“พ่อมั่นใจได้เลยว่า มีมากพอที่ครอบครัวของเราจะกินได้”
นางยังไม่ได้ออกจากบ้าน และอยู่กินเป็เพื่อนหลิวซานกุ้ยจนอิ่ม ได้ยินหลิวชิวเซียงเรียกให้กินข้าวจาก้าบ้าน
หลิวซานกุ้ยเหลือบมองหลิวเต้าเซียงที่พูดอย่างมีความสุขว่า “พ่อ รีบทําความสะอาดเร็วเข้า ถ้าย่ารู้เข้า บ้านเราคงไม่มีทางหลุดพ้นมลทินแน่นอน”
ทั้งสองคนกลบ ‘หลักฐาน’ ทั้งหมดเงียบๆ ราวกับโจร
หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบว่าไม่มีการทิ้งร่องรอยใดๆ นางจึงอุ้มเด็กทารกตัวหอมขึ้นมาแล้วค่อยๆ เดินขึ้นตัวบ้าน
เหตุใดนางจึงเป็คนอุ้มน่ะหรือ? หลิวต้าฟู่ไม่อนุญาตให้หลิวซานกุ้ยอุ้ม เพราะอำเภอถู่หนิวนั้นมีธรรมเนียมอุ้มหลานไม่อุ้มบุตร
หลิวเต้าเซียงเห็นครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยปรากฏตัวในบ้านใหญ่อย่างไม่คาดคิด ไหนบอกว่าฟ้ายังไม่สางก็จะกลับเข้าไปในตำบลไม่ใช่หรือ?
“แม่ เดิมทีลูก้ากลับเข้าตำบลเร็วหน่อย เพียงแต่คิดว่าในเมื่อกลับมาแล้ว ก็อยากใช้เวลาอยู่กับแม่ให้มาก จึงอยู่รอกินข้าวเช้า แล้วกลับไปก่อนเที่ยง มิเช่นนั้นทางเถ้าแก่คงไม่พอใจ”
หลิวฉีซื่อพอใจมากกับความตั้งใจเล็กๆ น้อยๆ ของหลิวเหรินกุ้ย พยักหน้าและกล่าวว่า “อืม สมควรแล้ว รับเงินจากผู้อื่น ก็ต้องทำงานให้ดี ยังมีอีกเื่ ให้ลูกกับสะใภ้ของเ้าอยู่ต่ออีกไม่กี่วันสิ”
คิ้วของหลิวซุนซื่อขมวดขึ้น ร่องรอยของความไม่พอใจฉายออกมาที่แววตา แล้วนึกบ่นในใจ นางเฒ่าตัวดีจะมาไม้ไหนอีก
ขณะที่นางกําลังจะอ้าปากปฏิเสธ หลิวเหรินกุ้ยก็ยิ้มและตอบว่า “เพราะลูกต้องทําสิ่งต่างๆ จึงไม่สามารถทำหน้าที่ลูกที่กตัญญูได้ แต่จะให้ลูกๆ กับซุนซื่ออยู่ต่อย่อมเป็การสมควร เพียงแต่อาจารย์ของจือเอ๋อร์นั้นเข้มงวดกับผลการเรียนของเขามาก เป่าเอ๋อร์เองก็เพิ่งเข้าเรียน เกรงว่าคงไม่เหมาะสมหากปล่อยให้เขามัวแต่เล่น”
หลิวฉีซื่อชักสีหน้า “นี่อะไร กระทั่งคำพูดของแม่ก็ไม่มีประโยชน์หรือ?”
