ในมือของพวกเขามีกระบี่ นางกลัวว่าพวกเขาจะฆ่านางโดยที่นางไม่ทันได้ชี้แจงอะไร อยู่ในสถานที่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดถึงจะมีใครมาพบ ช่างซวยแท้ ทำไมสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างเช่นนี้ถึงยังมีทางลับอยู่อีก? ร้องไห้ไม่ออกเลยจริงๆ
ชายผู้มีใบหน้าอ่อนโยนหัวเราะเบาๆ “เ้าบอกมาก่อน ทำไมเ้าถึงมาอยู่ในที่รกร้างเช่นนี้?”
กู้เจิงรีบเล่าเื่ที่ตนเองถูกคนหลอกและถูกจับมาทิ้งไว้ที่นี่ “ข้าถูกคนหลอกมาเ้าค่ะ พวกนาง้าจะทำร้ายข้า ข้าไม่ใช่คนเื่มาก ดังนั้นจะไม่เอาเื่ที่นี่ออกไปแพร่งพรายแน่”
ชายคนนั้นยิ้มและมองไปทางชายชุดดำพร้อมกล่าวว่า “มีเพียงคนตายเท่านั้นที่พูดอะไรไม่ได้ไปตลอดกาล ถูกไหม?”
“ขอรับ” ชายผู้ปิดบังใบหน้าตอบรับด้วยน้ำเสียงเคารพ
กู้เจิงเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา นางลุกขึ้นยืนมองตรงไปยังพวกเขา แล้วเอ่ยอย่างคับแค้นใจว่า “จะฆ่าก็ฆ่า ในเมื่อต้องตาย ก็ต้องตายด้วยความเด็ดเดี่ยวเสียหน่อย ใช่ ข้าเห็นว่าที่นี่มีทางลับ แล้วข้าก็เห็นใบหน้าของพวกท่านด้วย ฆ่าข้าเลยสิ”
“เมื่อครู่ยังคุกเข่าอยู่เลย แต่ยามแม่นางน้อยใกล้ตายกลับจิตใจแข็งกล้าขึ้นเสียได้” ชายผู้นุ่มนวลหัวเราะ
แต่ในสายตาของกู้เจิง รอยยิ้มนี้ไม่ว่าดูอย่างไรก็ดูวิปริต “ขอร้องก็ขอแล้ว คุกเข่าก็แล้ว ไม่ว่าจะพูดอะไรพวกท่านก็ไม่เชื่อ ข้าจะทำอะไรได้?”
“เ้าไม่รู้หรือว่าใครเป็คนหลอกเ้าแล้วพาเ้ามาที่นี่?” ชายผู้อ่อนโยนถาม
กู้เจิงมีคนที่สงสัยอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน ยิ่งไปกว่านั้น เสิ่นเยี่ยนก็เคยบอกไว้ว่าองค์หญิงสิบเอ็ดจะไม่มาเกลือกกลั้วเพราะฟู่ผิงเซียง นางไม่เชื่อใจองค์หญิงสิบเอ็ด แต่เชื่อการวิเคราะห์ของเสิ่นเยี่ยน
“ดูท่าจะมีคนที่สงสัยอยู่สินะ สงสัยใครหรือ?”
“ข้ามีคนที่สงสัยแน่ แต่ข้าไม่สามารถพูดออกมาโดยไม่มีหลักฐานได้” กู้เจิงมองบุรุษผู้นี้อย่างแปลกใจ อากัปกิริยาของเขาแฝงไว้ด้วยความสูงส่ง สีหน้าอ่อนโยนเป็มิตร ทว่าสายตาที่อ่อนโยนกลับแฝงเร้นด้วยประกายที่ทำให้คนไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม “ท่านเป็ใครกัน? มาถามสิ่งนี้ไปทำไม?”
