เปรี้ยง!
ค่ำคืนอันเงียบสงัด อัสนีบาตที่ผ่าลงมากลางฤดูร้อนเช่นนี้มิค่อยมีให้เห็นนัก ยิ่งหน้าร้อนปีนี้แห้งแล้งยิ่งกว่าปีที่ผ่านๆ มา แสงจากสายฟ้ากระพริบเป็ครั้งคราวพอช่วยให้บุคคลที่นอนอยู่บนเตียงได้มองเห็นสิ่งที่ตนกำลังกะทำเป็ครั้งคราว
เมื่อขาข้างหนึ่งก้าวสู่ประตูนรกไปแล้วก็จะทำให้สมองของคนเราแจ่มใสมากยิ่งขึ้น ความรัก คำมั่นสัญญา คำสาบานต่อฟ้าดิน ล้วนเป็คำลวงทั้งสิ้น
เมื่อคนเราพบเจอกับความสูญเสียย่อมต้องโทษว่าฟ้าไม่มีตา ตัวข้าก็เคยเป็เช่นนั้น พร่ำโทษดินฟ้า ตัดพ้อชะตาว่าลิขิตให้ข้าต้องมาพบเจอกับเื่ราวเลวทรามเหล่านี้
ไม่สิ...ไม่ใช่ เมื่อเราได้อยู่กับตัวเองเป็เวลานานๆ รอบข้างไร้สิ่งใด มีเพียงตัวข้าและเรือนหลังเก่าอันทรุดโทรมที่อยู่ซอกหลืบของจวนอันยิ่งใหญ่ ไร้ซึ่งกำลังจะทำสิ่งใด เดินหนึ่งก้าวหายใจติดขัด เดินสองก้าวเ็ปถึงกระดูก เดินก้าวที่สามกระอักเืสิ้นชีวิต
นี่เรียกว่ากู่สามก้าวปลิดชีวิต หากอยากตายก็เพียงแค่เดินสามก้าวเท่านั้นนี่คือทางเลือกที่คนผู้นั้นให้ไว้กับข้า หึ…หึ น่าขันนัก ทว่าว่าเกิดมาจนป่านนี้ ได้มีวาสนาลิ้มลองพิษกู่ที่ขึ้นชื่อว่าล้ำค่าและหายากเช่นนี้ ถือเป็ประสบการณ์ชีวิต เป็ประสบการณ์ที่ต้องจดจำไปจนสิ้นใจ
เปรี้ยง!
คำโบราณว่าอยู่กับสิ่งใดย่อมคุ้นเคยกับสิ่งนั้น แรกเริ่มเมื่อได้รู้ว่าตนได้รับพิษกู่สามก้าวปลิดชีวิตในใจก็ยากที่จะยอมรับ ว่าคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุด คนที่ข้ามอบทุกสิ่งทุกอย่างให้โดยไร้กังขา จะแทงข้างหลังข้าอย่างเหี้ยมโหด
ชีวิตเมื่อถึงจุดที่ตกต่ำที่สุด สูญสิ้นแล้วทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งใดก็ทำได้ทั้งนั้น ว่ากันว่ากู่นี้ไร้หนทางแก้หากฝืนดึงดันที่จะแก้แล้วไซร้จะต้องตายในหนึ่งชั่วยาม
หนึ่งชั่วยาม
เท่านี้ก็เพียงพอ
ข้ากับหนอนกู่ตัวนี้อยู่ด้วยกันมาปีกว่า กิจวัตของมันข้ารู้ซึ้งยิ่งกว่าของตนเสียอีกทุกๆ วันมันจะชอนไชไปตามเส้นชีพจรน้อยใหญ่ทั่วร่างกายของข้า วันนี้เป็วันมงคลเสียงดนตรีขับร้องดังไปทั่วจวน หากข้าผู้เป็นายหญิงไม่ออกไปร่วมแสดงความยินดีคงเป็การลบหลู่เบื้องสูง
ปลายนิ้วของข้าคีบเข็มเย็บผ้าไว้ในมือแน่นเพื่อรอจังหวะลงมือ ยอดรัก...ของข้าเราอยู่ร่วมกันมาปีกว่าแล้วอย่าทำให้ข้าขายหน้าเสียล่ะ
ฉึก! อ๊ากกก
