“ท่านเหยา ที่ท่านมาหาข้า คงไม่ใช่เพราะชีพจรัหรอกกระมัง?” กู่ไห่ถามด้วยความสงสัย
เหยาเจิ้งเทียนส่ายศีรษะปฏิเสธ ก่อนเอ่ย “ข้าเข้าใจดี ว่าชีพจรันั้น ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะสามารถแตะต้องได้ แม้แต่ท่านผู้เฒ่า ก็ยังตายเพราะมันมาแล้ว ดังนั้น ท่านกู่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มาที่นี่เพราะเื่นี้ แต่มีเื่จะขอร้องท่านจริงๆ!”
“หืม?” กู่ไห่มองอีกฝ่ายด้วยความฉงน
“จะว่าไป ท่านกู่รู้ใช่หรือไม่ ว่าเมื่อครั้งที่ข้านำอสูรทะเลสามพันตนขึ้นบกมายังเกาะจิ๋วหวู่ ข้าได้คืนร่างเดิม” เหยาเจิ้งเทียนยิ้ม
“ใช่แล้ว! ข้าก็สงสัยอยู่บ่อยครั้ง ว่าครานั้น ที่ท่านเหยาคืนร่างเดิม เหตุใดต้องให้อสูรทะเลสามพันตัวคอยเปิดทาง? และทุกครั้งที่ท่านก้าวเท้า ก็จะเกิดฝนฟ้าคะนองไปไกลนับพันลี้... เปิดเผยตัวตนเช่นนี้มันจะไม่...” กู่ไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดูเอิกเกริกเกินไปใช่หรือไม่?” เหยาเจิ้งเทียนกล่าว พลางยิ้ม
กู่ไห่ไม่ได้ตอบ แต่ดวงตาของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้ว
“ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะทำเช่นนี้ แต่ก็ต้องทำ!” เหยาเจิ้งเทียนยิ้มอย่างขมขื่น
“โอ้?”
“เมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน ตอนนั้นข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลก พ่อของข้าเป็ถึงาาปีศาจแห่งทะเลตะวันออก ซึ่งดูแลท้องทะเล ไม่ต้องพูดถึงอำนาจของเขา ท้องทะเลภายใต้การปกครอง มีรัศมีถึงหนึ่งล้านลี้! ในวังใต้น้ำ ครอบครัวของเรามีชีวิตที่สะดวกสบาย ทว่าในปีนั้น ก็มีศิษย์ของอี้เทียนเก๋อบุกเข้ามา และถูกท่านพ่อของข้าจับกินไป ข้าคิดว่าในตอนนั้นคงไม่มีใครรู้เื่นี้ แต่แล้วในที่สุดมันก็เกิดหายนะขึ้นจนได้” เหยาเจิ้งเทียนเล่า พลางยิ้มอย่างขมขื่น
หายนะ? พรรคต้าเฟิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับป้าเซี่ยอย่างนั้นหรือ? สีหน้าของกู่ไห่เปลี่ยนไป
“ใช่แล้ว! นั่นก็คือกระดองของบิดาข้า เพราะความผิดที่กระทำลงไป ท่านพ่อของข้าจึงไม่อาจหนีพ้น จึงถูกท่านผู้เฒ่าหลอมจนกลายเป็วัตถุิญญา ที่มีไว้เพื่อผนึกชีพจรั
ไม่นานมานี้ ที่ข้าคืนร่างเดิม นั่นก็เป็เพราะว่าอสูรทะเลของข้า ััได้ถึงกลิ่นอายของท่านพ่อ ข้าจึงตามรอยไปจนถึงพรรคต้าเฟิง และท้ายที่สุด ก็สามารถนำสิ่งสุดท้ายที่ท่านพ่อเหลือทิ้งเอาไว้ให้ กลับคืนมาได้” เหยาเจิ้งเทียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ท่านมาหาข้าในวันนี้?” กู่ไห่ถามด้วยความสงสัย