นางจําได้ว่าหลิวซุนซื่อคนขี้คร้านสนใจแต่เื่กิน เมื่อนึกได้จึงเอ่ยต่อ “ต่อไปหากพวกเ้า้าเสบียง รอให้สีเสร็จแล้วค่อยลากไปที่ตำบล”
“แม่ ลูกก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้พวกนางอยู่ต่อ เพียงแต่อย่างมากก็คงได้สองสามวัน คงพอลากับอาจารย์ได้ หากยาวนานกว่านั้น เกรงว่าอาจารย์จะไม่พอใจ ถึงตอนนั้น หากอาจารย์ไม่ชอบใจ จะสั่งสอนจือเอ๋อร์ด้วยความเต็มใจได้อย่างไร”
หลิวเหรินกุ้ยได้เห็นผู้คนมากมายที่เดินทางมาจากทางใต้ไปทางทิศเหนือ และฝีปากนี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนานจนสามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ น้ำเสียงท่าทางนี้ ความโมโหในใจของหลิวฉีซื่อเองก็หายไปหมดสิ้น เพียงแต่ยังนึกถึงเื่ที่ต้องสั่งสอนหลิวซุนซื่อ
“ใช่ๆๆ แม่พูดได้ถูก ปากของซุนซื่อเองก็โง่เขลา เอาใจแม่ไม่เป็ คราวก่อนนางกลับบ้าน ลูกก็ตำหนินางไปอย่างหนัก แม่ ท่านก็คลายความโมโหได้แล้ว” ขณะที่หลิวเหรินกุ้ยพูดก็แอบขยิบตามองหลิวซุนซื่อ
หลิวซุนซื่อรีบเค้นรอยยิ้มออกมาตอบรับ “นั่นสิ แม่ เหรินกุ้ยด่าข้าหนักมาก สะใภ้เองก็รู้สำนึกแล้ว ใช่แล้ว แม่ หากมีเวลาว่างแม่จะเข้าเมืองหลวงใช่หรือไม่? สะใภ้ได้ยินมาตอนเช้า กำลังคิดว่าแม่กับอาเล็กจะเข้าเมือง ผ้าที่ใช้ตัดชุดมีแล้ว แต่น่าจะยังขาดแคลนรองเท้าปักสวยๆ สักสองคู่ใช่หรือไม่? สะใภ้คิดอยู่ว่า รอกลับไปที่ตำบล จะไปปรนนิบัติถามไถ่จากเถ้าแก่เนี้ย จะได้ขอแบบสวยงามของเมืองหลวงมา แล้วปักให้กับแม่และอาเล็ก ถึงตอนนั้นแม่กับอาเล็กก็จะได้สวมไปเมืองหลวงพอดี”
คำพูดนี้สะกิดเข้าที่หัวใจของหลิวฉีซื่อ แม้ว่าบุตรชายจะโตจนสามสิบปีแล้ว แต่ตัวของนางเองแต่งงานมาเป็สะใภ้ขาเปื้อนโคลน นี่คือหนามที่ทิ่มแทงใจมาตลอด ยากที่จะสงบได้
“เอาเถิด ฝีมือปักที่หละหลวมของเ้า ไหนเลยจะสู้ฝีมือของข้ากับอาเล็กได้” หลิวฉีซื่อภูมิใจเป็ที่สุดกับฝีมือการปักที่เก่งกาจ ตอนนั้น กระทั่งหวงฮูหยินก็พอใจยิ่งนัก
“ใช่ๆๆ การปักเย็บของสะใภ้นั้นช่างน่าอับอาย เห็นผ้าเช็ดหน้าที่อาเล็กใช้แล้ว เทียบกับครั้งก่อนเหมือนว่าจะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย แม่ อาเล็กผ่านการฝึกฝนร่ำเรียนมานับว่าไปได้ไกลทีเดียว”
