ซย่านีเรียกได้ว่าเป็คนสายตาว่องไวและมือรวดเร็วคนหนึ่ง พริบตาเดียวเธอก็ยื่นมือออกไปดึงยางรัดผมมาจากหัวของซ่งเสี่ยวสยาแล้ว
“ยางรัดผมของฉัน!” ซ่งเสี่ยวสยากรีดร้องลั่น
ซ่งวั่งซูปล่อยมือจากตัวของซ่งเสี่ยวสยาโดยไม่รู้ตัว เธอเพิ่งได้สติกลับมา ตอนนี้เธอเกือบจะเปิดเผยเื่ที่แม่มีเงินก้อนโตออกไปเสียแล้ว! แน่นอนว่าแม่บอกให้เธอเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับ
ซ่งวั่งซูมีท่าทีตื่นกลัว ซย่านีจึงกล่าวว่า “รีบไปกินข้าวเถอะ ถ้ามัวชักช้าเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสายนะ”
ครั้นเห็นว่าผู้เป็มารดาตัดสินใจแทนตนเองแล้ว ซ่งวั่งซูก็วางใจแล้วกลับไปนั่งกินข้าวอย่างว่านอนสอนง่าย ทางด้านซ่งเสี่ยวสยานั้นถึงจะกล้าหาญมากแค่ไหนเธอก็ไม่กล้าไปแย่งยางรัดผมจากซย่านีเด็ดขาด ผมของเด็กสาวนั้นกระเซอะกระเซิงราวกับคนบ้าก็มิปาน เธอจ้องมองซย่านีด้วยความโกรธพลางะโลั่น “นั่นมันยางรัดผมของฉันนะ คืนฉันมาเดี๋ยวนี้!”
ซย่านีถือยางรัดผมไว้บนฝ่ามือและเล่นกับมันไปด้วย เธอเลียนแบบคำพูดของซ่งเสี่ยวสยาจากนั้นก็กล่าวอย่างสนุกสนาน “ยางรัดผมของเธอ? งั้นเธอก็ลองเรียกชื่อมันดูสิว่ามันจะตอบเธอไหม?”
ซ่งเสี่ยวสยากระทืบเท้าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
โจวเจี๋ยที่เพิ่งแต่งตัวให้ลูกชายอยู่ในห้องก็รีบเดินออกมาถาม “เป็อะไรไปลูก? เกิดอะไรขึ้น?”
ซ่งเสี่ยวสยาคว้าตัวโจวเจี๋ยไว้ จากนั้นก็ชี้หน้าซย่านีแล้วเอ่ยฟ้องทันที “แม่คะ หล่อนแย่งยางรัดผมของหนูไป!”
โจวเจี๋ยมองไปทางซย่านีอย่างโกรธๆ
ซย่านีจ้องเธอกลับอย่างไม่เกรงกลัวเลยสักนิดแล้วเค้นถามซ่งเสี่ยวสยา “มันคือยางรัดผมของเธอจริงๆ งั้นหรือ? ใครซื้อให้เธอ? แม่ของเธอ? หรือพ่อของเธอ? หรือว่าจะเป็ย่าของเธอที่ซื้อให้งั้นหรือ?”
ซ่งเสี่ยวสยาพลันพูดไม่ออก
ซย่านีหันไปถามโจวเจี๋ยแทน “เธอซื้อให้เสี่ยวสยางั้นหรือ?”
โจวเจี๋ยยังคงอยากรักษาหน้าตาเอาไว้ จึงไม่สามารถตอบคำว่า ‘ใช่’ ออกไปได้
“ฉันซื้อให้หลานเองแหละ!” หวังซิ่วอิงเดินเข้ามาพร้อมกับจานอาหารที่เหลือจากเมื่อคืน เธอวางจานอาหารเหลือไว้บนโต๊ะพลางอ้าปากพูดต่อ “ฉันซื้อให้เสี่ยวสยาเอง เธอจะทำไม? เธอคืนยางรัดผมนั่นให้เสี่ยวสยาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ซย่านีหัวเราะเยาะออกมาหนึ่งที “แม่ซื้อให้เธองั้นหรือ? ซื้อมาจากที่ไหน? แล้วไปซื้อตอนไหน? ราคาเท่าไหร่คะ?” คิดว่าอยากพูดก็พูดออกมาได้งั้นหรือ ช่างไม่ละอายแก่ใจเลยจริงๆ
หวังซิ่วอิงนึกถึงคำพูดของลูกชายในคืนนั้นอย่างถี่ถ้วน แล้วเอ่ยตอบ “ซื้อที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยของหานเจียงจะทำไม?”
ซย่านีถามต่อ “แล้วแม่ไปประตูมหาวิทยาลัยของหานเจียงั้แ่เมื่อไหร่กันคะ? มหาวิทยาลัยของเขาอยู่ตั้งไกลขนาดนั้น ฉันจำได้ว่าแม่ขี่จักรยานไม่เป็ด้วยซ้ำ? แม่คะ ปกป้องเด็กแบบนี้มันไม่ถูกต้องนะคะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าซ่งเสี่ยวสยาขโมยยางรัดผมนี้มา ถึงแม่จะยืนกรานปกป้องเธอต่อไป มันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงไปได้หรอกค่ะ!”