เหยาเจิ้งเทียนพยักหน้าเล็กน้อย พลางยิ้มขื่น “อายุขัยของระดับก่อ์คือสองร้อยปี ส่วนระดับแก่นทองคำคือสี่ร้อยปี และระดับหยวนอิงมีอายุแปดร้อยปี แต่ฝึกตนได้ไม่เกินหนึ่งพันปี
ปีนี้ข้าอายุแปดร้อยสี่สิบหกปีแล้ว เพราะระดับพลังของข้าคือหยวนอิงขั้นที่สาม และจะถึงขีดจำกัดหนึ่งพันปีในไม่ช้านี้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องหากระดองเต่าั์ของบิดาให้พบ”
“โอ้! กระดองเต่าั์นั่นมีประโยชน์กับท่านอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่! มันสามารถช่วยพัฒนาระดับพลังให้ข้าได้ เพราะก่อนตาย เราจะรวบรวมพลังชีวิตทั้งหมดเอาไว้ในกระดอง แล้วส่งต่อให้กับลูกหลาน เป็การสะสมพลัง เพื่อดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์!” เหยาเจิ้งเทียนอธิบายอย่างไม่ปกปิด
“เช่นนั้นแล้ว?...”
กู่ไห่มองไปที่เหยาเจิ้งเทียนด้วยความสงสัย
เหยาเจิ้งเทียนลุกขึ้นยืนก่อนขยับตัวเล็กน้อย
คลิกๆๆๆๆๆ!
บนแผ่นหลังของเขา มีกระดองเต่าขนาดเล็กค่อยๆ โผล่ออกมา พร้อมด้วยกระดานหมากล้อม ที่วางอยู่้า
“ท่านกู่ เห็นแล้วใช่หรือไม่? กลหมากยี่สิบเก้าเส้น มันเป็ผนึกพลัง แม้ข้าจะได้รับกระดองของบิดา และนำมาหลอมรวมกับกระดองของข้าแล้ว แต่หมากกระดานนี้ก็ยังอยู่ ราวกับโซ่ที่พันธนาการข้าเอาไว้
ใน่เวลานั้น ข้าไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาบางคนพยายามช่วยเหลือ แต่พลังสังหารของกลหมากนั้นแข็งแกร่งเกินไป เป็เหตุให้พวกเขาตายไปถึงสิบกว่าคน
จนข่าวจากสำนักติงหลงได้แพร่กระจายออกมา ข้าจึงได้รู้ว่าท่านกู่สามารถแก้หมากได้ ผู้น้อยขอร้อง โปรดช่วยปลดผนึกนี้ให้ทีเถอะ” เหยาเจิ้งเทียนโค้งคํานับกู่ไห่อย่างอ้อนวอน
“ท่านเหยาไม่จำเป็ต้องทำถึงขนาดนี้!” นายท่านกู่ห้ามปรามอีกฝ่ายทันที
“ท่านกู่ หากท่านมีความ้าใดๆ โปรดบอกข้า ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ หากท่านยอมช่วยข้าไม่ว่าเื่อะไร ข้าพร้อมที่จะทำมันเพื่อท่าน” เหยาเจิ้งเทียนกล่าว น้ำเสียงเคร่งขรึม
“ไม่จำเป็หรอก แสดงกลหมากบนหลังของท่านให้ข้าดูเถอะ” กู่ไห่พูด พลางยกยิ้ม
เหยาเจิ้งเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รีบหมุนตัวหันหลัง ให้กู่ไห่ดูกระดานหมากบนหลังของตนทันที
กลหมากยี่สิบเก้าเส้น?