“ไม่ใช่ว่าเ้าอยากออกไปจากที่นี่หรอกหรือ? ไป ข้าจะพาเ้าออกไปเอง” ชายผู้อ่อนโยนว่า แล้วก้าวเดินนำออกไปก่อน
ในใจกู้เจิงยิ่งสงสัยขึ้นเรื่อยๆ เห็นพวกเขาพากันเดินออกไป นางก็รีบตามไป ถ้าพวกเขาจะฆ่านาง คงฆ่าไปนานแล้ว ในเมื่อไม่ฆ่า นางก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
ความหนาวเหน็บในยามดึกเริ่มหนักขึ้น
แผ่นหลังของกู้เจิงเต็มไปด้วยเหงื่อ บวกกับความตึงเครียดมาตลอดทางไหนเลยจะสนใจความหนาวเย็น ผู้าุโที่อยู่ด้านหน้าก็ไม่รู้ว่ามีฐานะอะไร กู้เจิงเดินตามไปติดๆ จนกระทั่งพวกเขาก้าวข้ามอะไรบางอย่างบนพื้น กู้เจิงก็ก้าวข้ามไปโดยไม่รู้ตัว กลับคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่อยู่บนพื้นจะเป็ศพสี่ศพ หรือจะเป็กลุ่มหมัวมัวและนางกำนัลพวกนั้น
กู้เจิงใจนเกือบจะกรีดร้อง นางตบหน้าอกตัวเองเพื่อบรรเทาความกลัวในใจ
ชายสองคนหันกลับมามองดรุณีน้อยที่กำลังกระทืบเท้าและตบหน้าอกตัวเอง วิธีการปลอบใจตัวเองเช่นนี้ดูน่าขันเสียเหลือเกิน
“มีอะไรน่ากลัว ก็แค่คนตายเท่านั้นเอง” ชายผู้อบอุ่นคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“นั่นมันชีวิตคนเลยนะ” กู้เจิงจะคิดไม่ดีแค่ไหน ก็ไม่เคยคิดจะให้ใครตาย
“เ้ากลัว หรือสลดใจต่อการตายของพวกนาง?”
กู้เจิงมองบุรุษที่ดูเหมือนอ่อนโยนแต่แท้จริงแล้วกลับน่ากลัว “ข้า ข้ากลัว”
“เ้าซื่อตรงมาก งั้นยังไม่รีบไปอีกหรือ? แค่ไม่มองก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่กู้เจิงก็แอบเสียวสันหลังอยู่ดี นางปิดตาแล้วะโข้ามศพพวกนั้น ก่อนจะรีบเดินไปอยู่ข้างๆ พวกเขา “มือสังหารจะยังอยู่แถวนี้ไหมนะ?”
“อยู่” ชายที่ปกปิดหน้าที่ไม่พูดอะไรมาตลอดทางเอ่ยปากขึ้น “คือข้าเอง”
ใบหน้าของกู้เจิงซีดเผือดในพริบตา
“เดินเล่นอยู่ที่นี่ ไม่ได้คิดว่าจะเจอสี่คนนี้เข้า” ชายผู้นุ่มนวลกล่าวด้วยรอยยิ้ม ตอนที่ทั้งสี่คนลากดรุณีน้อยเข้าไปในซากปรักหักพัง เขาก็รู้อยู่แล้ว “เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นถึงจะพูดไม่ได้อย่างแท้จริง” เห็นหน้าของกู้เจิงซีดเซียวลงไปอีก เขาก็ยิ้มขันและหันไปเอ่ยกับชายผู้ปิดบังใบหน้า “เด็กคนนี้ใเพราะพวกเราไม่น้อยเลย”
“ขอรับ”
“วางใจเถอะ เราจะไม่ฆ่าเ้า แต่เ้าพูดแล้วอย่าได้คืนคำ ไม่เช่นนั้นข้าจะให้คนไปฆ่าเ้าเสีย?”
กู้เจิงพยักหน้ารับหงึกหงัก นางใกลัวจริงๆ
“เดินมานานแล้ว นั่งพักคุยกันสักนิดเถอะ” เขาชี้ก้อนหินที่อยู่แถวนั้น พลางยิ้มมองกู้เจิง
กู้เจิงหันไปมองศพทั้งสี่ที่อยู่ไม่ไกลทางด้านหลัง ก่อนจะถามด้วยสีหน้าเศร้าใจว่า “ปะ เปลี่ยนสถานที่คุยได้ไหมเ้าคะ?” คนปกติที่ไหนจะมานั่งคุยข้างๆ ศพแบบนี้กัน
“ที่นี่ก็ไม่แย่นัก นั่งลงก่อนเถอะ”ชายคนนั้นนั่งลงแล้ว
กู้เจิงได้แต่ฝืนใจนั่งลงด้วย
ชายชุดดำผู้สวมผ้าปิดหน้ายืนอยู่ข้างๆ เขา
“แม้ว่าอากาศจะหนาว แต่ดวงจันทร์ก็สวยยิ่ง เ้าดูสิว่าสวยเพียงใด” บุรุษผู้อ่อนโยนเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางทอดถอนใจ “โลกงดงามถึงเพียงนี้ เพียงแต่น่าเสียดายที่มีคนชื่นชมไม่มากนัก”
กู้เจิงไม่กล้าเอ่ยอะไรมั่วซั่ว
“คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่ ก็คิดแต่เื่เงินทอง อำนาจ ตำแหน่ง และลูก ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ ใช่ไหม แม่นางน้อย?”