หวังซิ่วอิงไม่พอใจเป็อย่างยิ่ง “เธอบอกว่าใครขโมยของนะ?”
ซย่านีจ้องตาซ่งเสี่ยวสยาแล้วยิ้มเยาะ “ฉันไม่เคยไปโรงเรียนมาก่อนแต่ก็เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘ตอนเป็เด็กขโมยเข็มยามโตขึ้นขโมยวัว’ ตอนนี้เธอกล้าหยิบกุญแจเข้าไปไขห้องของพวกเราแล้วย่องไปขโมยยางรัดผมของเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ เมื่อเธอโตขึ้นจะไม่กล้าไปขโมยสร้อยหรือกำไลทองของผู้อื่นหรอกหรือ? ถึงตอนนั้นหากเธอถูกตำรวจจับได้ล่ะก็ เธอก็คงถูกจำคุกไปชั่วชีวิต!”
ซ่งเสี่ยวสยาถูกทำให้ใกลัวจนตัวสั่นเทาแต่เธอก็ยังคงปากแข็งต่อไป “ไม่ใช่สักหน่อย หนูไม่ได้ขโมยนะ เดิมทียางรัดผมชิ้นนั้นมันก็เป็ของของหนูอยู่แล้วเป็อารองซื้อมาฝากหนูต่างหาก!”
ซย่านีส่งเสียง “เหอะ” จากนั้นก็กล่าวว่า “ตอนแรก เธอก็บอกว่าแม่ของเธอเป็คนซื้อให้ จากนั้นก็บอกว่าย่าเป็คนซื้อพอมาตอนนี้ยังพลิกลิ้นมาบอกว่าอารองเป็คนซื้อให้เธออีกหรือ? ทำไมอารองถึงต้องซื้อยางรัดผมนั่นให้เธอด้วย? แถมยางรัดผมที่ซื้อให้เธอยังดูสวยและแพงกว่าที่ซื้อให้ลูกสาวตัวเองเนี่ยนะ?” ซย่านีหยุดพูดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ หยางหยาง ลูกกินกันเสร็จหรือยัง ถ้ากินเสร็จแล้วพวกเราจะได้ไปโรงเรียนสักที”
ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่วางตะเกียบลงพร้อมกันแล้วเด็กทั้งสองก็เดินตามหลังซย่านีต้อยๆ อย่างภาคภูมิใจเหมือนลูกไก่ที่ชนะการแข่งขันชนไก่มา
ซ่งเสี่ยวสยาร้องไห้งอแงพร้อมกับหวีดร้องลั่น “ยางรัดผมของหนู นั่นมันยางรัดผมของหนูนะ...แม่คะ แม่ต้องเอามันคืนมาให้หนูนะ ไปเอาคืนมาให้หนูเลย!”
โจวเจี๋ยเสียหน้า เธอชี้หน้าลูกสาวแล้วดุทันที “ยางรัดผมของลูกอะไรกันฮะ ลูกสายตาสั้นหรือไง นั่นมันก็แค่ของที่ทำมาจากเศษผ้าขี้ริ้วก็เท่านั้น พิเศษนักหรือไง!”
หวังซิ่วอิงสาปส่งตามหลังซย่านี “นังปีศาจตัวป่วนเอ๊ย อยู่บ้านหน่อยก็ทำให้คนในบ้านทะเลาะกันไม่เคยจะสงบสุขเลย ไสหัวไปเลยนะ รีบไปไกลๆ เลย ไสหัวไปแล้วก็อย่ากลับมาอีกละ!”
ซย่านีทิ้งเสียงโวยวายทั้งหมดไว้ด้านหลังประตู เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันรู้สึกว่าอากาศข้างนอกช่างสดชื่นดีจริงๆ เพียงลมหายใจเดียวก็สามารถทำให้ร่างกายและจิตใจปลอดโปร่งได้แล้ว
ซย่านียื่นยางรัดผมคืนให้ซ่งวั่งซูแล้วกล่าวว่า “เก็บไว้ให้ดีๆ ล่ะ อย่าให้ซ่งเสี่ยวสยาขโมยมันไปได้อีกนะ”
ซ่งวั่งซูหยิบยางรัดผมมาแล้วยัดใส่กระเป๋านักเรียน เธอพยักหน้ารัวๆ และยังเอ่ยชมซย่านีด้วย “แม่คะ แม่เก่งมากๆ เลย”
ซย่านียักคิ้วพลางกล่าวว่า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว แม่น่ะช่วยสั่งสอนเด็กนั่นแทนลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ก็เท่านั้น พวกเรามียางรัดผมกันตั้งเยอะแยะ แค่อันเดียวไม่ขาดแคลนหรอกแต่หากพวกเขาชินกับนิสัยขี้ขโมยของลูกตัวเองล่ะก็ ใครจะทำอย่างไรได้เล่า? ลูกว่าจริงไหม!”