“หือ?” กู่ไห่ผงะเล็กน้อย เมื่อเห็นกระดานหมากตรงหน้า
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ? ท่านกู่?” เหยาเจิ้งเทียนถามอย่างเป็กังวล
“เป็กลหมากยี่สิบเก้าเส้นเช่นเดียวกัน ทว่าต่างจากของสำนักติงหลง?” กู่ไห่ขมวดคิ้ว
“อา? ไม่เหมือนกัน....” เหยาเจิ้งเทียนเอ่ยด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วง! ท่านเหยา ถึงแม้จะไม่เหมือนกัน แต่ก็ดูจะยุ่งยากน้อยกว่าของสำนักติงหลงเสียอีก” กู่ไห่กล่าว พร้อมส่ายหัว ไม่้าให้อีกฝ่ายกังวล
เหยาเจิ้งเทียนมีท่าทีสับสนเพียงครู่หนึ่ง
กู่ไห่มองไปยังธูปก้านหนึ่งที่จุดไว้
ก๊อก!
เขาคว้าหมากดำ ก่อนวางมันลงบนกระดาน
ก๊อก!
แล้วหมากขาวเม็ดหนึ่ง ก็วางตามมาโดยอัตโนมัติ
ก๊อกๆๆ!
หมากดำและหมากขาวสลับกันวางไปมา กู่ไห่เริ่มที่จะหลงใหลหมากตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ และการเปลี่ยนแปลงบนกระดานนั้น ก็ส่งผลกระทบต่อเหยาเจิ้งเทียนอย่างต่อเนื่อง
ชายชรารู้สึกเจ็บที่บริเวณแผ่นหลัง แต่ยังคงอดทนต่อความเ็ปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้ตอนนี้ บนร่างจะมีหยาดเหงื่อผุดพรายมากมายก็ตามที
ก๊อกๆ!
กู่ไห่ใช้เวลาในการปลดผนึกตรงหน้า นานกว่าหนึ่งก้านธูป[1]แล้ว
ตูม!
ทันใดนั้น กระดานหมากล้อมตรงหน้าก็ะเิออก กลายเป็หมอกหนาทันที แต่ในไม่ช้า มันก็ซึมหายเข้าไปในร่างของเหยาเจิ้งเทียน
“ฮึ่ม!”
เพียงครู่หนึ่ง จู่ๆ ร่างของเหยาเจิ้งเทียนก็เปล่งแสงสีฟ้าออกมา ทำให้บริเวณโดยรอบสั่นะเืรุนแรง
กู่ไห่ทิ้งกายลงนั่ง ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างใช้ความคิด
กู่ฉินและคนอื่นๆ รออย่างอดทนโดยไม่พูดอะไร
จากนั้นไม่นาน ร่างของเหยาเจิ้งเทียนก็สั่นสะท้าน และปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังออกมา เกิดลมแรงพัดกระโชกขึ้นรอบกาย
สายลมแรงโบกสะบัด โต๊ะและเก้าอี้โดยรอบ ถูกพัดจนลอยกระเด็นไปทั่วสารทิศ
“หืม? ท่านเหยา!” สีหน้าของกู่ฉินเปลี่ยนไป
ทันใดนั้น เหยาเจิ้งเทียนก็ฟื้นคืนสติ มือใหญ่ยกขึ้นโบกเล็กน้อย เพียงเท่านั้น ลมแรงที่กำลังโหมกระหน่ำก็หยุดลงในพริบตา
“คุณชายใหญ่ไม่ต้องเป็ห่วง เมื่อครู่ที่กลหมากถูกปลดออก มีพลังสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังหัวใจของข้า ทำให้พลังของข้าเลื่อนระดับขึ้นไปอีกขั้น แต่เพราะไม่อาจควบคุมพลังได้ จึงสร้างความเสียหายให้แก่ท่าน ช่างน่าอายจริงๆ!” เหยาเจิ้งเทียนกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะโค้งตัวขออภัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
“อืม! อย่าได้กังวล ท่านเหยา ผนึกของกลหมากถูกปลดออกแล้วอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉินถามขึ้นพลางขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง! และพลังของข้าก็กลับคืนมาทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็ไปตามที่ท่านผู้เฒ่าคาดการณ์เอาไว้” เหยาเจิ้งเทียนยกยิ้มบาง