หลิวซุนซื่อใช่ว่าจะเย็บปักไม่เป็ หลิวฉีซื่อเองก็เคยสั่งให้นางเย็บหลายหน แต่ทุกครั้งที่ปักก็ออกมาหลวมทั้งนั้น เสื้อผ้าที่เย็บออกมาเมื่อสวมใส่ กระชากแรงหน่อยก็หลุดออกราวกับกระดาษ
ในตอนแรกหลิวซุนซื่อถูกดุไม่น้อย พอโดนมากเข้านางก็เถียงกลับ “หรือไม่ แม่ก็สอนข้าเถิด สะใภ้เรียนรู้แล้ว จะได้ช่วยงานเย็บปักในบ้านบ้าง”
หลิวฉีซื่อไม่เต็มใจ หากมีเวลาสอนคนที่ขี้คร้านเก่งแต่กินเช่นนี้ สู้ไปสอนตามบ้านที่เขาส่งคำเชิญดีกว่า ทั้งยังหาเงินได้และงานสบาย อีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีใครมาแข่งขันเื่ขายงานปักกับนางได้
กล่าวได้ว่าหลิวฉีซื่อค่อนข้างมีหัวด้านการค้าขาย รู้ว่าการสอนคนยากจนอาจจะทำให้คนรวยอย่างนางต้องอดอยาก
โดยปกติแล้วหลิวต้าฟู่ไม่ค่อยชอบฟังผู้หญิงถกกันเื่เหล่านี้ เมื่อเห็นชิวเซียงกับเต้าเซียงยกกับข้าวมา ก็หยิบตะเกียบบนโต๊ะแล้วเคาะสองที “กินข้าว”
หลิวซานกุ้ยเคยรู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ความสามารถ มีบุตรสาวสามคน ดังนั้นจึงทำงานให้มาก กินให้น้อยเป็เื่สมควร
แต่เช้านี้โจ๊กสองชามใหญ่ที่ทั้งนุ่มและหอมไหลลงท้อง แล้วมากินข้าวต้มมันเทศ จนเริ่มรู้สึกจุก
แล้วมองอย่างเงียบๆ ในชามของบุตรสาวสองคนกับภรรยานั้น นั่นใช่โจ๊กที่ไหน เห็นเพียงน้ำแกงใสๆ ที่สะท้อนเงาคนได้แล้ว พอมองไปที่หลิวจือไฉ่กับหลิวจือเป่า เห็นแต่โจ๊กข้าวขาวเม็ดโตๆ
มีโจ๊กข้าวนี้เพียงห้าชุด สำหรับเด็กสองคนนี้ และที่เหลือเป็ส่วนของหลิวต้าฟู่กับหลิวเหรินกุ้ย รวมถึงตัวหลิวฉีซื่อเอง
ในฐานะของสะใภ้ หลิวฉีซื่อมองว่าเป็ลูกของบ้านอื่นไม่ใช่ลูกแท้ๆ หลิวซุนซื่อเอาตะเกียบคนข้าวต้มในชาม พลันอยากหาข้ออ้างกลับไปแอบกินของว่างในห้อง แต่หลิวจูเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กลับทนไม่ไหวแล้วโยนตะเกียบ “แม่ ข้ากินไม่ลง ข้าอยากกินซาลาเปาไส้เนื้อ”
หลิวจือเป่ายังเด็กอยู่ และเมื่อได้ยินถ้อยคํานั้น เขาก็ผลักชาม “ใครอยากกินแบบนี้ แม่ เราไปกินบ้านยายเถอะ ยายบอกว่า หากครั้งหน้าข้าไป นางจะทำเนื้อตุ๋นหอมๆ ให้ข้า”
หลิวเหรินกุ้ยเห็นว่าใบหน้าของพ่อแม่ดูไม่ดี จึงรีบยื่นมือไปตบหลังของหลิวจือเป่าแล้วด่า “เ้าคิดว่าอยู่ในตำบลหรือ ที่เถ้าแก่มีความสุขแล้วจะเพิ่มกับข้าวให้เ้าสักสองอย่าง?”