ซ่งวั่งซูยิ้มจนตาหยี “ใช่ๆๆ แม่พูดถูกแล้วค่ะ”
ซย่านียังหันไปสั่งสอนซ่งตงซวี่อีกคน “ลูกเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นำของผู้อื่นไปโดยที่พวกเขาไม่เต็มใจเหมือนกัน ลูกเข้าใจใช่ไหม?”
ซ่งตงซวี่เบะปากอย่างไม่พอใจ “ผมเปลี่ยนตัวเองแล้วนะ!”
ซย่านีเข้ามายืมรถสามล้อของพี่สะใภ้เซี่ยงเหมย หลังจากที่เธอส่งลูกชายและลูกสาวเข้าโรงเรียนไปแล้วเธอก็พาลูกชายคนเล็กไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกนี้
ในโรงพยาบาลมีคนอยู่เยอะมาก เหล่าแพทย์และพยาบาลในชุดคลุมสีขาวเดินไปมากันขวักไขว่ ทั้งคนที่มาหาหมอและคนที่เป็ญาติคนไข้ต่างก็แสดงสีหน้าหลากหลายอารมณ์สลับกันไป กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่คุ้นเคยและฉุนจมูกลอยปะปนอยู่ในอากาศ
พยาบาลตัวน้อยเห็นซย่านีเดินอุ้มลูกเข้ามาก็เอ่ยถามเธอ “สหาย มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
ซย่านีตอบกลับ “แผนกสูติ-นรีเวชกรรมอยู่ทางไหนหรือคะ?”
พยาบาลตัวน้อยชี้ไปทางด้านหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยบอกทาง “คุณเดินไปตามทางตรงนั้นได้เลยค่ะ”
ซย่านีกล่าวขอบคุณแล้วเดินไปตามทางที่พยาบาลตัวน้อยชี้บอกเธอ
แผนกสูติ-นรีเวชกรรมน่าจะเป็สถานที่ที่มีเสียงหัวเราะและเื่ยินดีที่สุดในโรงพยาบาลแล้ว ทุกตารางนิ้วของที่นี่เต็มไปด้วยความหวังต่อชีวิตใหม่ เหล่าสตรีมีครรภ์ที่รอคลอดบุตรล้วนแต่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่คลอดลูกแล้วแม้จะมีสีหน้าเหนื่อยล้าแต่รอยยิ้มกลับสดใสยิ่งนัก
ซย่านีกวาดสายตามองแม่ๆ แต่ละคน ทันใดนั้นสายตาของเธอก็หยุดอยู่ที่คุณแม่มือใหม่ท่านหนึ่ง เธอมีหน้าอกอวบอิ่มและดูมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีซึ่งตอนนี้เธอกำลังให้นมลูกอยู่อย่างเงอะงะ
ซย่านีเดินเข้าไปในแผนกสูติ-นรีเวชจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าคุณแม่มือใหม่คนนั้น ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยทักทายอีกฝ่าย “สวัสดีค่ะ”
คุณแม่มือใหม่เงยหน้าขึ้น แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างและส่องลงบนร่างของเธอจนดูเหมือนมีประกายสีทองแผ่ออกมา เธอยิ้มตอบกลับให้ซย่านีแต่รอยยิ้มนั้นก็แฝงไว้ด้วยความสงสัย “เอ่อ...สวัสดีค่ะ”
ซย่านีมองดูเด็กในอ้อมแขนเธอแล้วเอ่ยถาม “เด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงหรือคะ?”
คุณแม่มือใหม่ตอบคำถามของซย่านีค่อนข้างระมัดระวังอยู่บ้าง “ผู้ชายค่ะ ทำไมหรือ?”
ซย่านีกล่าวต่อว่า “เห็นว่าคุณมีน้ำนมเพียงพอจะต้องเลี้ยงดูลูกให้อวบอ้วนได้อย่างแน่นอน”
คุณแม่มือใหม่รู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยเพราะแม่สามีของเธอก็กล่าวชมว่าเธอมีน้ำนมเพียงพอด้วยเช่นกัน “ใช่แล้วค่ะ...แล้วนี่ ลูกของคุณหรือคะ?”
ซย่านีมองไปยังซิงซิงที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนของเธอแล้วเอ่ยตอบอีกฝ่าย “ใช่แล้วค่ะ นี่ลูกชายของฉันเอง เขาอายุหกเดือนแล้วแต่ยังไม่ได้กินนมจากฉันเลยสักหยด...ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันเข้ามาหาคุณ อันที่จริงฉันอยากถามคุณดูว่าคุณพอจะมีตั๋วนมผงเหลือสักสองใบไหมคะ? ฉันมาจากชนบทไม่มีทะเบียนบ้านที่เมืองหลวงหรอกค่ะ ดังนั้น...” ซย่านียิ้มอย่างลำบากใจ