“หืม?” กู่ฉินนึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทุกคนมองไปยังกู่ไห่ ที่กำลังคิดไตร่ตรองบางอย่างอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“มันเป็กลหมากต่อเนื่อง!” กู่ไห่กล่าวด้วยความพิศวง
“กลหมากต่อเนื่องอะไร?” เหยาเจิ้งเทียนถามกลับด้วยความกังขา
“กลหมากยี่สิบเก้าเส้น ไม่ได้มีรูปหมากเพียงแบบเดียว แต่มันเป็กลหมากที่มีรูปหมากถึงสามระดับ ที่ต้องเล่นอย่างต่อเนื่อง เ้านี่ง่ายที่สุด จึงนับเป็ระดับต้นเท่านั้น ส่วนของสำนักติงหลงเป็ระดับกลาง น่าจะมีระดับสูงอีกหนึ่งกลหมาก” กู่ไห่อธิบายเสียงเรียบ
“กลหมากระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง มีความยากต่างกันแค่ไหน?” เหยาเจิ้งเทียนถามอย่างนึกสงสัย
“กลหมากของสำนักติงหลง ซับซ้อนกว่าของท่านสิบเท่า” กู่ไห่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สิบเท่าอย่างนั้นหรือ? มิใช่ว่านั่นคือระดับสูงแล้วหรอกหรือ?”
“ข้าก็ไม่รู้... แต่หากกลหมากระดับสูง ยากอย่างน้อยสิบเท่าของระดับกลางจริง ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถแก้มันได้หรือไม่!” กู่ไห่ยกยิ้ม พลางพูดเสียงขื่น
เหยาเจิ้งเทียนยกยิ้มขมขื่น “เป็กลหมากที่ยากเช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้ว ว่าเพราะเหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงได้วางหมากเอาไว้เช่นนี้ หางัเป็ระดับต้น ร่างัเป็ระดับกลาง หัวัของสำนักหมู่ตาน จึงน่าจะเป็ระดับสูงกระมัง?”
“คงจะเป็เช่นนั้น!” กู่ไห่พยักหน้า
เหยาเจิ้งเทียนกล่าวกับกู่ไห่ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านกู่ ขอบคุณท่านมาก!”
“ท่านเหยาไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงแค่ยกมือขึ้นเท่านั้นเอง!” กู่ไห่ยิ้ม
“นี่เป็การยกมือขึ้นสำหรับท่านกู่ แต่สำหรับข้า มันคือบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่ต้องตอบแทน ในอนาคต หากท่านมีอะไรให้ข้าผู้นี้ช่วยเหลือ ได้โปรดเอ่ยออกมาอย่าได้เกรงใจ ข้าจะให้ความร่วมมือเต็มที่” เหยาเจิ้งเทียนกล่าว น้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านเหยาเกรงใจเกินไปแล้ว!” กู่ไห่เอ่ย พลางยกยิ้ม
“ข้ามองดูแสงสีทองรอบตัวท่านกู่ คงจะเป็พลังกุศลกระมัง? ได้ยินมาว่าท่านกำลังเข้ายึดครองแคว้นต่างๆ โดยรอบ คิดจะตั้งแคว้นอย่างนั้นหรือ?” เหยาเจิ้งเทียนเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“ข้ามีแผนเช่นนั้น!” กู่ไห่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เพราะตอนนี้ทุกคนคงจะสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้อยู่แล้ว