เขายิ้มและพูดกับหลิวฉีซื่อว่า “แม่อย่าโกรธเลย ที่เถ้าแก่ให้มา ล้วนเป็ของที่แเื่สั่งแล้วไม่ค่อยกิน แต่หากเททิ้งก็สิ้นเปลือง จึงให้ลูกเอากลับบ้าน”
หลิวเต้าเซียงแอบยักคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคําและเหตุผลที่เหมาะสม
เมื่อหันมองย้อนกลับไปและเห็นพ่อผู้แสนดีขมวดคิ้วจ้องชามในมือ มนุษย์จิ๋วในใจของนางกำลังโบกผ้าเช็ดหน้าร้องเพลง มือคีย์บอร์ด์ไม่ได้รังแกนาง จริงตามคาด ไร้ซึ่งการเปรียบเทียบย่อมไม่เกิดการทำร้าย
สำหรับเื่ของการเบี่ยงเบนความคิดพ่อผู้แสนดี หลิวเต้าเซียงนั้นตั้งใจอย่างมาก
หลิวชิวเซียงได้สัญญาณจากน้องรองของตน จึงวางชามลงบนโต๊ะ “เ้าเป่าอ้วน ไม่กินจริงหรือ?”
“ใครจะไปกิน เนื้อก็ไม่มี ไก่ปลาก็ไม่มี กินยากจะตาย?” หลิวจือเป่ายังเป็เด็กไม่ประสีประสา จิตใจจึงไม่อ้อมค้อม
หลิวชิวเซียงนั่งข้างเขาแล้วถามซ้ำ “ไม่กินจริงหรือ?”
“ไม่กิน ข้าไม่กิน ใครใคร่กินก็กิน” พูดจบ เขาก็ลงจากโต๊ะ แล้ววิ่งไปทางห้องปีกตะวันออก
ไม่ต้องคิดก็รู้ ในห้องต้องมีของที่เขาชอบกินซ่อนอยู่เป็แน่
หลิวชิวเซียงเพิกเฉย เมื่อเห็นเขาวิ่งหนี ก็รีบนําชามโจ๊กขาวมาที่หน้าของหลิวซานกุ้ยแล้วเอ่ยว่า “พ่อ กินสิ เดี๋ยวต้องไปทำนาอีก หากไม่กินให้อิ่มเดี๋ยวไม่มีแรง ไม่มีแรงก็ไม่อาจทำนาได้ดี งานนาทำได้ไม่ดี จะส่งผลต่อเื่การเก็บเกี่ยว”
“พ่อ พี่ใหญ่พูดถูก พ่อกินเร็วเข้า” อย่างไรก็ตาม หลิวเต้าเซียงแอบกินจนอิ่มแล้ว ทว่านางไม่ถือสาที่จะให้หลิวซานกุ้ยกินอีกหนึ่งถ้วย
จากนั้นหันหลังกลับและยิ้มให้หลิวเหรินกุ้ยว่า “ลุงรอง เราไม่ได้พูดผิดใช่หรือไม่ คนทั้งบ้านยังรอให้พ่อทำนาให้ดี มิเช่นนั้น จะไปมีเสบียงพอให้บ้านลุงใหญ่กับลุงรองหรือ”
คำพูดของนางมีความหมายแฝง อ้อมไปมาแต่เอาหลิวสี่กุ้ยและหลิวเหรินกุ้ยเข้ามาพัวพันด้วย
หลิวฉีซื่อเป็คนฉลาด ไหนเลยจะฟังคำพูดของนางไม่ออก ได้แต่ใเงียบๆ และคิดว่า นางเด็กคนนี้ไปเรียนลูกไม้นี้มาจากไหน ไม่ได้ นางต้องรีบคิดหาวิธีแยกนางเด็กคนนี้ออกไป ความคิดของนาง แม้บุตรสาวตนเองก็คงไม่สามารถเป็คู่ต่อกรด้วยได้
การต่อสู้ระยะยาวในบ้านทำให้หลิวฉีซื่อนั้นหูตาแหลมคม