เสียงกรีดร้องที่ดังก้องไปทั่วเรือนหลังเล็กมิได้เป็ที่สนใจของผู้คนภายในจวนแม้แต่น้อย ร่างบนเตียงดีดดิ้นอย่างทุรนทุราย ดังเช่นหนอนกู่ที่กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดภายใต้ปลายเข็มที่ปักตรึงส่วนหัวของมันจนยึดติดกับกระดูก
เห็นได้ชัดว่าผู้ลงมือนั้นโเี้กับตนเองเพียงใด เมื่อแน่ใจแล้วว่ามันไม่สามารถหนีไปได้ข้าจึงนำเศษชามกระเบื้องที่ข้าจงใจทำแตกตอนกินข้าวมื้อล่าสุดเมื่อสามวันที่แล้วออกมา ค่อยๆกรีดลงไปบนแขนอย่างช้าๆ... ค่อยๆกรีด... ค่อยๆแหวกชั้นิัออกมาทีละส่วน...ทีละส่วน แม้ไม่มีแสงไฟแต่ก็มิได้เป็อุปสรรคแม้แต่น้อย
กรีดถึงเส้นเอ็นก็แหวกมันออก กรีดถึงเส้นชีพจรก็ค่อยๆใช้นิ้วอันเรียวงามเคลื่อนผ่านอย่างเบามือจนมาถึงเส้นชีพจรเส้นหนึ่งที่ถูกยึดติดกับกระดูกด้วยเข็มเย็บผ้า ว่ากันตามหลักของสรีระร่างกายเส้นชีพจรเส้นนี้หากโดนทำลายโดยทันทีจะไม่ส่งผลเสียใดๆต่อร่างกายแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าถ้ามันได้รับความเสียหายและยังคงอยู่จะส่งผลให้ร่างกายนั้นเ็ปดั่งถูกเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทง นี่จึงเป็สถานที่สุดโปรดปรานของหนอนพิษกู่สามก้าวปลิดชีวิตตัวนี้
เมื่อนำหนอนกู่ออกมาแล้วหาก้าจะมีชีวิตดังเช่นปกติจำต้องดื่มเืจากตัวของมัน ใช้พิษจากเืของมันยับยั้งพิษที่อยู่ในร่างกายไม่ให้แล่นเข้าสู่หัวใจ ปริมาณของเืที่ได้จากหนอนพิษหนึ่งตัวสามารถต่อชีวิตได้หนึ่งชั่วยามเท่านั้น
เือุ่นๆที่ไหลผ่านลำคอช่วยให้สติของข้าตื่นตัว พร้อมกับกำลังภายในที่ฟื้นคืนกลับมา เสียงนกหวีดที่ดังเป็จังหวะสั้นยาวคล้ายการส่งรหัสลับ สิ้นเสียงราวครึ่งก้านธูปก็ปรากฏเงาดำสองสายคุกเข่าอยู่หน้าเตียงไม้เก่าๆของข้า
“คุณหนู”
“คำสั่งของท่านปู่ที่มีต่อพวกเ้าคืออะไร”
“เมื่อคุณหนูสิ้นลมก็ให้นำร่างท่านกลับไปฝังที่สุสานของตระกูลขอรับ”
“ตาเฒ่า...” ตัวก็ตายไปแล้วแท้ๆ ยังห่วงว่าคนอกตัญญูอย่างข้าจะไม่มีที่ฝังงั้นรึ สุดท้ายแล้วก็มีแต่ท่านที่รักและห่วงใยข้า ข้าคู่ควรกลับไปยังตระกูลงั้นหรือ คนบาปเช่นข้าจะกล้ามีหน้ากลับไปได้อย่างไร
“เอาล่ะ...ข้าทราบถึงความตั้งใจของท่านปู่แล้ว ข้าเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม วันนี้วันมงคลเรามาเพิ่มสีแดงให้จวนนี้ดูสดใสมีชีวิตชีวา…เพื่อที่ข้าจะได้มีหน้าไปพบท่านปู่”
“น้อมรับคำสั่ง”
“หากระบี่ให้ข้าสักเล่ม”
“นี่เป็กระบี่คู่กายของนายท่าน...คุณหนูโปรดรับเอาไว้”
ข้าใช้มือที่สั่นเทายื่นออกไปรับกระบี่ที่อีกฝ่ายประคองไว้เหนือหัว กระบี่เขี้ยวพยัคฆ์ อาวุธที่สืบทอดมาั้แ่บรรพบุรุษ บรรพบุรุษผู้ร่วมสร้างแคว้น