“การสร้างแคว้นถือเป็เื่ที่ดีมาก แคว้นนี้สามารถกักเก็บพลังปราณเอาไว้ได้ โดยไม่ปล่อยให้พลังที่เก็บรวบรวมมา สลายหายไปอย่างไร้ประโยชน์” เหยาเจิ้งเทียนพูด พลางยกยิ้ม
“หืม?” ดวงตาของกู่ไห่เป็ประกาย
“อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านกู่สามารถเก็บชีพจรัของเกาะจิ๋วหวู่ได้ มันคงจะดียิ่งขึ้นไปอีก ชีพจรัสามารถควบคุมความเป็ไปของชีวิตได้” เหยาเจิ้งเทียนบอก
“ท่านเหยาเชิญนั่งก่อน หากข้า้าพูดคุยกับท่านต่อ จะถือว่าเป็การรบกวนหรือไม่?” ได้ยินเช่นนั้น กู่ไห่ก็สนใจกับสิ่งที่ชายตรงหน้าเอ่ยทันที
“ท่านกู่ไม่ทอดทิ้งข้า มีหรือที่ข้าจะละเลยท่าน ท่านรู้จักแผ่นดินเสินโจวหรือไม่?” เหยาเจิ้งเทียนนั่งลง พร้อมพูดกลั้วหัวเราะ
“ข้าเคยได้ยินเื่นี้มาหลายครั้งเชียวละ” กู่ไห่พยักหน้า
“ดินแดนเสินโจว เป็พื้นที่หลักของใต้หล้านี้ แม้ว่าทะเลพันเกาะของข้าจะดูใหญ่โต แต่เมื่อเทียบกับดินแดนเสินโจวแล้วนั้น กลับเป็เพียงดินแดนที่แห้งแล้งทุรกันดารไปเลย” เหยาเจิ้งเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร?” กู่ไห่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกคนเอื้อนเอ่ย
“ใช่แล้ว! ในทะเลพันเกาะของข้า แปดร้อยปีมานี้ ไม่เคยปรากฏชีพจรัเลยแม้แต่เส้นเดียว แต่บนแผ่นดินสินโจว เมืองหลวงประดับประดาด้วยชีพจรัเส้นใหม่ทุกๆ สิบปี” เหยาเจิ้งเทียนกล่าว
“หืม?”
“บางทีเวลาอาจจะสั้นกว่านี้ด้วยซ้ำ ชีพจรัเป็สิ่งที่ผู้ก่อตั้งแคว้นต่างก็้าเลี้ยงดู เพราะมันสามารถควบคุมพลังแห่งโชคชะตาของแคว้นได้ ดังนั้นฮ่องเต้ทุกราชวงศ์จึงต้องมีบำรุงรักษาชีพจรั เพื่อนำมาใช้ในการปกครองแผ่นดิน และสร้างความสงบสุขในบ้านเมืองของตน” เหยาเจิ้งเทียนอธิบาย
“เลี้ยงและบำรุงรักษาชีพจรั?” กู่ไห่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ถูกต้องแล้ว ทางสำนักใช้พลังชี่เข้าควบคุมพลังปราณ ฮ่องเต้ก็ใช้ตราประทับเข้าควบคุมพลังชี่เช่นเดียวกัน ตราประทับของฮ่องเต้ คือชีพจรัแบบแรกของโลก หลงหว่านชิงก็ยังมีหยกัหนึ่งชิ้นมิใช่หรือ?” เหยาเจิ้งเทียนอธิบาย
“ใช่แล้ว! ข้าเคยเห็นหยกันั่นมาก่อน” กู่ไห่พยักหน้า
“หยกัเป็วัสดุสำหรับทำตราประทับฮ่องเต้ ท่านกู่สามารถใช้หยกัเก็บชีพจรั เพื่อหลอมมันให้กลายเป็ตราประทับแผ่นดิน
หลังจากหลอมมันสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว ก็แยกมันออกมา ปล่อยกลับคืนสู่แคว้นของท่าน ให้มันซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนแผ่นดิน และเลี้ยงดูด้วยพลังกุศล ชีพจรัก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
มันสามารถช่วยท่านได้มาก ในการจัดการกับพลังกุศล เมื่อพลังกุศลจำนวนมากหลอมรวมกันเป็พลังหยวน นั่นคือโชคใหญ่ของแผ่นดิน!” เหยาเจิ้งเทียนอธิบาย