นางระมัดระวังตัวแล้วเอ่ย “กินข้าว กินข้าว บ้านเ้ารอง พอกินข้าวเสร็จก็จัดการล้างถ้วยชาม แล้วเอาอาหารหมูมื้อต่อไปต้มให้เสร็จ บ้านเ้าสาม ดูแลสวนผักให้เรียบร้อย ฟ้าเริ่มเปิดแล้วควรเริ่มลงเมล็ดแล้ว ชิวเซียง ไปเกี่ยวหญ้าหมูมาให้มากกว่านี้ เต้าเซียง ขึ้นเขาไปเก็บฟืน”
“ย่า น้องเล็กไม่มีคนดูแล” หลิวเต้าเซียงไม่้าให้หลิวฉีซื่อได้ทำตามนั้น ยิ่งกว่านั้น ยังมีเ้าบ้าที่รอให้นางไปปรนนิบัติอีก
ดวงตาของหลิวฉีซื่อกลอกไปมา ก่อนจะตวาดเสียงต่ำ “แม่เ้าใช่ว่าจะเลี้ยงไม่ได้ แค่เอาผ้ามัดไว้ แบกขึ้นหลัง ก็ไปทำสวนได้แล้ว”
ดังนั้น พวกเขาทั้งสามจึงกลายเป็ทาสอีกแล้ว
หลิวเต้าเซียง้าโต้ตอบ แต่คิดดูแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่ได้แยกบ้าน การจะอยู่ร่วมกันทั้งกินและอาศัย หากไม่ทำงานก็คงเป็ไปไม่ได้
หลังจากกินข้าวเสร็จ คนทั้งบ้านก็แยกย้ายกันไปทำงาน
“น้องรอง มาเร็ว อาหารเช้าของข้ากับแม่ถูกเทลงในชามนี้แล้ว เ้าเอามันไปเลี้ยงไก่เถิด”
ในบ้านมีโจ๊กพุทราจีนกิน ใครจะโง่ไปกินโจ๊กที่จืดจางราวกับน้ำล้างถ้วย
“พี่ใหญ่ ประเดี๋ยว ข้าจะไปที่บ้านของชุ่ยฮัว เ้ากับแม่รีบกินโจ๊กพุทรา ข้าจะอุ้มน้องเล็กไปดูต้นทางให้พวกเ้า”
ก่อนหน้านี้หลิวฉีซื่อยุ่งอยู่กับการทําอาหารเช้า ไม่มีเวลาจ้องมองทางนี้ ตอนนี้คนทั้งหมดมีงานทำหมดแล้ว นางจึงมีเวลาว่าง
หลิวเต้าเซียงกอดหลิวชุนเซียงและนั่งอยู่ใต้ทางเดินปีกตะวันตกเพื่ออาบแดดและหลิวฉีซื่อก็ปรากฏตัวขึ้นใต้ทางเดินบ้านหลัก
“หลิวเต้าเซียง เ้าตัวี้เี ทําไมเ้าไม่ไปเก็บฟืน? ที่บ้านยังรอทําอาหารกลางวันอยู่” หลิวฉีซื่อเห็นนางแล้วก็ขวางหูขวางตา ความรู้สึกที่มีคือ หลิวเต้าเซียงไม่ใช่แกะที่เชื่อง เหมือนหมาป่าชั่วร้ายเสียมากกว่า นางบ่นเสียงต่ำอีก “นางเด็กนิสัยหมาป่า ไม่รู้เกิดมาเหมือนใคร”
ต่อมาก็นึกถึงข้อเสนอของบุตรสาวตนเองและคิดวางแผน หรือไม่ ครั้งนี้ไปที่จวนตระกูลหวงแล้วลองสอบถามดู หากขายนางเด็กคนนี้ได้เงินสักเจ็ดแปดตำลึง ก็ไม่นับว่าขาดทุนเท่าใด
เด็กรับใช้ตัวเล็กๆ อายุเจ็ดหรือแปดขวบกำลังเป็ที่รักของเ้านายในจวน อีกทั้งเด็กรับใช้ที่อายุประมาณนี้ราคาสูงที่สุด หากเชื่อฟังทำงานเป็ และไม่เ้าเล่ห์เพทุบาย
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อที่กำลังหายใจอยู่ตรงหน้า กำลังคิดวางแผนเื่ชั่วร้ายอยู่
-----