล้ว” หลิ่วชั่งหลันพูดออกมาไม่กี่คำ จากนั้นได้ควบม้าเข้าไปในเมืองอย่างรวดเร็ว จึงเกิดเสียงลมปะทะอย่างต่อเนื่อง
ส่วนหลินเฟิงก็ควบม้าโลหิตวิ่งตามไปข้างหลังหลิ่วชั่งหลันอย่างใกล้ชิด
เมืองนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่และยังติดกับอาณาจักรเสวี่ยเยว่ หลิ่วชั่งหลันจึงอาศัยอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ประตูเมืองที่อยู่ด้านข้างก็ยังเป็ประตูเมืองที่เปิดไปสู่สนามรบ
ขณะที่หลิ่วชั่งหลันยังไปไม่ถึง ก็ได้มีร่างเงาชุดสีแดงเพลิงกำลังควบม้ามา
“ท่านพ่อ!”
ั์ตาของหลิ่วเฟยเป็สีแดงก่ำและมีร่องรอยคราบน้ำตา นอกจากนี้เหล่าทหารต่างไม่รู้ว่าหลิ่วชั่งหลันไปไหนมาและทำอะไร นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ในหลายวันนั้นนางไม่ได้ออกไปไหนเลย
เมื่อนางได้ยินข่าวการกลับมาของหลิ่วชั่งหลัน นางจึงรีบมาในทันทีและวันนี้นางได้เห็นท่านพ่อ แล้วหลิ่วเฟยจะไม่ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร
“เฟยเฟย”
แววตาของหลิ่วชั่งหลันเผยให้เห็นถึงร่องรอยความละอายใจเล็กน้อย
หลิ่วเฟยมองไปยังหลิ่วชั่งหลัน จึงเงียบไปสักครู่ ทันใดนั้นนางก็ะโออกมา “หลิ่วชั่งหลัน ท่านมันบ้าเกินไปแล้ว!”
“เอ๊ะ!”
หลินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังต้องตกตะลึง ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่มีความอ่อนโยนเอาเสียเลย!
แต่รอยยิ้มที่มุมปากของหลิ่วชั่งหลันกลับดูลึกล้ำมากขึ้น เป็เพียงรอยยิ้มอันขมขื่น แน่นอนว่าเขาก็เป็คนโง่คนหนึ่งเท่านั้น
“เอาล่ะ เฟยเฟย ข้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วมิใช่หรือ?”
“ท่านอาจรู้สึกมีความสุข แต่ข้าไม่” หลิ่วเฟยจ้องเขม็งไปที่หลิ่วชั่งหลัน จากนั้นควบม้าไปข้างๆ หลิ่วชั่งหลันแล้วกระซิบว่า “ท่านพ่อ หลังจากนี้แล้วท่านจะต้องไม่ทำสิ่งนี้อีกเข้าใจไหม”
“ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” หลิ่วชั่งหลันส่ายหน้า จากนั้นชี้ไปทางหลินเฟิงที่อยู่ข้างๆ “เฟยเฟย เ้าควรต้องขอบคุณเขา เพราะเขาเป็คนที่ช่วยพ่อของเ้าเอาไว้”
“หืม?” หลิ่วเฟยมองไปที่หลินเฟิง เสื้อคลุมนั่นถูกย้อมด้วยสีของฝุ่นละออง และมันยังเต็มไปด้วยเศษฝุ่น มิหนำซ้ำใบหน้าอัปลักษณ์สีน้ำตาลเข้มนั่นก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ลึกลับ
“ท่านพ่อ เขาคือใครกัน?” แววตาของหลิ่วเฟยเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะนั้นหลิ่วชั่งหลันก็ได้หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “เฟยเฟย เ้าดูไม่ออกหรอกหรือ?”
หลิ่วเฟยมึนงงอีกครั้ง ดูไม่ออกงั้นหรือ? หรือนางอาจจะรู้ว่าใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีทองสัมฤทธิ์คือใคร?
หลินเฟิงหัวเราะขณะจับไปที่หน้ากาก และกล่าวออกมา
“อะไร? เ้าจำแม้กระทั่งคนรักของตัวเองไม่ได้!”
เมื่อหลินเฟิงพูดจบจึงถอดหน้ากากทองสัมฤทธิ์ออก หลิ่วเฟยจึงเห็นใบหน้าที่สวยงดงามและสะอาดสะอ้าน ขณะนั้นนางก็ได้ยิ้มออกมา มันเป็รอยยิ้มที่ตื้นเขิน!