ท่านปู่...เป็หลานที่ผิดต่อท่าน เป็หลานที่ผิดต่อตระกูล เป็หลานที่ผิดต่อเหล่าบรรพบุรุษ วาระสุดท้ายของข้ามาถึงแล้ว แค้นนี้ข้าจะเป็คนสะสางมันก่อนที่จะไปพบท่าน
“ทหารรับคำสั่ง เริ่มภารกิจมรรคาแห่งชีวิต*
*(ในความหมายของผู้แต่งนิยาม "มรรคาแห่งชีวิต" ว่า ธรรมชาติแห่งชีวิต มีเกิด ดำรงอยู่และดับไปเป็วัฎสงสาร)
ทหารทั้งสองเมื่อได้ยินคำสั่งของผู้เป็นายนอกจากร่างกายจะแข็งทื่อชั่วขณะ แต่ก็มิได้กล่าววาจาซักถามให้มากความ โขกหัวทำความเคารพเป็ครั้งสุดท้าย แล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนอย่างเงียบเชียบ
ข้ามองทหารทั้งสองนายที่หายไปกับความมืดแล้วลุกขึ้นมาเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่ ไม่สิ...จะเรียกตัวใหม่ก็กระไร ข้าถือคติที่ว่ามาอย่างไรยามจากไปก็เป็เช่นนั้น ยามเข้ามาในจวนแห่งนี้วันแรกหญิงสาวที่ออกมาจากูเาสวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวซีดที่ซักจนเนื้อผ้านิ่มพลิ้วไปตามสายลม คิดอย่างผู้ที่ทะนงตน ข้ามีความสามรถ ตระกูลของข้ามากไปด้วยอำนาถ ศิลาอาภรณ์เ่าั้ล้วนเป็ของนอกกาย
ถ้อยคำของผู้คนไม่สามารถสั่นคลอนจิตใจของข้าได้ ทว่าสุดท้ายมิใช่เมืองหลวงต้องปรับตัวเข้าหาแต่เป็ตัวข้าเองที่ต้องปรับตัวเข้าหามัน หึๆ หลงลืมวงตระกูลที่เลี้ยงดูให้ชีวิต หลงมัวเมาในความรัก ละทิ้งปนิธาน
มองย้อนกลับไปในวันวาน...ตัวข้ามันน่าสมเพช เป็เพียงเบี้ยที่ถูกใช้ให้บรรลุผลประโยชน์
ทางเดินอันเงียบสงบในสวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ กลิ่นหอมรวยรินแซมไปด้วยกลิ่นคาวเืลอยมาตามลม สมกับเป็ทหารหน่วยิญญาพยัคฆ์ ที่ว่า...หนึ่งฆ่ายอดฝีมือได้นับสิบ สังหาร...ยอดทหารได้นับร้อย คำกล่าวนี้มิไดเกินจริงไปแม้แต่น้อย
หญิงสาวเดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อยมุ่งไปยังห้องโถงหลักของงานเลี้ยงฉลอง... วันก่อนรับราชโองการแต่งตั้งไท่จื่อ รอพิธีแต่งตั้งอย่างเป็ทางการ วันนี้แต่งพระชายารองเข้าจวนอย่างยิ่งใหญ่งานพิธีจัดเช่นเดียวกับพระชายาเอก บุตรสาวจวนมหาเสนาบดีที่เล่าลือกันว่าเป็โฉมงามอันดับหนึ่งของเปี้ยนจิง ว่ากันว่าทั้งศาสตร์ ทั้งศิลป์พระชายารองท่านนี้ล้วนชำนานทั้งสิ้นช่างเหมาะสมกับองค์ไท่จื่อยิ่ง
“คุณหนูยกเว้นห้องโถงหลักคนของจวนนี้ล้วนจัดการทั้งหมดแล้วขอรับ”
“แล้วพวกองครักษ์เงา?”