ถามนางหรือ? กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ หัวเราะแห้ง
“ตกลงกันแล้วว่าจะคุยกันไม่ใช่หรือ?” บุรุษผู้นุ่มนวลหรี่ตามองนาง “เ้าเป็เช่นนี้ไม่เหมือนคุยเล่นกันเลย เก็บเ้าไว้กลับรู้สึกเหมือนเป็ภาระเสียอย่างนั้น”
กู้เจิงนิ่งอึ้งไป นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ๆๆ ข้าไม่ใช่ภาระ” ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านพูดถูกเ้าค่ะ”
“เ้าตอบข้ากลับแบบนี้ นั่นก็ไม่ใช่การคุยเล่นแล้ว การพูดคุยที่ข้า้า จะต้องใช้ใจ ใช้สมอง” เขามองเด็กสาวที่สติแตกอยู่ตลอดเวลา สาวน้อยคนนี้น่าสนใจนัก ทั้งๆ ที่เสียขวัญแทบตาย ทว่าั์ตากลับเปล่งประกายสดใส และกิริยาท่าทางก็ไม่ได้แข็งกระด้าง
ใช้ใจใช้สมองหรือ? แค่คุยกันจะต้องเหนื่อยขนาดนี้เลยหรือไง? กู้เจิงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่“ท่านอยากให้ข้าพูดถึงความคิดของตัวเองหรือเ้าคะ? แล้วถ้าข้าพูดผิดไปเล่า?”
“เ้าวางใจเถอะ ข้าบอกแล้วว่าไม่ฆ่าเ้า ก็จะไม่ฆ่าเ้า แต่เ้าก็ต้องตั้งใจคุยกันดีๆ” เขาวางเท้าราบลงกับพื้น และมองนางในท่วงท่าสะดวกสบาย
กู้เจิงสะกดความกลัวในใจลงได้แล้ว นางเอ่ยขึ้นว่า “การมีชีวิตอยู่เป็สิ่งที่ดีเสมอ มิใช่มีคำกล่าวที่ว่า ‘มีชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญก็ยังดีกว่าตาย’ หรอกหรือเ้าคะ? นอกจากเงินทอง อำนาจ ตำแหน่ง และลูกแล้ว ยังมีคนในครอบครัว พ่อ แม่ น้องสาว น้องชาย ล้วนเป็สิ่งที่ทำให้คนอาลัยอาวรณ์ ทั้งยังมีของกิน ของใช้…”
“ดูท่าของที่เ้าอาลัยอาวรณ์จะมีอยู่มากนักนะ” ชายหนุ่มขัดขึ้น
“คนเรามีชีวิตอยู่ ย่อมต้องมีสิ่งอาลัยอาวรณ์มากเป็ธรรมดาเ้าค่ะ”
ชายคนนั้นพยักหน้า “คำพูดนี้นับว่าไม่ผิด แต่บางคน พ่อไม่เหมือนพ่อ แม่ไม่เหมือนแม่ ลูกไม่เหมือนลูก เห็นได้ชัดว่าเป็ครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่เคยนั่งลงพูดคุยกันเลย”
“อ้อ คนเ่าั้ที่ท่านพูดถึงต้องเป็ครอบครัวใหญ่แน่กระมัง เช่นนั้นก็คงเลี่ยงไม่พ้น คนเยอะก็มากความ ความคิดก็เยอะสิ่ง ยิ่งกว่านั้น เลี้ยงเด็กในทางที่ผิดก็ทำอะไรไม่ได้”
“เลี้ยงในทางที่ผิดหรือ?” เขาหัวเราะเบาๆ “ใช่ เลี้ยงในทางที่ผิด แล้วเ้าว่า ถ้าเลี้ยงในทางที่ผิดจะทำยังไงดี?”
คำถามนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง กู้เจิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เคยเป็พ่อแม่มาก่อน ไม่รู้สิเ้าคะ แต่ลูกสืบสายเืมาจากพ่อแม่ ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ พ่อแม่เป็ผู้ให้ชีวิตแก่ลูก ก็ไม่อาจทอดทิ้งได้ตามอำเภอใจเช่นกันเ้าค่ะ”
ั์ตาอ่อนโยนของบุรุษที่กำลังมองกู้เจิงเปลี่ยนเป็ลึกล้ำและเฉียบคม
กู้เจิงรู้สึกขนลุกขนพอง การเลี้ยงดูบุตรเป็เื่ซับซ้อนมาก แต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน มุมมองก็ต่างกัน อีกทั้งในค่ำคืนเช่นนี้ การพูดคุยเื่แบบนี้กับผู้ชายที่ดูภายนอกน่าจะอายุราวๆ สี่สิบช่างแปลกประหลาดเสียจริง
ฉับพลันชายคนนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “พูดได้ดี เอาล่ะ คุยกันแค่นี้เถอะ” เขาลุกขึ้นพร้อมชี้ไปที่ทางซ้ายมือและกล่าวว่า “เ้าเดินตรงไปทางนี้ อีกประมาณหนึ่งชั่วยามก็จะถึงวังหลวง”
“เมื่อครู่ข้าก็มาจากทางนี้เ้าค่ะ” กู้เจิงรีบบอก
“ข้ารู้ ถนนทางนั้นไม่มีสิ่งกีดขวางแล้ว เ้าวางใจเถอะ”
ความสงสัยผุดขึ้นในใจของกู้เจิง แต่นางกลัวการอยู่ข้างกายชายสองคนนี้ยิ่งกว่า นางจึงกัดฟันวิ่งไปตามทางที่ชายคนนั้นบอก
จนกระทั่งมองไม่เห็นร่างของกู้เจิง บุรุษผู้อบอุ่นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว ยังสู้สาวน้อยคนหนึ่งที่มาช่วยให้กระจ่างแจ้งไม่ได้เลย” เขาชี้ไปยังศีรษะตัวเอง
“นางแค่พูดเหลวไหล เด็กสาวอย่างนางจะเข้าใจอะไรกัน” ชายที่สวมผ้าปิดหน้าเอ่ยถามว่า “นายท่าน จะปล่อยนางไปเช่นนี้จริงหรือขอรับ?”
“เด็กคนนี้ดูอ่อนแอ ไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งแม้แต่น้อย แต่ในความเป็จริงนางฉลาดมาก ไปสืบหารายละเอียดของนางให้ชัดเจน แล้วค่อยสืบว่านางกำนัลทั้งสี่คนนั้นมาจากวังไหน”
“ขอรับ”
“อีกอย่าง ปิดกั้นเส้นทางลับของูเาจำลองนั่นเสีย เปลี่ยนทางออกใหม่”
“ขอรับ”
กู้เจิงวิ่งตะบึงไปตลอดทาง นางไม่กล้าหยุดพักอีก น่าแปลกตรงที่ตลอดทางนี้กลับไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ทั้งสิ้น แม้ถนนจะคดเคี้ยว แต่ก็สะอาดสะอ้าน ราวกับถูกใครจัดการเอาไว้แล้ว
ชายสองคนนั้นเป็ใครกันแน่? ทำไมถึงมาโผล่อยู่ในที่แบบนั้นได้? และในที่แบบนั้นยังมีเส้นทางลับเสียด้วย? ที่นั่นต้องมีความลับอะไรบางอย่างแน่
ในสมองของกู้เจิงเกิดความสงสัยมากมาย แต่นางรู้สึกว่าความสงสัยเหล่านี้บางทีอาจจะไม่ได้คำตอบไปตลอดชีวิต
ไม่รู้ว่าวิ่งมานานแค่ไหน ในที่สุดก็เห็นแสงสว่างอยู่ไม่ไกลนัก
ดวงตาของกู้เจิงร้อนผ่าว รวบรวมพลังที่เหลือทั้งหมดวิ่งตะบึงไป