“หลอมชีพจรัเพื่อสร้างตราประดับแผ่นดิน และเลี้ยงมันในแคว้นของข้า?” แววตาของกู่ไห่เป็ประกายด้วยความตื่นเต้น
“นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ราชวงศ์เป็เพียงผู้ครองแคว้น ต่อไปเมื่อแผ่นดินเจริญรุ่งเรืองขึ้น ชีพจรัก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นั่นจะทำให้แคว้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ แปรเปลี่ยนจาก 'ราชวงศ์' กลายเป็ 'ราชวงศ์์' ซึ่งตอนนี้ ในใต้หล้ามีเพียงสามราชวงศ์เท่านั้น!” เหยาเจิ้งเทียนอธิบาย
“เป็เพียงจุดเริ่มต้น? แล้วราชวงศ์ผู้ครองแคว้นมนุษย์ก่อนหน้านี้คืออะไร? แคว้นเฉิน แคว้นซ่ง แคว้นไช่ พวกนั้น...” กู่ไห่ถามด้วยความข้องใจ
“พวกนั้นนับเป็ราชวงศ์ไม่ได้หรอก พวกเขาครองแค่แคว้นเล็กๆ จะถือเป็ราชวงศ์ได้อย่างไร? มีชีพจรัเป็ของตัวเองหรือ? ก็ไม่!... แม้พวกเขาจะรวบรวมพลังกุศลได้ แต่สูงสุดก็แค่เพียงหนึ่งร้อยกัป[1]เท่านั้น
แต่พลังกุศลของหนึ่งราชวงศ์กลับมีนับหมื่นกัปเห็นจะได้ ดังนั้นการที่ได้ชีพจรั จึงถือเป็เื่ดี ที่จะนำโชคดี และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่แคว้นของท่าน” เหยาเจิ้งเทียนอธิบายเสริม
ดวงตาของกู่ไห่เป็ประกายด้วยความตื่นเต้น ราชวงศ์ต้องมีพลังอย่างน้อยๆ หนึ่งหมื่นกัป?
“หลังจากตั้งราชสำนักแล้ว พลังกุศลไม่เพียงแต่ใช้กับฮ่องเต้เท่านั้น แต่ยังแบ่งให้กับบรรดาขุนนางได้ อีกทั้งยังช่วยให้เหล่าเสนาบดีสามารถฝึกตน เพื่อเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้น เมื่อพลังหยวนได้ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนักแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนักก็จะพลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย เป็ต้นว่า ความเร็วในการเลื่อนระดับพลังที่มากขึ้น ตัวฮ่องเต้เองก็เช่นกัน” เหยาเจิ้งเทียนอธิบาย
แววตาของกู่ฉินและเฉินเทียนซานเต็มไปด้วยความตกตะลึง มีเพียงซ่างกวนเหิน ที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ราวกับว่ารู้เื่นี้มาก่อนแล้ว
“ผู้ก่อตั้งแคว้น จะต้องเลี้ยงชีพจรัของตนเองอย่างนั้นหรือ?” กู่ไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย
-----------------------------------------------
[1] หนึ่งก้านธูป คือ ครึ่งชั่วโมง
[2] กัป หรือ อุบัติกาล (元) ในนิยายเื่นี้ หมายถึงจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อย (129,600)
ซึ่งตามความเชื่อของลัทธิอนุตตรธรรม ถือว่าระยะเวลาั้แ่ฟ้าดินก่อกำเนิดสรรพสิ่ง แล้วเสื่อมสลายจนจบสิ้นดินฟ้า เรียกว่า 1 กัป หรือ 1 อุบัติกาล (元 : หยวน) ซึ่งยาวนาน 129,600 ปี
ดังนั้นพลังกุศล 1 กัป จึงเท่ากับการช่วยเหลือผู้คนถึง 129,600 คนนั่นเอง