“ที่เป็ของจวนฉินอ๋อง และมีสายสัมพันธ์กับจวนฉินอ๋องล้วนกำจัดทั้งหมดแล้วขอรับ”
ข้าพยักหน้าอย่างรับรู้ ‘มรรคาแห่งชีวิต’นี้ตามบันทึกของตระกูลถูกใช้เพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อถึงจุดสิ้นสุดของหลักการในชีวิต มีแค้นมิอาจล้างแค้น มีกฎหมายมิอาจได้มาซึ่งความยุติธรรม มีฮ่องเต้แต่มิอาจปกครองอย่างเมตตา
มรรคาแห่งชีวิตจะเป็สิ่งตัดสินของการถือกำเนิด ดำรงอยู่และสูญสิ้นของสิ่งเ่าั้ วันนี้ข้า ซ่างกวนจือหลิน ขอใช้เืของทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องกับจวนฉินอ๋องแห่งนี้เซ่นสังเวยคนตระกูลซ่างกวนที่ตายไป เพื่อปลอบประโลมความอยุติธรรมที่พวกท่านได้รับ
“เหลือเพียงห้องโถงหลักนี้เท่านั้น ข้าจะจัดการที่เหลือเอง หากพวกเ้าไม่หมดแรงจงไปจัดการจวนอื่นๆ ที่เป็พรรคพวกของฉินอ๋องทั้งหมด”
“รับทราบ คุณหนูอิงกั๋วกงก็มาร่วมงานในวันนี้”
ข้าชะงักฝีเท้าเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าเป็เชิงรับรู้ 'อิงกั๋วกง' งั้นหรือ? ได้ฟังจากเสียงเล่าลือคงเป็บุคคลที่เยี่ยมยอดผู้หนึ่งสินะ
เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง...ข้าตัดหัวฉินอ๋อง พระชายารอง และมหาเสนาบดีมาเซ่นไหว้ป้ายบูชาตระกูลซ่างกวนเรียบร้อยแล้ว นี่...ความรู้สึกนี้คงเป็ความหลุดพ้นกระมัง
ใกล้หนึ่งชั่วยามเข้าไปทุกที ข้านั่งกุมกระบี่อยู่บนเก้าอี้ไท่ซือตรงกลางห้องโถง บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวาดผวา เหล่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างนั่งก้มหน้าปิดปากเงียบ
ข้าปล่อยความคิดให้ล่องลอยไกลแสนไกลจนกระทั่งมีร่างหนึ่งมายืนบดบังสายตา ข้าช้อนสายตาที่เริ่มพร่ามัวลงไปทุกทีขึ้นมองผู้มาเยือน
“ท่านอิงกั๋วกง”
“ไง...อดีตว่าที่ภรรยาของข้า”
“มิได้เป็อย่างไรเ้าค่ะ...อีกเดียวข้าก็จะตายแล้ว”ข้าไหวไหล่นิดๆ ตอบอย่างสบายๆ
“งั้นรึ ฝากทักทายท่านปู่แทนข้าด้วยเล่า”
“หากพบท่านผู้เฒ่าข้าต้องทักทายแทนท่านแน่”
“ดี”
ดี...นี่คงเป็บทสนทนาแรกและบทสนทนาสุดท้ายที่ข้ากับเขาได้พูดกัน ฤทธิ์ของเืหนอนพิษกู่หมดแล้ว...ข้ากระอักเืออกมาคำโต ใบหน้าว่างเปล่าไร้ซึ้งอารมณ์ร่างโอนเอนร่วงตกจากเก้าอี้ ท่ามกลางความเลือนรางข้าถูกโอบกอดไว้...อุ่นจัง
คงเป็ความรู้สึกเดียวที่ข้าได้รับก่อนจะสิ้นลม
…
รัชศกเจินจงปีที่สิบห้า
ฏซ่างกวน ถูกปราบปรามโดยฉินอ๋อง
รัชศกเจินจงปีที่สิบหก
มีราชโองการแต่งตั้งฉินอ๋อง หลี่หยวนเฮ่า เป็ไทจื่อ ต่อมาไท่จื่อแต่งบุตรสาวท่านมหาเสนาบดีเป็พระชายารองที่มีศักดิ์เทียบชายาเอก วันงานมงคลทุกชีวิตในจวนฉินอ๋องและขุนนางผู้สนับสนุนล้วนถูกสังหารล้างตระกูล
ว่ากันว่าเป็การทวงความยุติธรรมของตระกูลซ่างกวน ศีรษะของไท่จื่อ พระชายารอง และท่านมหาเสนาบดีถูกตัดไปเซ่นไหว้ป้ายตระกูลซ่างกวนโดยพระชายาเอกฉินอ๋อง ซ่างกวนจือหลิน
อิงกั๋วกงกล่าวกลางท้องพระโรงว่า...พระชายาเอกทรงเรียกใช้บทลงทัณฑ์มรรคาแห่งชีวิต นี่จึงเป็เหตุให้ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางที่กำลังก่นด่าบรรพบุรุษตระกูลซ่างกาวนอยู่นั้นหยุดลงทันใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้